ผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับจิตใจหลายครั้งในคอลัมน์นี้...โดยเฉพาะเรื่อง “ความคิด ความเชื่อ รวมถึงมโนภาพ และมโนทัศน์” ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ต่างมุมมองและเหลื่อมซ้อนกัน แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็เป็นเรื่องของจิตใจที่พุทธศาสนาเรียกว่า “จิต”
ในมุมมองของนิเวศวิทยาเรียกว่า “นิเวศวิทยาด้านจิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในนิเวศวิทยาสมัยใหม่
จิตมนุษย์นี้แหละที่เป็นต้นเหตุของทุกเรื่องราวของมนุษยชาติ ทั้งดีและชั่ว ทั้งเรื่องสันติภาพและสงคราม ฯลฯ แต่กลับเป็นเรื่องที่คนทั่วไปและการศึกษาไม่เคยให้ความสำคัญ ไม่สนด้วยซ้ำ เพราะคนสมัยใหม่และการศึกษาที่เรารับมาจากตะวันตกนั้นเชื่อในเรื่องวัตถุ
เชื่อว่ามีแต่วัตถุ ไม่มีจิต
ในสมัยปัจจุบันแม้จะยอมรับว่ามีสิ่งที่เรียกว่าจิต แต่ก็ยังเชื่อว่าจิตเกิดจากวัตถุ ซึ่งสรุปแล้วก็ยังเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตของเราและสากลจักรวาลเป็นวัตถุอยู่ดี และจิตก็เป็นผลผลิตของวัตถุ เมื่อเชื่ออย่างนี้เราจึงเพ่งเล็งไปที่วัตถุล้วนๆ จะคิดจะทำสิ่งใดก็ทำด้วยวัตถุเพื่อวัตถุ จะสร้างหรือแก้ปัญหาอะไรก็สร้างและแก้ที่วัตถุ
ไม่สร้างไม่แก้ที่จิต
ทั้งที่จิตนั้นเป็นตัวสร้างชีวิตเรา(กรรมชรูป)และบงการชีวิตเรา(จิตตชรูป)อยู่ทุกขณะจิต
พระพุทธศาสนาย้ำว่า “จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน” เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่จิตก่อน ถ้าจิตมีคุณสมบัติที่ดีก็ย่อมจะสร้างชีวิตเราให้ดี เมื่อสร้างวัตถุรูปลักษณ์ใดๆก็จะได้สิ่งที่ดี
จิตดี คนย่อมดี สังคมย่อมดี
จิตชั่ว คนย่อมชั่ว สังคมย่อมชั่ว
ผมจึงเขียนเรื่อง “จิต” อยู่เนืองๆ แม้ว่าจะไม่มีคนสนใจอ่านนัก
เมื่อตอนที่แล้วผมเขียนเรื่อง “สงครามแห่งมโนภาพ” ซึ่งก็เป็นเรื่องจิต แต่เป็นจิตที่ทำงานในระดับมโนภาพ ซึ่งมนุษย์ยึดถือเอาว่าเป็นตัวเรา – ของเรา และเป็นชีวิตจริงของเรา
แต่พุทธศาสนาบอกว่ามันเป็นเพียงสิ่งสมมุติ
เมื่อถามว่า “มีจริงไหม” พุทธศาสนาก็ตอบว่า “มี”
แต่มีแบบไม่จริง หรือมีแบบสมมุติ ดังที่พุทธศาสนาเรียกว่า “สมมุติสัจจะ” หรือความจริงอย่างที่มนุษย์สมมุติขึ้นเอง (คือภาพและภาษาหรือเรียกรวมๆว่ามโนภาพ) เมื่อสมมุติขึ้นมาแล้วก็ทึกทักยึดมั่นถือมันว่าเป็นความจริงแท้หรือเป็น “ปรมัตถสัจจะ” แล้วเราก็ดำเนินชีวิตไปตามสมมุติสัจจะที่หลงเข้าใจเอาว่าเป็นปรมัตถสัจจะนั้น!
มนุษย์คนแรกจนกระทั่งถึงมนุษย์คนปัจจุบันก็ล้วนแต่ยึดมั่นถือมั่นและดำเนินชีวิตตามสมมุติสัจจะทั้งนั้น (ยกเว้นอริยบุคคล) เพราะ “คิดและเชื่อความคิด” ที่เกิดจากมโนภาพ (ภาพและภาษา) ของตน
เมื่อ “ความคิดและความเชื่อ” เป็นเพียงมโนภาพ และมโนภาพไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงเงาของความจริง เมื่อเรายึดมั่นต่อความคิดและความเชื่อและดำเนินชีวิตตามมัน ก็เท่ากับเรามีชีวิตเพียงเงาและอยู่ภายใต้การบงการ – การกำกับของมัน
เราจึงไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงอย่างเต็มเปี่ยม อย่างมากก็แค่ครึ่งๆกลางๆ แค่ครึ่งชีวิตครึ่งเงา
แย่กว่านี้...มันทำให้ชีวิตครึ่งๆกลางๆของเราตกอยู่ในอิทธิพลของอดีต เราไม่เคยมีชีวิตอยู่จริงใน “ปัจจุบันขณะ” หรือมีชีวิตอยู่ในขณะจิตแห่งปัจจุบันเลย เพราะทันที่เราลืมตาเราก็คิดไม่หยุด ยามหลับก็ยังคิดอีกที่เรียกว่าความฝัน
เพราะอะไร?
เพราะมโนภาพเป็นเพียงความทรงจำ ความทรงจำเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เป็นสิ่งเก่า เป็นอดีต แต่เรากลับนำมันมา “คิดนึก” ให้เป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในปัจจุบัน และดำเนินชีวิตในปัจจุบันตามมัน ซ้ำยังคาดหวังไปในอนาคตอีกด้วย นั่นเท่ากับว่าเรามีชีวิตอยู่ในอดีต เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ
เพราะความคิดนั้นเป็นอดีตเสมอ
ทนทีที่เราคิดจบ ทั้งทีละคำ ทีละวลี หรือทีละประโยคเสร็จ มันก็เก่าไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว
ในมุมมองของ “กรรมและวิบาก” เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากรรมและวิบากไม่มีจริง ไม่ส่งผลจริงอยู่ในชีวิตของเรา เพราะมโนภาพนั่นแหละคือกรรมและผลของกรรม..ที่มันส่งผลอยู่ในชีวิตปัจจุบัน
จึงเท่ากับว่าเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่โดยผลของกรรมหรือวิบาก พร้อมกันนั้นก็สร้างกรรมใหม่(ที่ได้รับอิทธิพลมาจากกรรมเก่าและวิบาก) ต่อเนื่องไปในอนาคตอีก
หากไม่ยุติการยึดมั่นถือมั่นต่อมโนภาพทั้งหลายทั้งปวง วัฏฏะแห่งกรรมและวิบากก็จะไม่สิ้นสุดลง ปัญหาชีวิตส่วนตัว ปัญหาครอบครัว ปัญหาของสังคมประเทศ ปัญหาของโลก ความขัดแย้งทุกชนิดและทุกเรื่องราว กระทั่งลุกลามเป็นสงครามทุกขนาดก็จะยังคงอุบัติต่อไป
ซึ่ง “เหตุ” ของมันทั้งหมดก็คือ “มโนภาพกับตัณหา”
เมื่อมนุษย์เข้าเข่นฆ่าทำลายล้างกันจนกลายเป็นสงคราม ไม่ว่าจะใหญ่เล็กขนาดไหน กระทั่งเป็นสงครามโลกก็ล้วนแต่เป็น “สงครามแห่งมโนภาพ” ทั้งสิ้น
มนุษย์เป็นแค่เครื่องมือของมัน.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี