สมัยเด็กๆ มักถูกผู้ใหญ่ปลูกฝังให้ได้เข้าทำงานในหน่วยงานรัฐบาล เพราะถือว่าเป็นงานมั่นคง แม้เงินเดือนจะไม่มากเหมือนงานบริษัทก็ตาม ค่านิยมนี้ฝังลึกในสังคมไทยถึงขนาดมีคำอวยพรว่า “โตขึ้นขอให้เป็นเจ้าคนนายคน” อย่าว่าแต่คนไทยเลย คนอเมริกันจำนวนมากก็ปรารถนาจะได้งานในหน่วยงานรัฐบาลเพราะสวัสดิการดีและมั่นคงกว่างานอาชีพอื่น แต่บอกเลยว่านาทีนี้ หน้าที่การงานในหน่วยงานรัฐบาลอเมริกันไม่ได้มั่นคงอีกต่อไปแล้ว แถมยังมีความเสี่ยงสูงอีกด้วย ทั้งหมดนี้มีผลพวงมาจากการ “ชัตดาวน์” หรือการปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางเนื่องจากไม่มีงบประมาณใช้จ่าย ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา
เงินไม่มา แต่เจ้าหน้าที่ล้วนมีครอบครัวและภาระที่ต้องกินต้องใช้จ่าย นาทีนี้เหมือนฝันร้ายสำหรับเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะโครงการ “นักฝัน” หรือ “ดรีมเมอร์” เป็นเหตุ จึงเกิดการ“ชัตดาวน์” หรือปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางอีกครั้ง หลังสมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันซึ่งมีความเห็นแตกต่างในประเด็นผู้อพยพไม่สามารถเจรจาผ่านร่างงบประมาณได้สำเร็จ จึงต้อง “ปิด” รัฐบาลกลาง ซึ่งจะว่าไปก็เหมือนตลกร้ายเพราะวันที่ “ชัตดาวน์” ตรงกับวันครบรอบปีที่ลุงทรัมป์เข้ามาบริหารประเทศพอดี
หลายคนอาจจะงงว่า แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลในอเมริกาด้วยเล่า เพราะกรณีเมืองไทยนั้น ไม่ว่าจะตีกันวายป่วงถึงขั้นปิดสถานที่ราชการอย่างไร เจ้าหน้าที่และข้าราชการก็ยังได้เงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
อเมริกานั้นแตกต่างจากบ้านเรา เมื่อเกิดภาวะชัตดาวน์ หน่วยงานรัฐบาลกลางทั่วอเมริกาจะทำงานต่อไม่ได้ เพราะขาดงบประมาณ ส่วนพนักงานรัฐแบบจ้างชั่วคราวนับแสนๆ คนต้องถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่วนพนักงานที่จำเป็น ซึ่งในกรณีนี้หมายถึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสาธารณะและความมั่นคงของชาติสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ทหารกว่า 1.3 ล้านนายต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง จนกว่าร่างงบประมาณจะผ่านหรือมีกฎหมายอื่นๆ มารองรับ เห็นไหมล่ะ..ว่าเดือดร้อนสาหัสขนาดไหน
ประเด็นอันเป็นเหตุคือโครงการดรีมเมอร์นี่แหละ พรรคเดโมแครตต้องการให้คุ้มครองผู้อพยพในโครงการ “ดรีมเมอร์” 800,000 คนไม่ให้ถูกเนรเทศออกจากอเมริกา แต่ฝ่ายพรรครีพับลิกันเซย์โนท่าเดียว ด่าทอไปมาก็ตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายความซวยก็มาเยือนด้วยการไม่จ่ายเงินเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง
มังกรจีนนั่งมองการชัตดาวน์หนนี้อย่างสะใจแล้วเยาะเย้ยเปรยมาตามสายลมหนาวว่านี่คือข้อผิดพลาดเรื้อรังของระบบการเมืองมะริกัน แถมการชัตดาวน์ครั้งนี้ตรงกับวันครบรอบการเป็นประธานาธิบดีครบหนึ่งปีของตาทรัมป์เสียด้วย แทนที่จะเป็นดอกไม้ช่อโตและคำชม กลับกลายเป็นการตบหน้าลุงแซมฉาดใหญ่เลยทีเดียว
ผู้ที่ไม่ใช่คอการเมืองอเมริกาแบบเข้มข้นอาจจะงงว่า ไอ้โครงการ “ดรีมเมอร์” นี่คืออะหยังหว่า โครงการนี้เกิดขึ้นในยุคประธานาธิบดีโอบาม่า อเมริกานั้นกว้างใหญ่ไพศาลอาณาเขตทิศเหนือติดแคนาดาและทิศใต้ติดเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศโลกที่สามจัดอยู่ในประเทศยากจน จึงเกิดการลั่นล๊าวิ่งข้ามทะเลทรายมาโผล่ในอเมริกาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีจนทุกรัฐมีพลเมืองผิวสีน้ำตาลพูดภาษาสเปนนิชถึง 11 ล้านคนในเวลานี้ และนับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย ทำงานโดยรับเงินใต้โต๊ะ ผู้อพยพเข้าอเมริกาอย่างผิดกฎหมายกลุ่มใหญ่คือเม็กซิกันนี่แหละ
พอพ่อแม่ลงหลักปักฐานได้ก็เริ่มพาลูกหลานและคนในครอบครัวมาอยู่ด้วย แน่นอนว่า..เข้ามาแบบผิดกฎหมายเหมือนกัน เด็กเม็กซิกันที่พ่อแม่พาเข้าอเมริกาไม่ได้เกิดบนแผ่นดินอเมริกาจึงถือว่าไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน แต่เด็กเหล่านี้เติบโตมาในอเมริกาและพูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจนเท่าคนอเมริกันโดยกำเนิด เด็กๆ เหล่านี้เข้าเรียนเหมือนเด็กอเมริกันทั่วไป แถมเรียนต่อถึงระดับมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เด็กอเมริกันจบแค่ไฮสคูลก็ไม่อยากเรียนต่อแล้ว
ในปี 2012 ประธานาธิบดีโอบาม่าประกาศโครงการที่เรียกว่า “ดรีมเมอร์” หรือ Deferred Action for Childhood Arrivals – DACA เพื่อคุ้มครองผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในบ้านลุงแซมอย่างผิดกฎหมายเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ซึ่งก็คือลูกหลานพี่เม็กกลุ่มที่เล่าให้ฟังข้างต้นนั่นแหละ โดยอนุญาตให้เด็กที่เข้ามาในอเมริกาก่อนอายุ 16 ปีสามารถยื่นขอพำนักอยู่ในอเมริกาเป็นการชั่วคราว พร้อมให้สิทธิ์การทำงานในประเทศด้วย
ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการมาจนปัจจุบัน มีผู้ยื่นเอกสารขออนุมัติในโครงการดังกล่าวเกือบ 800,000 รายผู้ ที่เข้าโครงการ DACA จะได้รับความคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ และสามารถขอใบอนุญาตทำงานในอเมริกาได้ด้วย คนส่วนใหญ่ที่รับประโยชน์จากโครงการนี้ก็คือลูกหลานผู้อพยพในวัย 20 ต้นๆ โดยเฉพาะพวกเม็กซิกัน
สรุปสั้นๆ กลุ่มที่เรียกว่า “ดรีมเมอร์” คือ ลูกหลานของชาวเม็กซิกันที่พ่อแม่นำเข้ามาในอเมริกาตั้งแต่ก่อนอายุ 16 ปี และได้ลงทะเบียนกับ DACA ทำให้สามารถอาศัย ศึกษา และประกอบอาชีพในอเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ และหลังจากที่ใบอนุญาตของ DACA หมดอายุ ก็สามารถยื่นคำร้องขอต่ออายุได้ ทางการสหรัฐฯ จะตรวจสอบประวัติอาชญากร ก่อนอนุมัติคำร้องในแต่ละครั้ง
ดรีมเมอร์ส่วนใหญ่มีอายุไม่เกิน 31 ปี ร้อยละ 24 ของดรีมเมอร์มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย สูงกว่าสัดส่วนของประชากรชาวอเมริกันในวัยเดียวกัน ร้อยละ 91 มีงานทำ และร้อยละ 6 เป็นเจ้าของกิจการ ขณะที่ดรีมเมอร์ถึงร้อยละ 55 มียานพาหนะเป็นของตนเอง
แต่วันที่ 5 กันยายนปี 2017 ลุงทรัมป์ผมเป๋ยกเลิกโครงการที่ว่านี้ของโอบามาที่ประกาศใช้เมื่อปี 2012 ส่งผลให้ 'ดรีมเมอร์' เกือบ 800,000 คน ที่ลงทะเบียนกับ DACA เสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ
พอลุงทรัมป์ยกเลิกโครงการนี้ปุ๊บ ทำให้โครงการนี้แช่แข็งทันที ส่วนพวกที่ลงทะเบียนไว้ ใบอนุญาตจะหมดอายุในวันที่ 5 มีนาคมปีนี้ จะต้องรอว่าสภาคองเกรสลงมติออกกฎหมายคุ้มครองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกโครงการ DACA หรือไม่
หากสภาคองเกรสไม่ปกป้องช่วยเหลือหนุ่มสาวดรีมเมอร์เหล่านี้ ก็ต้องถูกเนรเทศไปเม็กซิโกหรือประเทศดั้งเดิมของพ่อแม่ อันเป็นประเทศแปลกหน้าของตนไปแล้ว เพราะมาเติบโตในอเมริกาจนกลายเป็นอเมริกันไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อสภาคองเกรสต้องงัดข้อกันเรื่องนี้ ดันตกลงกันไม่ได้ระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครต สุดท้ายเลยซวยกันทั้งดรีมเมอร์และมะริกันชนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คงต้องรอดูผลว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี