ใครๆก็รู้ว่าก่อนหน้าที่ชาวยุโรปจะอพยพเข้ามาปล้นและแย่งชิงแผ่นดินที่เป็นอเมริกาในปัจจุบัน แผ่นดินนี้เป็นที่อยู่อาศัยของอินเดียนแดงมานานนับพันปีแต่เมื่อคนผิวขาวละโมบอยากได้ใคร่มีในแผ่นดินคนอื่นจึงบังคับอินเดียนแดงด้วยปืนและการฆ่าให้อยู่ในพื้นที่จำกัดที่เรียกว่า “เขตสงวน”ซึ่งเขตสงวนนี้แห้งแล้งกันดารเพาะปลูกอะไรไม่ขึ้นและเป็นแผ่นดินที่คนผิวขาวไม่ต้องการ
เมื่อนำทาสผิวดำเข้ามาใช้แรงงานในไร่ฝ้ายและไร่ยาสูบทางตอนใต้สันดานฝรั่งผิวขาวก็ไม่เคยเปลี่ยนยิ่งเพิ่มความดูถูกเกลียดชังในทุกสีผิวที่ไม่ใช่ผิวขาวเหมือนตนความชิงชังต่อคนสีผิวอื่นนี้ยังคงดำรงอยู่ไม่ได้เจือจางห่างหายไปแม้แต่น้อยแม้จำเป็นต้องเก็บอคติและความจงชังไว้ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้สิทธิทุกคนในอเมริกาโดยเท่าเทียมกันแต่ความเท่าเทียมก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้นเอง
ตั้งแต่ลุงทรัมป์มานั่งแท่นเป็นประธานาธิบดีก็ทยอยผุดนโยบายที่เห็นได้ชัดว่าเหยียดสีผิวมาให้เห็นไม่ว่าจะเป็นการกีดกันชาติมุสลิมหรือความคิดในการสร้างกำแพงกั้นระหว่างอเมริกากับเม็กซิโกล่าสุดคือการพยายามเตะหนุ่มสาวดรีมเมอร์หรือลูกหลานผู้อพยพออกนอกประเทศ
แถมยังทวิตถ้อยคำเชิงเหยียดผิวและเชื้อชาติออกมาให้ชาวโลกเห็นอยู่ตลอดเวลา
การเหยียดผิวและอคติต่อเชื้อชาติอื่นที่ใช่คนผิวขาวของทรัมป์สะท้อนออกมาให้เห็นอยู่ตลอดเวลาจนในอเมริกามีการแปลงสโลแกนของทรัมป์ที่คุยโอ่ว่า “Make Americagreat again” เป็น “Make America white again” หรือจาก“ทำอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” เป็น “ทำอเมริกาให้มีแต่คนผิวขาวอีกครั้ง”
ระยะหลังลามปามก้าวร้าวไปถึงเจ้าของแผ่นดินดั้งเดิมอย่างอินเดียนแดงเมื่อปลายปี ตาทรัมป์เรียกอลิซาเบธ วอร์เรนอดีตวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตเชื้อสายอินเดียนแดงว่า “โพคาฮอสตัส”สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่เนถีฟอเมริกันหรือชาวอินเดียนแดงในอเมริกาอย่างหนัก จนทำให้หัวหน้าเผ่านาวาโฮออกมาแขวะแรงๆ ว่าอินเดียนแดงมีบุญคุณกับคนขาวมาโดยตลอดโดยเฉพาะเผ่านาวาโฮที่ร่วมรบในสงครามโลกและใช้ภาษาเผ่าตนเป็นรหัสลับทำให้ญี่ปุ่นถอดความและแปลไม่ออก
ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ทรัมป์ใช้คำว่า “ประเทศโสโครก” โดยเจาะจงถึงผู้ลี้ภัยจากเฮติ เอลซัลวาดอร์และประเทศอื่นๆในทวีปแอฟริกา ต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้คำแรงมากคือทรัมป์ใช้คำว่า “‘shithole’ countries” ถ้าแปลแบบบ้านๆ ก็ “ประเทศรูขี้”นั่นเองสร้างความไม่พอใจไปทั่วโลกจนทูตประเทศเหล่านั้นประท้วงกันเป็นทิวแถว
เมื่อหัวแถวเป็นแบบนี้สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีคือหางแถวลุกขึ้นมาออกโรงเหยียดคนผิวสีอื่นและเชื้อชาติอื่นให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆบางคนถึงขนาดโทรไปด่าสื่อมวลชนที่ทรัมป์เกลียดชังเป็นส่วนตัวแล้วขู่ฆ่านักข่าวกันเลยทีเดียว
ในเพจ Now This ซึ่งสะท้อนภาพเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในอเมริกาไปจนถึงภาพรวมนำคลิปเหตุการณ์จริงเหตุการณ์หนึ่งมาแสดงสะท้อนให้เห็นอคติอย่างไร้สติของคนอเมริกันเหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปีกลายที่ผ่านมานักศึกษาเกาหลีสองคนทบทวนบทเรียนและสอนการเขียนเรียงความให้กันและกันในร้านกาแฟสตาร์บัคเมืองวอลนัทครีคในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเมืองนี้อยู่ห่างจากซานฟรานซิสโกเพียงแค่ 50 ไมล์หรือขับรถประมาณ30 นาที ถือเป็นชานเมืองของซานฟรานซิสโกอันเป็นเมืองที่ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งเป็นคนจีนมีชุมชนคนจีนไชน่าทาวน์ขนาดใหญ่ใจกลางซานฟรานซิสโก
นักศึกษาเกาหลีทั้งสองคนทบทวนตำราและคุยกันด้วยภาษาแม่ของตนเองแต่หญิงผิวขาวชาวอเมริกันวัยกลางคนตะโกนด่านักศึกษาเกาหลีว่า“กลับประเทศไปซะ หรือไม่ก็พูดภาษาอังกฤษในเมื่อมาอยู่ในอเมริกาแล้ว อย่ามาพูดภาษาโสโครกแบบนี้ที่นี่ฉันเกลียดมาก”
บาริสต้าของร้านจึงเชิญหญิงผิวขาวรายนั้นออกจากร้านแต่เธอไม่ยอมออกจากร้าน แถมด่าทอยืดยาวว่าไม่ต้องการได้ยินภาษาเอเซียใดๆ ทั้งนั้นเพราะเป็นภาษาที่น่ารังเกียจบาริสต้าจึงโทรเรียกตำรวจให้ป้าคนนั้นไปสนทนาภาษาอังกฤษกับตำรวจให้ชื่นหัวใจต่อไป
เรื่องไม่ได้จบลงแค่นี้ เมื่อเข้าไปในเพจต้นเรื่องมีข้อความสนับสนุนหญิงผิวขาวคนนั้นมากมายหลายพันคนแสดงให้เห็นถึงอคติของคนผิวขาวที่ยังหยั่งรากฝังลึกมาจนทุกวันนี้แม้ในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเท่าเทียมและมีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว
คนผิวขาวที่มีอคติต่อคนผิวสีอื่นที่เคยเก็บความเกลียดชังไว้ในส่วนลึกของหัวใจเมื่อหัวแถวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจงเกลียดจงชังและมีอคติกับคนสีผิวอื่น เช่น คนผิวดำ กลุ่มฮิสแปนิกอย่างเม็กซิกันหรือคนผิวเหลืองอย่างชาวเอเซียทำให้เกิดแนวคิดว่าหากตนจะแสดงความเกลียดชังหรืออคติต่อคนในสังคมที่ไม่ใช่คนผิวขาวเป็นเรื่องที่สามารถทำได้เพราะขนาดประธานาธิบดียังแสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดแล้วทำไมตนจะทำบ้างไม่ได้จนบางทีอคติผสมกับความรู้รอบตัวไม่สูงนักเป็นเหตุให้เกิด “ตลกร้าย”ขึ้นอย่างเช่นกรณีนี้
เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา กลุ่มผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์รวมกลุ่มกันแสดงตัวสนับสนุนทรัมป์ที่อริโซน่าในการออกกฎหมายเกี่ยวกับผู้อพยพคนกลุ่มนี้ชุมนุมกันพลางโบกธงไปมาหน้าตึกที่ทำการรัฐทันใดนั้นกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์เหลือบไปเห็นชายผิวสีน้ำตาลคนหนึ่งก็ตะโกนโห่ไล่ว่า
“กลับประเทศแกไปซะ แกมันหนีเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย”
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกร้ายเพราะชายคนนั้นคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชองอริโซนาชื่อ อีริค เดสชินีซึ่งเป็นอินเดียนแดงเผ่านาวาโฮ ซึ่งตะโกนกลับไปว่า
“อย่ามาตั้งคำถามแบบนี้กับผม ผมเป็นอินเดียนแดงบรรพบุรุษผมอยู่ที่นี่มาก่อนพวกคุณเกิดและตายเพื่อปกป้องแผ่นดินนี้มาหลายชั่วอายุคน”
แต่ที่ตลกไปกว่านั้นคือ กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ชี้ไปชายอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนผิวขาวแล้วไล่ให้ออกจากประเทศและชี้หญิงผิวขาวที่เดินมาพร้อมกับชายคนนั้นแล้วบอกว่า
“คุณอยู่ได้ ไม่ต้องออกนอกประเทศหรอก”
ไล่ใครไม่ไล่ ดันไปไล่อินเดียนแดงให้ออกจากแผ่นดินเกิดตัวเองแทนที่จะเงิบกลับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปความกร่างของพวกหางแถวยังไม่หมดแต่กลับปรากฎกระจายตัวทั่วประเทศ ชายหนุ่มรัฐมิชิแกนคนหนึ่งคาดว่าเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์เช่นกันโทรไปขู่ฆ่านักข่าวซีเอ็นเอ็นสำนักงานใหญ่ในรัฐจอร์เจีย
แบรนดอน กรีซเมอร์โทรศัพท์เข้าไปที่สำนักงานใหญ่ของซีเอ็นเอ็นที่เมืองแอตแลนตารัฐจอร์เจีย 22 ครั้ง ระหว่างวันที่ 9 - 10 มกราคมที่ผ่านมาโดยข่มขู่จะใช้ความรุนแรงต่อพนักงานของสถานีรวมถึงใช้ถ้อยคำเหยียดเชื้อชาติกรีซเมอร์บอกโอเปอร์เรเตอร์ของซีเอ็นเอ็น ว่า
“ฉันกำลังไปหาพวกแกแล้วในตอนนี้เพื่อจะยิงไอ้พวกซีเอ็นเอ็นให้ร่วง ฉันจะไปฆ่าพวกแก ฉันฉลาดกว่าแกมีอำนาจมากกว่าแก มีปืนมากกว่าแก มีกำลังคนมากกว่าพวกแกพวกแกจะโดนยิงร่วงในอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันมีปืนและกำลังไปที่จอร์เจียในตอนนี้จะไปที่สำนักงานใหญ่ซีเอ็นเอ็นแล้วใช้ปืนยิงพวกแกทุกคนฉันมีพรรคพวกไปเป็นทีม และกำลังจะยิ่งใหญ่”
แถมยังเรียกสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า “ข่าวปลอม”แบบเดียวกับที่ทรัมป์เรียกซีเอ็นเอ็นอยู่ตลอดเวลาเรียกได้ว่าถอดความกร่างอหังการ์จากหัวขบวนมาอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยทีเดียว
นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟังการเหยียดผิวและเกลียดชังต่อคนอเมริกันเชื้อชาติอื่นที่ไม่ใช่คนผิวขาวแผ่กระจายไปทั่วอเมริกามากขึ้นทุกขณะ แม้กระทั่งในเมืองเล็กๆที่ผู้เขียนอาศัยในรัฐอินเดียน่าก็เริ่มปรากฎให้เห็นทำให้รู้สึกถึงไม่ปลอดภัยคนไทยในอเมริกาหลายคนก็ให้ข้อมูลว่ารู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกาวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี