กรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ประกาศคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แก้ไขพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ(พรป.)ว่าด้วยพรรคการเมืองที่ถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้นเพื่อรีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมืองปูทางไปสู่การสืบทอดอำนาจคสช.เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถึงกับเดือดพล่านและนานๆครั้งจะเห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกฯจะออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวแบบดับเครื่องชนคสช.
นายอภิสิทธิ์ ชี้ว่าเดิมทีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กรธ.)ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานพยายามเร่งพิจารณาพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ(พรป.)ว่าด้วยพรรคการเมืองและพรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงตามด้วยพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.)เพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหลและยากลำบากต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะทันทีที่ พรป.ทั้ง 4 ฉบับเสร็จและต้องจัดเลือกตั้งภายใน 150 วันตามรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ดีๆคสช.กลับนำการทำงานของพรรคการเมืองไปผูกกับกฏหมายเลือกตั้งส.ส.ว่าต้องประกาศใช้ก่อน คำสั่งคสช.ที่ออกมายังระบุว่าเอาเรื่องของพรรคการเมืองซึ่งควรจะเตรียมการก่อนการเลือกตั้งไปผูกกับกฏหมายเลือกตั้งที่มีเวลาแค่ 150 วัน ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรเลย และที่อ้างว่าสถานการณ์ยังไม่เรียบร้อยก็แปลกใจว่าอะไรทำให้เกิดความไม่เรียบร้อย ทำไมผู้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จไม่มีความตระหนักหรือรอบคอบเพียงพอที่จะรู้ว่าแผนการที่วางเป็นขั้นตอนด้วยเหตุด้วยผลคืออะไร ไม่อยากจะเชื่อว่าไม่รู้ แต่กลายเป็นว่าอาจจะมีความต้องการอะไรบางอย่าง
อดีตนายกฯยังกล่าวอย่างดุเดือดเลือดพล่านว่า “ ถ้ามีความต้องการเลื่อนการเลือกตั้ง ทำไมไม่มีความกล้าหาญที่จะบอกอย่างตรงไปตรงมาผมเห็นว่าเป็นชายชาติทหาร อยากจะเลื่อนการเลือกตั้งเพราะมีเหตุผลที่ดีเพื่อส่วนรวมก็บอกมาตรงๆ ไม่ต้องเอามาตรา 44 มาแก้ พอถึงเวลาเกิดขลุกขลักทำอะไรไม่ทันก็เอามาตรา 44 ออกมาอีก โดยที่ไม่บอกให้สังคมและประชาชนรู้อย่างตรงไปตรงมาว่าผู้มีอำนาจกำลังมองปัญหานี้ ทำอย่างนี้ และยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเท่าไหร่ยิ่งต้องใช้ให้น้อยที่สุด อย่าใช้พร่ำเพรื่อ อำนาจเบ็ดเสร็จแต่ไปปักอยู่บนขี้เลน มันไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ได้ปฏิรูป ทั้งๆที่กฏหมายทั้งหมดก็มาจากคสช.และแม่น้ำ 5 สายทั้งนั้น มีอำนาจเบ็จเสร็จแต่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ตามใจชอบ เปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ก็ได้ และถ้าอำนาจเบ็ดเสร็จที่ใช้ไปเพื่อประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวก ซึ่งทำได้ทั้งนั้น แต่อยากให้ระมัดระวังย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ว่าเวลาใช้อำนจแล้วขาดความชอบธรรม ผลสุดท้ายผู้ใช้อำนาจจะต้องเผชิญกับอะไร อยากจะเตือนไว้เท่านั้น “
นายอภิสิทธิ์ ยังตั้งข้อสังเกตุว่า คำสั่งตามมาตรา 44 ของคสช.ฉบับล่าสุดกำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2561 ใครอยากตั้งพรรคให้เริ่มต้นดำเนินการได้ แต่เป็นเรื่องแปลกว่ากฏหมายอนุญาตให้เฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่มหาสมาชิกพรรคได้ แต่ขณะที่พรรคการเมืองเก่าไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย และต้องรอจนเดือนเม.ย.เท่านั้นจึงเริ่มดำเนินการได้ นอกจากนี้จากคำสั่งที่ออกมาทำให้พรรคขนาดใหญ่ที่มีจำนวนสมาชิกพรรคมากอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่มีสมาชิกเกือบ 3 ล้านคนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเพราะต้องรอจนเดือนเม.ย.เท่านั้นถึงจะเริ่มทำกิจกรรมเกี่ยวกับพรรคการเมืองได้ และคำสั่งยังกำหนดให้สมาชิกพรรคต้องทำหนังสืออย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่ายังจะเป็นสมาชิกพรรคต่อไปหรือไม่ภายใน 30 วัน หากไม่ยืนยันหรือยืนยันไม่ทันก็ต้องพ้นสมาชิกภาพ ซึ่งในทางปฏิบัติทำไม่ทันแน่ อีกทั้งสมาชิกพรรคที่ต้องพ้นสมาชิกภาพก็จะเสียความรู้สึกกับพรรคที่ตัวเองผูกพัน เรื่องนี้ถ้าคสช.กล้าหาญพอทำไมไม่เปิดให้มีการแข่งขันระหว่างพรรคเก่าและพรรคใหม่อย่างตรงไปตรงมา
ไม่เพียง นายอภิสิทธิ์ ที่ออกมาดับเครื่องชน หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ แม้แต่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกฯ ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานรากโดยเฉพาะชาวภาคใต้และภาคเหนือที่มีรายได้ต่อครัวเรือนลดลงอย่างน่าวิตก ขณะที่ช่วงหลังบรรดาแกนนำและอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ดาหน้าออกมาถล่มอำนาจรัฐคสช.ดุเดือดร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ปมความขัดแย้งจนนำไปสู่การเปิดศึกดับเครื่องชนระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับคสช.น่าจะอยู่ที่คำสั่งคสช.ล่าสุดที่แฝงเป้าหมายให้รีเซ็ตพรรคการเมืองซึ่งถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้สมาชิกและอดีตส.ส.พรรคต่างๆย้ายไปสังกัดพรรคใหม่อันเป็นร่างทรงคสช.ที่มีข่าวว่า ลุงกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำมวลมหาประชาชน กปปส. อยู่เบื้องหลัง
ภายใต้สถานการณ์พรรคประชาธิปัตย์เปิดศึกแตกหักกับคสช.รุนแรงมากขี้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าทางพรรคเพื่อไทยที่ขณะนี้เหมือนยืนอยู่บนภูดูศัตรูและคู่แข่งสำคัญคือคสช.กับพรรคประชาธิปัตย์ซี่งความจริงน่าจะเป็นพันธมิตรกันกลับมาเป็นคู่ขัดแย้งที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดจนมีสิทธิแตกหักพังไปด้วยกันทั้งคู่ ขณะที่พรรคเพื่อไทยแอบกระหยิ่มยิ้มย่องรอคอยโอกาสที่จะสวมบทตาอยู่คว้าพุงปลาไปกิน เพราะฐานคะแนนที่จะเลือกพรรคร่างทรงคสช.กับพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมาจากประชาชนกลุ่มเดียวกัน อีกทั้งหากพรรคประชาธิปัตย์แตกหักกับคสช.ก็จะทำให้แผนของพรรคเพื่อแม้วที่จะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการสกัดนายกฯคนนอกหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นไปได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามจากประวัติศาสตร์มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วมากมายและพิสูจน์สัจจะธรรมที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจนวินาทีสุดท้าย ดังนั้นพรรคเพื่อไทยอาจฝันค้างและถูกโดดเดี่ยวเมื่อวันนั้นมาถึง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี