โลกนี้ไม่ได้มีทางให้เดินแค่ 2 ทาง อย่างที่สังคมไทยเชื่อกันมานาน คือ “ทางซ้ายกับทางขวา”
ซึ่งยังคงฟาดฟันกันเรื่อยมาจนวันนี้ และมีศพถมทับไว้เป็นทางให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เดินย่ำกันต่อไป
“ทางขวา”..หมายถึงฝ่ายอนุรักษนิยม ซึ่งนิยมจารีต ขนบประเพณีแบบเดิม มีสถาบันกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์
“ทางซ้าย”..หมายถึงฝ่ายลิเบอรัล ที่ตอนนี้รวมเอาพวกมาร์กซิสต์ซอมบี้เข้าไปด้วย ฝ่ายนี้เชิดชูเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเป็นธรรมในสังคม บ้างก็นำคำขวัญของการปฏิวัติในฝรั่งเศส 1789 มาเป็นสรณะ และยกย่องฝ่ายตนว่าเป็นฝ่ายก้าวหน้า (แต่ก้าวอ้อมไปข้างหลัง)
แต่ทั้ง 2 ทางนี้ไม่แตกต่างกันนัก มันเป็นทางคู่ขนาน บางยุคบางสมัยก็ร่วมทางกัน บางยุคบางสมัยก็เดินคนละไหล่ทาง! แต่มุ่งหน้าไปทิศเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน แตกต่างกันแค่วิธีเดินเล็กๆน้อยๆ
นั่นคือ “อำนาจรัฐ”
เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมจึงเห็นว่าเราไม่จำเป็นจะต้องเลือกเดือนทางใดทางหนึ่งใน 2 ทางนี้
เพราะโลกนี้มีทางมากกว่านั้น และทางนั้นก็เกิดขึ้นจากการเดินของคน (และสัตว์)
เราจึงเรียกมันว่า “ทางเดิน”
มันไม่ได้เกิดขึ้นเองแค่ 2 ทาง
ผมคนหนึ่งเลือกเดินไปอีกทางหนึ่ง มันไม่ใช่ทางเก่าและก็ไม่ใช่ทางใหม่เสียทีเดียว มันเป็นทางที่รกเรื้อและเห็นอยู่รางเลือน แต่นั่นก็แสดงว่าได้ “มีคนเดินมาแล้ว”
ในด้านการเมือง...มันเป็นทางที่ “เดินออกจากศูนย์กลางแห่งอำนาจ” หรืออำนาจที่รวมศูนย์ไว้กับรัฐและรัฐบาลในส่วนกลาง
อาจมีบางคนเถียงว่า ทุกวันนี้ในด้านการเมืองก็มีการกระจายอำนาจมานานแล้ว เรามี อบจ. อบต. มีเทศบาล มีกทม. ที่คนในพื้นที่เลือกตัวแทนกันเอง แต่ผมเห็นว่ามันไม่ใช่การกระจายอำนาจ หากแต่เป็นการกระจาย “มือเท้า” ของอำนาจจากศูนย์กลางมากกว่า
ในทางกฎหมายก็ดูเหมือนว่าเป็นการกระจายอำนาจมาให้ชาวบ้านในได้ตัดสินใจเลือกตัวแทนให้มีอำนาจบริหารท้องถิ่นของตนเพื่อพวกตน แต่ในทางปฏิบัติมันกลับเป็น “ตัวแทน” หรือมือตีนของนักการเมืองที่ครองอำนาจอยู่ในศูนย์กลางของประเทศ
ซ้ำยังเป็นการ “กระจายการคอรัปชั่น” สู่ท้องถิ่นจนกลายเป็นเครือข่ายคอรัปชั่นไปทั่วประเทศแล้ว
ในด้านเศรษฐกิจที่เป็นระบบทุนนิยมหรือตลาดเสรีก็เป็นการผูกขาดอำนาจการผลิตและการตลาดโดยพวกนายทุนใหญ่ ส่วนการผลิตก็เป็นแบบ “แมส” หรือการผลิตขนาดใหญ่
นายทุนยักษ์ใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “นายทุนชาติ” หรือ “นายทุนข้ามชาติ” นั้นไม่เพียงผูกขาดระบบเศรษฐกิจ ผูกขาดการผลิตและการตลาดเท่านั้น หากแต่ยังมีอำนาจผูกขาดรัฐบาลด้วย!
“ศูนย์กลางแห่งอำนาจ” ในด้านการเมืองนั้นก็คือ แมส
และ “แมส” ในด้านเศรษฐกิจก็คือศูนย์กลางอำนาจ
มันเป็น 2 ด้านของเหรียญเดียวกัน ต่างก็ผูกขาดอำนาจและต่างก็เกื้อกูลกัน มันจึง “กำหนด กดทับ กีดกัน” วิถีชีวิตของพลเมืองให้อ่อนแอ พึ่งตนเองไม่ได้ ต้องคอยพึ่งพาศูนย์กลางแห่งอำนาจทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
“ทางรอด” ก็คือต้องถอยออกจากศูนย์กลางอำนาจทางด้านการเมือง และถอยออกจากความเป็น “แมส” หรือการผลิตขนาดใหญ่ในด้านเศรษฐกิจ (ไม่ใช่ปฏิเสธหรือต่อต้าน) กลับมาพึ่งพาตนเอง
ถ้าถามผมว่าแบบไหน – อย่างไรจึงเรียกว่าเป็นการพึ่งพาตนเอง?
ผมก็ขอตอบอย่างรวบรัดว่า “ระบบ – ปรัชญา –ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั่นแหละคือการพึ่งพาตนเอง คือทางรอดของพลเมือง ทั้งที่เป็นผู้ผลิตและผู้บิรโภค แต่น่าเสียดายว่าทั้งพลเมืองและรัฐบาลต่างก็ดูดาย ไม่เห็นความสำคัญ
รัฐบาล คสช. พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่วันแรกๆที่ยึดอำนาจรัฐ แต่สามปีกว่าที่ผ่านมาก็เป็นได้อย่างที่เห็นนี่แหละ!
อำนาจรัฐต้องมาก่อน
อำนาจทุนต้องมาก่อน
พลเมืองก็อยากรวยเร็ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี