คนไทยส่วนหนึ่งมีค่านิยมว่าอยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการสื่อสารภาษาอังกฤษต้องดีในระดับเดียวกับเจ้าของภาษา จึงนิยมส่งลูกหลานมาเรียนต่ออเมริกา เด็กบางคนพ่อแม่ส่งมาเรียนที่นี่ตั้งแต่ชั้นมัธยมเลยทีเดียว หรือคุณแม่ชาวไทยยอมเดินทางมาคลอดในอเมริกาเพื่อจะได้สิทธิพลเมืองอเมริกันให้ลูก เพราะเชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาประเทศนี้ดีที่สุดในโลก
อยากให้ลองนึกภาพตามนะคะ เช้าวันหนึ่งในอเมริกา ขณะที่ลูกหลานของเราไปโรงเรียนที่เราเชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาดีเลิศ ทันใดนั้นเสียงปืนแผดรัวสนั่นหวั่นไหวแบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เด็กนักเรียนกรีดร้องแล้วทิ้งตัวลงกับพื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม ทั้งครูและนักเรียนวิ่งพล่านอย่างตระหนกตกใจไปทั้งโรงเรียน เลือดสาดเปรอะไปทั่ว เพราะนักเรียนบางคนแปลงกายเป็นฆาตกรวัยเยาว์ กราดยิงเพื่อนร่วมโรงเรียนแบบไม่เลือกหน้า
เพียงเดือนกว่าๆ ตั้งแต่มกราคมจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 หรือแค่ 45 วันที่ผ่านมา เกิดการกราดยิงในโรงเรียนถึงสามหน โดยหนแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคมปีนี้ เด็กนักเรียนชายวัยเพียงแค่ 16 ปียิงนักเรียนหญิงวัย 15 ปีในโรงอาหารโรงเรียนมัธยมปลายที่เมืองอิตาลีรัฐเท็กซัส ตำรวจควบคุมตัวนักเรียนมือปืนไว้ได้
วันรุ่งขึ้นหลังการยิงเพื่อนนักเรียนในโรงเรียนที่รัฐเท็กซัส เด็กชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมมาร์แชลเคาน์ตี้ในเมืองเบนตัน รัฐเคนทักกี้ เดินทางไปโรงเรียนตามปกติเช่นที่เคยทำเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่ที่ไม่ปกติคือ เด็กชายวัยสิบห้ารายนี้ยกปืนกราดยิงแบบไม่เลือกหน้าในโรงเรียนตนเอง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน เป็นเด็กนักหญิงกับเด็กนักเรียนชายวัย 15 ปี นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 17 คน
พอย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์ในวันวาเลนไทน์ ซึ่งใครๆ ต่างก็เตรียมตัวฉลองความรักกันอย่างสนุกสนานหวานชื่น นักเรียนคนหนึ่งได้เปลี่ยนโรงเรียนตนให้กลายเป็นลานสังหารและเปลี่ยนดอกกุหลาบแดงให้กลายเป็นทะเลเลือดในเมืองพาร์คแลนด์ รัฐฟลอริด้า
นิโคลัส ครูซวัย 19 ปี อดีตนักเรียนที่ถูกลงโทษไล่ออกสวมหน้ากากป้องกันแก๊ส ใมมือมีปืนไรเฟิล AR-15 และระเบิดควันเดินเข้าโรงเรียนมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของตนเอง แล้วดึงสัญญาณเตือนไฟไหม้ จากนั้นก็ใช้ปืนไรเฟิลกระหน่ำยิงแบบไม่ยั้งมือจนมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 17 ศพ และมีผู้บาดเจ็บอีก 15 ราย
เมลิสซา ฟอลโควสกี ครูคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เธอและนักเรียนอีก 19 คนต้องเข้าไปหลบอยู่ในตู้เก็บของนาน 40 นาที จนกระทั่งหน่วย SWAT มาถึง คริสทีน ฮันสชอฟสกี นายกเทศมนตรีเมืองพาร์คแลนด์ เล่าว่า
“พวกนักเรียนตกใจกลัวกันมาก... และอยู่ในอาการช็อกขณะที่เดินออกมา
นิโคลัส ครูซจะถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคำขอประกันตัว ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 17 กระทง
สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอเปิดเผยว่า เคยได้รับแจ้งเบาะแสในเดือนกันยายนเกี่ยวกับข้อความในโลกออนไลน์ที่ระบุว่า
"ฉันจะเป็นมือปืนยิงในโรงเรียน"
ข้อความนี้เป็นคอมเมนท์หนึ่งของคนที่ลงชื่อว่า "นิโคลัส ครูซ" ในวีดีโอยูทูปของคนอื่น ซึ่งเชื่อว่าเจ้าของคอมเมนท์คือคนเดียวกับผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เอฟบีไอออกมายอมรับว่า เคยมีผู้แจ้งเตือนตั้งแต่เดือนมกราคมว่า นิโคลัส ครูซ วัย 19 ปี อาจกำลังวางแผนสังหารหมู่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้
เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุความรุนแรงครั้งที่ 18 ซึ่งเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาในปีนี้จากข้อมูลของกลุ่มสนับสนุนควบคุมอาวุธปืน Everytown for Gun Safety บ่งชี้ถึงรูปแบบปัญหาเดิมๆ ที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันเหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุกราดยิงนองเลือดที่สุดอันดับ 2 ในโรงเรียนรัฐบาล รองจากเหตุสังหารหมู่ที่โรงเรียนประถมแซนดีฮุค ในเมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนตทิคัตที่คร่าชีวิตเด็กนักเรียน 20 ศพและครู 6 ศพเมื่อปี 2012
หลังเหตุกราดยิงโรงเรียนประถมแซนดีฮุคในเมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนตทิคัต เมื่อปี 2012 โรงเรียนทั่วอเมริกาก็เพิ่มมาตรการแจ้งเตือนและฝึกซ้อมรับมือเหตุฉุกเฉินบ่อยยิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเหตุยิงกันภายในโรงเรียนเกิดขึ้นอย่างน้อย 291 ครั้งตั้งแต่เดือน ม.ค. ปี 2013 เป็นต้นมา หรือเฉลี่ย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ตามข้อมูลจากองค์กรไม่แสวงผลกำไร Everytown for Gun Safety ซึ่งรณรงค์ให้มีการควบคุมปืน
นี่แค่ 45 วันของปี 2018 แต่เกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนถึง 3 หนเข้าไปแล้ว ยังไม่นับเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นที่อื่นอีกนับไม่ถ้วน การกราดยิงในอเมริกาเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่มีความปลอดภัยใดๆ หรืออะไรมาการันตีว่าจะไม่เกิดขึ้นใกล้บ้าน เพราะสามารถเกิดขึ้นทั้งในเมืองเล็กๆ และเมืองใหญ่ แม้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างในโบสถ์ก็ปรากฎให้เห็นเป็นข่าวอยู่เสมอ ว่ามีไอ้บ้าควงปืนเดินดุ่มๆ เข้าไปยิงคนในโบสถ์หรือในวิหารของศาสนาอื่น โดยที่ไม่มีเรื่องราวขัดแค้นเคืองใจระหว่างกัน แทบทุกครั้งมักปิดเคสว่า “ไม่ใช่การก่อการร้ายและไม่มีแรงจูงใจในการก่อการ”
อเมริกาเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงบ่อยที่สุดในโลก สะท้อนให้เห็นปัญหาการครอบครองอาวุธปืนที่เปิดเสรีทุกรัฐ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐหรือเอ็นไอเอชระบุว่า อเมริกาเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดเหตุกราดยิงเพื่อสังหารหมู่เป็นจำนวนมากครั้งที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของเหตุกราดยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก
ในบ้านลุงแซมนั้นมีปืนหมุนเวียนในตลาดมากที่สุดในโลก คืออยู่ที่ประมาณ 270-310 ล้านกระบอก เทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ราว 319 ล้านคน หมายความว่าชาวอเมริกันทุกคนครอบครองปืนคนละหนึ่งกระบอก
หลังเหตุการณ์กราดยิงในที่สาธารณะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนอเมริกันเลยหันมาถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าควรออกกฎหมายจำกัดสิทธิในการพกปืนหรือไม่ เพราะการมีปืนไว้ครอบครองนั้นง่ายมาก ทุกคนเลยอยากซื้อปืนโดยอ้างว่ามีไว้ป้องกันตัว แต่ไม่มีใครย้อนคิดถึงสาเหตุของการมีปืนไว้ประจำบ้านว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน
การให้ประชาชนมีอาวุธปืนไว้ใช้ป้องกันตนเองถูกตราไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของปวงประชามะริกัน ฝ่ายที่สนับสนุนการมีปืนในครอบครองก็อ้างว่าการครอบครองอาวุธปืนเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา แถมแย้งว่าหากมีการออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนจะยิ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรต่างๆ มากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่สามารถปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามต่างๆ ได้
ในยุคประธานาธิบดีโอบาม่ามีการใช้กฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการซื้อขายอาวุธปืนในอเมริกา ว่านับจากนี้เป็นต้นไปกำหนดให้มีการตรวจสอบภูมิหลังผู้ขอซื้อปืนเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากมีแถลงการณ์นี้ออกมา สมาชิกสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติก็โวยวายทันทีโดยอ้างว่า “ขัดต่อหลักการเสรีภาพของอเมริกา”
จะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะสมาคมปืนยาวแห่งชาติ (The National Rifle Association-NRA) มีอิทธิพลสูงมากในสภา และเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพรรครีพับลิกันอีกต่างหาก ในขณะที่ผลประโยชน์ในด้านการค้าอาวุธของอเมริกานั้นมีมูลค่ามหาศาลทางเศรษฐกิจ
ส่วนลุงทรัมป์กทวิตรัวๆ ประกาศไว้ทุกข์ทั่วประเทศ แต่ไม่แตะต้องประเด็นร้อนเกี่ยวกับสิทธิครอบครองอาวุธปืนเลยแม้แต่นิดเดียว กลับหันไปเห่าใส่เอฟบีไอว่ามัวแต่หมกมุ่นจับผิดลุงแกเรื่องคดีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง จนทำหน้ามึนต่อสัญญาณเตือนอันตรายเรื่องอื่นๆ
เมื่อหัวขยับ หางก็ออกมาคำรามแง่งๆ ตาม เจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรียุติธรรมกับริก สก็อตต์ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาสังกัดพรรครีพับลิกันสุดที่เลิฟของลุงทรัมป์ออกมาเรียกร้องให้คริสโตเฟอร์ เรย์ ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการเอฟบีไอเพื่อรับผิดชอบเรื่องนี้ เรียกว่าได้ทีขี่แพะไล่กันเลยทีเดียว
เรื่องการกราดยิงในอเมริกานี่เป็นปัญหาโลกแตกและหนักอกของรัฐบาลมาทุกยุคสมัย เพราะแตะไม่ได้ การแตะต้องหมายถึงทุบหม้อข้าวตัวเองชัดๆ ใครๆ ก็รู้ว่าเงินสนับสนุนพรรคก้อนโตมาจากสมาคมปืนยาวแห่งชาติหรือเอ็นอาร์เอนี่แหละ
สมาคมปืนยาวแห่งชาติ (The National Rifle Association-NRA) มีงบมหาศาลที่จะทุ่มไปกับการล็อบบี้นักการเมือง แถมยังมีสมาชิกที่เป็นผู้ออกเสียงอีกราว 5 ล้านคน เมื่อปี 2016 เอ็นอาร์เอทุ่มงบประมาณ 4 ล้านดอลลาร์หรือ133.5 ล้านบาทไปกับการล็อบบี้ และอีกกว่า 50 ล้านดอลลาร์หรือ 1.7 พันล้านบาท เพื่อหาเสียงสนับสนุนทางการเมือง รวมถึงอีกประมาณ 30 ล้านดอลลาร์คือราวๆ 1 พันล้านบาท เพื่อช่วยให้ป๋าทรัมป์ให้ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
ความพยายามผ่านร่างกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมปืนในบ้านลุงแซม ถูกสกัดกั้นในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีพรรครีพับลิกันเป็นเสียงข้างมากมาตั้งแต่ปี 2011 ในปี 2016 ส.ส.พรรคเดโมแครตกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันประท้วงด้วยการนั่งบนพื้นในสภา เนื่องจากสภาคอมเกรสอันเป็นลิ่วล้อลูกหาบพรรครีพับลิกันกุมอำนาจไม่ยอมเปิดการลงคะแนนร่างกฎหมายควบคุมอาวุธปืน 2 ฉบับ
เมื่อเป็นแบบนี้ก็อย่าหวังเลยตาทรัมป์ผมเป๋จะเห็นหัวประชาชนและเด็กนักเรียนอเมริกันอันเป็นอนาคตของชาติโดยยอมพ๊ะบู๊กับ NRA คงทำบ่ายเบี่ยงเพิกเฉยให้คำตอบลอยหายไปในสายลม สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ตลอดระยะเวลายาวนานสะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติในสังคมบ้านลุงแซมได้อย่างชัดเจน แต่เชื่อเถอะว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความเงียบ แล้วเกิดโศกนาฏกรรมครั้งต่อไปอย่างไม่รู้จบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี