เมื่อต้นเดือนมกราคม สองปีที่ผ่านมา ผมเขียนเรื่อง “การเดินทางของ ส.ค.ส.” ลงในคอลัมน์ “ราชดำเนิน อเวนิว” แห่งนี้ โดยเขียนถึงความเป็นมาของ ส.ค.ส. เท่าที่มีการค้นพบหลักฐานกันครั้งแรกในอียิปต์ เรื่อยลงมาจนถึงจีนและยุโรป กระทั่งเข้ามาในเมืองไทย และนำ ส.ค.ส. ของผม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ถึงปี พ.ศ. 2559 มาลงไว้ในข้อเขียนชิ้นนั้น
ส.ค.ส. ก็เช่นเดียวกับเหรียญกษาปน์ เช่นเดียวกับธนบัตร หรือดวงตราไปรษณียากร ในแง่ที่ทำหน้าที่สะท้อนภาพสังคมในยุคสมัยที่มีการผลิตมันขึ้นมา
ส.ค.ส. ของผมก็เช่นกัน มันสื่อข้อความถึงอารมณ์ความรู้สึกของผมที่มีต่อชาติบ้านเมืองในห้วงเวลานั้นๆ
ก่อนเขียน ส.ค.ส. ปีนี้ ผมมีโอกาสเดินทางไปทำสารคดีในชนบทแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศไทย ไปพักค้างอ้างแรมในบ้านเรือนของชาวชนบทหลายครั้งหลายหน ไปพบปะพูดคุยกับผู้คน ตั้งแต่เจ้าอาวาส พระภิกษุสงฆ์ อาจารย์มหาวิทยาลัย ข้าราชการท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน ลงไปจนถึงชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่ยากจน
และนี่คือ ส.ค.ส. ประจำปีนี้ของผม
เพื่อนที่เป็นผู้บริหารอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนท่านหนึ่ง ส่งไลน์มาบอกผมว่า “เขียนกลอนให้อ่านแล้ว ว้าเหว่ ตั้งแต่ต้นปีเลยนะพี่ !!!”
ผมรู้สึกผิดเล็กๆ ที่ ส.ค.ส. ของผมอาจไปกระตุกความสุขของผู้คนในห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลส่งความสุขนี้
แต่กระนั้น การพูดความจริง คงดีกว่าการเพลิดเพลินอยู่กับความสุขจอมปลอม และคงดียิ่งขึ้น ถ้ามันจะมีส่วนช่วยให้ผู้บริหารชาติบ้านเมือง หันมาสนใจกับความจริงอีกด้านหนึ่งที่ เคลล็อก (Kellogg) ไม่เคยสอน
การเร่งผลักดันโมเดล “ประเทศไทย 4.0” หรือ “ไทยแลนด์ 4.0” ให้เกิดขึ้นภายในไม่กี่ปีนั้น แม้มองแค่กรุงเทพฯ กับเมืองใหญ่ก็ยากจะทำให้สำเร็จได้อย่างที่พูด ไม่ต้องมองว่าประเทศไทยยังมีเมืองเล็กและชนบทอีกกว้างใหญ่ไพศาล และไม่ต้องพูดถึงว่า “ประเทศไทย 4.0” นี้ มันรับใช้คนส่วนไหนของประเทศ
นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่พยายามผลักดันเพื่อรองรับนโยบาย 4.0 นั้น ไม่ใช่ไม่ดี แต่ต้องถามต่อว่า มันสามารถผลักดันได้แค่ไหน และที่ผลักดันอยู่นั้น มันรับใช้ใคร ถ้ามันเริ่มต้นและจำกัดวงอยู่เพียงในกลุ่มชนระดับบนของสังคม ประเทศทั้งประเทศจะพัฒนาไปได้อย่างไร
ปัจจุบัน เรามีแรงงานในระบบกว่าครึ่ง ที่มีการศึกษาไม่เกินชั้นประถมศึกษา และเมื่อพูดถึงอายุ ก็มีเกือบครึ่งที่มีอายุระหว่าง 40-60 ปี แรงงานที่มีอายุมากแต่การศึกษาน้อยเหล่านี้จะปรับตัวรองรับเทคโนโลยี 4.0 ได้แค่ไหน
ยิ่งเมื่อพิจารณาโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่มุ่งดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ผนวกกับการเร่งพัฒนาระบบ Automation หรือปัญญาประดิษฐ์ ของทุนผูกขาดขนาดใหญ่ในประเทศที่รุกเข้ามาถึงขั้นนำหุ่นยนต์มาใช้ในภาคร้านค้าและบริการ ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ผลประโยชน์จากการดำเนินนโยบาย 4.0 จะตกอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่หรืออยู่กับทุนผูกขาดขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
แรงงานอีกเท่าไรที่อุตส่าห์ทิ้งไร่ทิ้งนา จะต้องตกงาน พนักงานบริการที่ให้บริการด้วยกิริยามารยาทอันสุภาพอ่อนโยนแบบไทยๆ อีกกี่คน จะต้องถูกหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตจิตใจมาแทนที่
จริงอยู่ รัฐบาลอาจอ้างว่าตนได้พยายามทำเพื่อประชาชนทุกภาคส่วน มิใช่เอื้อแต่พวกทุนขนาดใหญ่ มีการทำโครงการต่างๆ ในรูปของนโยบายประชารัฐเพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดเล็ก เป็นต้นว่า โครงการ พี่ช่วยน้อง หรือ Big Brothers 50 หรือ โครงการ เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ แต่หากดูในรายละเอียดแล้ว จะเห็นว่า โครงการ พี่ช่วยน้อง หรือ Big Brothers 50 เป็นเพียงโครงการสำหรับ เอสเอ็มอี ระดับบนเพียง 50 ราย ที่มีรายได้มากกว่า 50 ล้านบาทต่อปี ที่มีโอกาสจะผูกพันคบค้ากับวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่เป็นพี่เลี้ยงต่อไป เป็นโครงการเพื่อชนชั้นกลางระดับสูงโดยตรง ส่วนโครงการ เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ นั้น แม้เป็นโครงการช่วยเหลือเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีเงินลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท แต่จากตัวเลขที่เปิดเผยออกมาก็มีจำนวนที่น้อยมาก และที่ประสบผลสำเร็จจริงๆ มีสักกี่ราย ก็ยังไม่อาจทราบได้ จะรอดปากเหยี่ยวปากกาของระบบผูกขาดไปได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้
ความจริงฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลน่าจะทราบดีว่า ปัญหาใหญ่ๆ ทางเศรษฐกิจของประเทศอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ อยู่ที่ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ อยู่ที่คุณภาพของคนและขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขกันในขั้นฐานรากจริงๆ ไม่ใช่แค่นโยบาย 4.0 นโยบายประชารัฐ หรือนโยบายการตลาดแบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ ช็อปช่วยชาติ
นโยบาย 4.0 เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการแก้ปัญหาบางปัญหาเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด การโหมกระแส 4.0 จนทำให้คนเข้าใจว่ามันเป็นยาวิเศษ จนปัจจุบันจะทำอะไรก็ต้องพ่วงท้ายคำว่า 4.0 จึงเท่ากับเป็นการเจตนาทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ฝากความหวังลมๆ แล้งๆ ไว้กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ประชาชนไม่ใช่ลูกค้า อย่าใช้นโยบายการตลาดจนพร่ำเพรื่อ
ถ้าล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วไม่เจอตังค์ จีดีพี ที่ว่าโต 4.3 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่มีความหมาย
ถ้าซื้อของกินแล้วของมันแพงขึ้นทุกวัน ตัวเลขเงินเฟ้อที่ว่าไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่มีใครเชื่อ
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี