ผมคิดว่าผมเข้าใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในเรื่องที่ท่านจะเป็นนักการเมืองดี ตามที่ได้ประกาศไว้ว่าท่านเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร
การประกาศอย่างนี้สร้างความชัดเจนแก่ประชาชนทั่วไป พร้อมกันนั้นก็ช่วยทำให้ฝ่ายที่ปฏิเสธและต่อต้านท่านเลิกคาดเดาว่าท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ หรือหาเรื่องกระทบกระแทกแดกดันว่าท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก เพราะเสพติดอำนาจเสียแล้ว
ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ว่าจะมีเมื่อไหร่ ท่านจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี...ที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ
ท่านจะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งส่วนหนึ่ง และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา ไม่ว่าท่านจะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือแค่รอเสียงสนับสนุนในสภา ในฐานะ “คนนอก” ตามที่รัฐธรรมนูญเปิดทางไว้ก็ตาม
นาทีนี้ผมก็ยังมั่นใจว่าท่านมีโอกาสสูงมากกว่าใคร ทั้งคนนอกด้วยกันและนักการเมืองในพรรคต่างๆ (แต่ถ้ายืดเวลาเลือกตั้งออกไปได้อีก 2 ปี ก็คงไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองแล้วมั้ง?)
กลับมาเรื่องที่ผมบอกว่า “เข้าใจ” พล.อ.ประยุทธ์ว่าทำไมต้องเป็นนักการเมืองหรือเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก ความเข้าใจของผมก็คือท่านยังห่วงว่า ฝ่ายลิเบอรัลกับฝ่ายมาร์กซิสต์ปลอมๆจะสร้างความรุนแรงขึ้นอีก เพราะถ้าท่านไม่เป็นผู้นำประเทศต่อ ฝ่ายที่ว่านี้ก็จะมีโอกาสกลับมามีอำนาจอีกครั้งค่อนข้างมาก
(ผมไม่เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสู้กับฝ่ายที่ว่านี้ในสนามเลือกตั้งได้)
ต่อให้ฝ่ายที่ว่าจะไม่มีอำนาจบริหารประเทศอย่างที่เคยเป็นมา เป็นแค่ฝ่ายค้าน แต่ความรุนแรงก็อาจจะกลับมา ไม่มากก็น้อย โดยพวกหัวรุนแรงที่ต้องการจะแก้แค้นเอาคืน และยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของประเทศได้ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็มีอำนาจในสภาฯ (ส.ส.) และสามารถอ้างได้ว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เหตุที่ประชาชนยังสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะกลัวว่าความรุนแรงจะกลับมานี้แหละ จึงเท่ากับเป็นการสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์โดยปริยาย
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ยังห่วงโครงการใหญ่ๆที่เพิ่งเริ่ม รวมทั้งโครงการที่ยังทำไม่เสร็จ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่นระบบการคมนาคมต่างๆ
ส่วนโครงการด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับปากท้องของประชาชนนั้น ท่านก็คงห่วง แต่จะห่วงหรือไม่ห่วงก็ไม่มีผลแตกต่างกับรัฐบาลอื่นมากนัก เพราะถึงอย่างไรก็หนี “ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด” ไม่พ้น แถมคนดูแลเรื่องเศรษฐกิจก็เป็นคนๆเดียวกับคนของ “พรรคทักษิณ” มาแล้ว
นอกจากนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะห่วงเรื่องอะไรอื่นหรือไม่นั้นผมไม่สนใจนัก เพราะมาถึงตอนที่ท่านประกาศเป็นนักการเมืองผมก็เป็นห่วงท่านขึ้นมาทันที
ผมห่วงว่าเมื่อท่านเป็นนักการเมืองแล้ว ท่านก็จะทำอย่างเดียวกับที่พวกนักการเมืองเคยทำ และตอนนี้ท่านก็ทำไปบ้างแล้ว นั่นคือ การกระจายเงินสู่มือประชาชนในรูปโครงการต่างๆ อย่างที่พรรคทักษิณเคยทำมาและถูกเรียกว่า “โครงการประชานิยม”
แต่พล.อ.ประยุทธ์เรียกว่า “โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ”
โครงการนี้เป็นประชานิยมหรือไม่ก็ขอให้ดูว่าประชนชนที่ได้เงินไปแล้วใช้เงินหมด หรือนำไป “ต่อยอด” ได้อีก รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์มีเจตนาจะซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่?
แต่ประเด็นนี้ผมก็ยัง “รับได้” เพราะคนที่ขาดแคลนนั้นมีอยู่จริงๆ และควรจะช่วยเหลือไปก่อน แต่ก็มีข้อน่าสังเกตว่าการช่วยเหลือทำนองนี้ พวกนักการเมืองเคยอ้างกันมานานแล้วว่า “เป็นโครงการระยะสั้น” นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยมาจนถึงวันนี้ คนที่ใช้โครงการนี้ก็ยังพูดเหมือนเดิม ทั้งที่เมื่อรวมเวลาทั้งหมดที่ใช้โครงการนี้มาก็ 17 ปีแล้ว!
มันเป็นโครงการระยะสั้นตรงไหน?
และยังไม่ทราบว่าจะต้องใช้โครงการนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร?
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเป็นห่วงพล.อ.ประยุทธ์ก็คือ เมื่อท่านเป็นนักการเมืองแล้ว การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก็จะกลายเป็นการประนีประนอมมากขึ้น หลายเรื่องก็จะต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะถ้าขึงขังเอาจริงเอาจังก็ไม่ใช่วิสัยของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และเห็นว่า “ประชาชนเป็นใหญ่”
การประนีประนอมนั้นเป็นเรื่องดีในหลายเรื่อง แต่บางเรื่องก็ทำให้เสียหายแก่ส่วนรวมได้ ผมยกตัวอย่างเรื่องการรุกล้ำทางเดินสาธารณะ เอาแค่ในตัวเมืองตามจังหวัดต่างๆก็พอ เราจะเห็นพวกเจ้าของตึกแถววางสิ่งของบนทางเท้าบ้าง ปูกระเบื้องบนทางเท้าจับจองเป็นเจ้าของบ้าง บ้างก็เอาตะแกรงเหล็กมากั้นเป็นกรง – เป็นคอก ส่วนคนซื้อหรือคนเดินเท้าต้องลงไปเดินตามถนนเสี่ยงให้รถชน ไม่นับการต่อเติมอาคารที่ยื่นล้ำที่สาธารณะหรือผิดกฎหมาย สิ่งที่ผมกล่าวมานี้มีทั่วประเทศ ในจังหวัดกำแพงเพชรมีเพียบ ลองสังเกตดูเมื่อออกจากบ้าน
ถามว่าทำไมจึงปล่อยให้มีสภาพอย่างนี้?
คำตอบก็คือ นักการเมืองท้องถิ่นไม่กล้าจัดการ
ไม่กล้าจัดการให้ถูกกฎหมาย เพราะกลัวพวกเจ้าของร้านจะโกรธ และไม่เลือกตนในสมัยต่อไป
ประชาชนส่วนมากในประเทศนี้ชอบเอาแต่ใจ เอาให้ได้อย่างใจ และก็เอาใจยากมากด้วย
ผมห่วงว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นอย่างเดียวกับพวกนักการเมืองท้องถิ่นที่ห่วงคะแนนเสียงและความนิยมของตัวเอง เพราะเมื่อเป็นนักการเมืองแล้วก็ย่อมต้องเสวย “เสียงของประชาชน” ซึ่งเป็นภักษาหารอันเป็นทิพย์ จนขาดความกล้าหาญ – กล้าตัดสินใจอย่างที่พวกนักการเมืองเคยกระทำกันมา
รวมทั้ง “เกรงใจ” พวกพ้องน้องพี่และเสียงสนับสนุนตนในสภาด้วย
ทุกวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำอย่างนักการเมืองไปมากแล้ว เพราะท่านคิดจะสืบทอดอำนาจมานานแล้ว เพียงแต่เพิ่งประกาศเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี