ตอนที่ 1
1. คิดแล้วใจก็แปลกใจ...ที่คนเราจะรักกัน เคารพนับถือกันก็ต้องดูว่าอยู่ใน “คอกแห่งความคิด – ความเชื่อ” เดียวกันหรือไม่
ถ้าไม่ - เราก็ไม่คบกัน ยิ่งในคอกการเมืองหรือ “คอกแห่งลัทธิ - อุดมการณ์” ด้วยแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ในคอกเดียวกันก็ต้องเป็นศัตรูกัน และต้องทำลายล้างกันให้หายนะไปข้างหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องคบกัน
ถ้าเด็กกว่าเรา เราก็ไม่นิยมชื่นชมเขา ดูถูกดูแคลนว่าว่าโง่เง่า
ถ้าเป็นผู้ใหญ่กว่าเรา เราก็ไม่นับถือหรือเคารพเขา
เราต่างก็ไม่เคยสงสัยหรือตั้งคำถามว่า “เราคบเพื่อนมนุษย์เพราะว่าเป็นมนุษย์ด้วยกัน หรือว่าคบชุดความคิด – ความเชื่อ” (ลิทธิ – อุดมการณ์ต่างๆ) ในตัวเขากันแน่
และ...ชุดความคิด – ความเชื่อหรือ “คอก” นั่นคืออะไร เป็นอย่างไร
ผมตอบอย่างรวบรัดไว้ก่อนว่ามันคือ “มโนภาพ” ที่เกิดจากภาษาและภาพแห่งประสบการณ์ต่างๆที่อยู่ในความทรงจำของเรา แต่ละคนก็มีมโนภาพเหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง ดังนั้นเราจึงคิดและเชื่อเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่แปลกก็คือ เราไม่คบกัน ไม่เคารพนับถือกัน ไม่รักกัน ไม่ชื่นชมกัน ไม่นิยมยกย่องกัน..ในฐานะที่ “เป็นมนุษย์” ด้วยกัน แต่ต้องจับยัดเข้าคอกหรือชุดมโนภาพเสียก่อน ว่าเป็นอย่างเดียวกับเราหรือไม่
การที่เราเป็นศัตรูกัน เข่นฆ่ากัน ทำลายล้างกันทั้งวาจาและการกระทำ กระทั่งลุกลามเป็นสงครามอยู่ทั่วโลกนั้น มันจึงเป็น “สงครามแห่งมโนภาพ”
2. ผมก็ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆที่เข้าใจว่า ชีวิตตัวเองทุกวันนี้เป็น “ชีวิตจริง” แต่เมื่อได้เห็นโลกมากขึ้น พบและเผชิญกับปัญหามากขึ้น ผมจึงพยายามทำความเข้าใจชีวิตและโลก และโชคดีที่มีคนที่เข้าใจอยู่ก่อนแล้วได้อธิบายไว้ ทั้งพุทธศาสนาและปราชญ์ร่วมสมัยอีกหลายคน หลายชาติ
ผมรับความรู้นั้นมาทำความเข้าใจ สอบสวน เทียบเคียง สังเกตชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องจิตใจ ก็เห็นจริงอย่างที่ได้รับรู้ – เรียนรู้มา
ชีวิตในขั้นแรกนั้นเป็นชีวิตล้วนๆ แต่เราทำผิดกับชีวิตอย่างยากจะถอยกลับ นั่นคือ เราหลงยึดเอาชีวิตล้วนๆ หรือขันธ์ 5 นั้นว่าเป็นตัวเราและของเรา ที่พุทธศาสนาเรียกว่า “อัตตา” เราจึงทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในขั้นแรกนี้
เรายังทำผิดมหันต์ในขั้นที่ 2 ถมทับเข้าไปอีก นั่นคือ เราเชื่อว่า “มโนภาพ” ที่เราได้รับจากภายนอกเข้ามาจดจำไว้นั้นเป็นตัวเราและของเราด้วย และมโนภาพนี้เองที่เป็นเสมือน “อาหาร” ของความคิดหรือที่เรียกว่า “สังขารขันธ์” ที่มันเคี้ยวอยู่ตลอดเวลา
มโนภาพก็คือ ภาพและถ้อยคำที่อยู่ในใจ
ความคิดเป็นผลของการคิด และจิตใจเราจะคิดได้ก็ต้องมีประสบการณ์ต่างๆที่จดจำไว้เป็นภาพและถ้อยคำ ภาพและถ้อยคำนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่เรากำหนดให้มันมี “ความหมาย” ดังนั้นชีวิตเราจึง “ขึ้นอยู่” กับภาพและถ้อยคำ
กล่าวอีกอย่างก็คือ เราคิดได้ด้วยภาพและถ้อยคำ
ความคิดบางอย่างเป็นแค่เรื่องราวธรรมดาในชีวิตประจำวัน
ความคิดบางอย่างถูกจัดเป็นระบบ-ระเบียบ เป็นสิ่งที่เรียกว่าทฤษฎี องค์ความรู้ จารีต ประเพณี ลัทธิ- อุดมการณ์ต่างๆ ฯลฯ
ดังนั้น ความคิดและความเชื่อใดๆ ไม่ว่าดีหรือเลว ผิดหรือถูกก็ล้วนแต่เป็น “มโนภาพ” (ภาพและภาษา)
เราคิดแล้วก็ทำตามหรือไม่ทำตามความคิดนั้น
ถ้าคิดแล้วเชื่อก็ทำตามมัน ถ้าไม่เชื่อก็ปฏิเสธหรือละทิ้ง หรือต่อต้านมัน
เมื่อเราคิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกันก็เป็นพวกเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่ถ้าไม่เหมือนกัน ความขัดแย้ง ความเป็นศัตรูก็เกิดขึ้น
มโนภาพเป็นของเทียม เป็นของมือสอง เมื่อเราหลงยึดเอามโนภาพทั้งหลายเป็นตัวเราและของเรา เราจึงมีชีวิตเทียม เป็นชีวิตมือสอง
ชีวิตที่แท้นั้น คือชีวิตที่สื่อสารกับโลกธรรมชาติภายนอกตัวเราและภายในจิตใจ “โดยตรง” ไม่ผ่านการคิดใดๆ ไม่ให้ความหมายใดๆกับสิ่งที่เรารับรู้จากการสื่อสารนั้น นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้สึก”
ความรู้สึกเป็นของจริง ไม่ต้องผ่านการคิด ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ
เมื่อเรากินมะนาว เราก็ “รู้สึก” ว่ามันเปรี้ยว โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องอธิบายรสชาติของมัน
ถ้าเราคิดหรืออธิบายเมื่อใดมันจะเป็นความคิดหรือมโนภาพทันที
ชีวิตเราทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับมโนภาพต่างๆในใจเรา เราทำตามมันไม่ว่าดีหรือเลว โดยมี “ความอยาก- ความปรารถนา” เป็นตัวหลอกล่อและขับเคลื่อน
เราจึงเป็นเครื่องมือและทาสของมัน(มโนภาพและตัณหา)
มันสามารถบงการเราให้ดำรงชีวิตไปตามคำบัญชาของมัน ทำให้เราแบ่งแยกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เข่นฆ่าทำลายล้างกัน ทั้งในเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม
มันเป็นผู้สร้างสงครามโลก
แม้เราไม่สามารถปฏิเสธความคิดหรือเลิกคิดได้ แต่เราสามารถรู้เท่าทันมันได้ สามารถละเลิกยึดมั่นถือมั่นมันได้ เราทำได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นชีวิตเราจะมี ‘อิสรภาพ’
ชีวิตที่มีอิสรภาพ...เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ด้วยปัญญาและความรักอันไร้ขอบเขต ไม่มีความขัดแย้ง ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น ไม่สร้างสิ่งที่เรียกว่า “คนอื่นฝ่ายอื่น” และไม่สร้างสงคราม.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี