เดือนนี้คงเป็นเดือนที่ประธานาธิบดีผมเป๋จดจำไปจนวันตาย เนื่องจากได้รับเกียรติสูงสุดอย่างที่น้อยคนจะเคยได้รับ ทั้งที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีได้เพียงปีเดียวเท่านั้น นั่นคือตำแหน่งประธานาธิบดียอดแย่แห่งชาติ โดยรั้งตำแหน่งที่โหล่ ผลักอดีตประธานาธิบดีขี้ขลาดไร้ความรับผิดชอบอย่างประธานาธิบดีเจมส์ บูแคนันกระเด็นไปหลายเมตรเลยทีเดียว จากนั้นลุงทรัมป์ก็ขึ้นนั่งแทน “ประธานาธิบดียอดยี้” แห่งอเมริกาอย่างสง่างาม
จากผลสำรวจ “ประธานาธิบดีและความยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีในการเมืองของฝ่ายบริหารประจำปี 2018” ที่จัดทำขึ้นเป็นประจำทุก 4 ปี โดยสำรวจความคิดเห็นนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์ของสมาคมรัฐศาสตร์ เกี่ยวกับประธานาธิบดีและการเมืองของฝ่ายการบริหาร ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นให้คะแนนความยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีแต่ละคนจาก 0 ถึง 100 ซึ่ง 100 คือยิ่งใหญ่, 50 คือปานกลาง และ 0 คือล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ผลประจำปีนี้คือลุงทรัมป์ได้คะแนนแค่ 12.34 แย่งตำแหน่งที่โหล่จากประธานาธิบดี เจมส์ บูแคนันไปครอง คนอเมริกันไม่ชอบเจมส์ บูแคนัน เพราะเป็นประธานาธิบดีก่อนหน้าอับราฮัม ลินคอล์นที่ไม่ยอมใช้อำนาจเด็ดขาดตอนสมาพันธรัฐหรือรัฐทางใต้แยกตัวออกจากรัฐบาลกลาง หวังโยนเผือกร้อนให้ประธานาธิบดีคนใหม่แก้ไขแทน ผลคือนำประเทศเข้าสู่สงครามกลางเมือง
จากการสำรวจปรากฎว่าประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ 7 อันดับแรกยังคงเดิมคือ อับราฮัม ตามด้วยจอร์จ วอชิงตัน, แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์, ธีโอออร์ รูสเวลต์, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, แฮร์รี ทรูแมน และดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ส่วนยอดยี้ 5 อันดับคือ บ๊วยสุดนั่นคือลุงผมเป๋ ตามมาด้วย แอนดรูว์ จอห์นสัน, แฟรงคลิน เพียร์ซ, วิลเลียม แฮร์ริสัน และ เจมส์ บูแคนัน
นักวิจัยขอให้นักรัฐศาสตร์ระบุชื่อประธานาธิบดีที่คิดว่าสร้างความแตกแยกมากที่สุด ผลปรากฏว่า นักรัฐศาสตร์ 90 จากทั้งหมด 170 คนยกให้ทรัมป์เป็นผู้นำที่สร้างความแตกแยกที่สุด งามไส้ไหมล่ะลุง นี่ขนาดแค่ปีเดียวเองนะ
นอกจากเรื่องครองแชมป์อันดับบ๊วยแล้ว ควันหลงจากวาเลนไทน์เลือดยังคงเป็นหัวข้อที่มะริกันชนให้ความสนใจ เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาเกิดการกราดยิงครั้งล่าสุดในโรงเรียนมัธยมมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส ในฟลอริดาทำให้นักเรียนและเจ้าหน้าที่โรงเรียนเสียชีวิตทั้งหมด 17 คน ซึ่งมือปืนสังหารโหดรายนี้คือนักเรียนเก่าวัย 19 ปีนั่นเอง
ผู้คนหลายพันเดินขบวนเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มงวดขึ้น หลังโศกนาฏกรรม มีการชุมนุมที่ฟอร์ต ลอเดอร์เดล และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กทางตะวันตกของฟลอริดา เรียกร้องให้รัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายคุมเข้มอาวุธปืน
นักการเมืองและสภาคองเกรสตลอดจนประธานาธิบดีอเมริกันทุกยุคทุกสมัยจะทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวในเรื่องนี้ เพราะสมาคมปืนยาวแห่งชาติ (The National Rifle Association – NRA) มีอิทธิพลสูงมากในสภา และเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพรรครีพับลิกันอีกต่างหาก ในขณะที่ผลประโยชน์ในด้านการค้าอาวุธของอเมริกานั้นมีมูลค่ามหาศาลทางเศรษฐกิจ
สมาคมปืนยาวแห่งชาติ (The National Rifle Association – NRA) มีงบมหาศาลทุ่มให้กับการล็อบบี้นักการเมือง แถมยังมีสมาชิกที่เป็นผู้ออกเสียงอีกราว 5 ล้านคน เมื่อปี 2016 เอ็นอาร์เอทุ่มงบประมาณ 4 ล้านดอลลาร์หรือ133.5 ล้านบาทไปกับการล็อบบี้ และอีกกว่า 50 ล้านดอลลาร์หรือ 1.7 พันล้านบาท เพื่อหาเสียงสนับสนุนทางการเมือง
เวลาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทีไร นักการเมืองไม่ว่าจะพรรคไหนก็ยิ้มสวยๆ แล้วหลบไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ทุกหน ทำราวกับว่าเป็นใบ้หูหนวกตาบอดกันหมด เหมือนหมดละอายไร้ยางไปเสียทุกปี คราวนี้เด็กเลยถอนหงอกคนแก่เสียเกือบหมดกบาล
ฟาบินา คอร์ซา นักเรียนมัธยมในฟลอริดาที่ร่วมชุมนุมที่ฟอร์ต ลอเดอร์เดล ฟันธงบอกโลกว่า สมาชิกสภาคองเกรสยอมแลกชีวิตนักเรียนเพื่อให้ได้เงินจากสมาคมปืนยาวแห่งชาติ มิหนำซ้ำนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายในฟลอริดาแห่งนี้กำลังวางแผนการเดินขบวน “March for Our Lives” ที่วอชิงตันในวันที่ 24 มีนาคมเพื่อเรียกร้องความสนใจต่อเรื่องความปลอดภัยในโรงเรียนและขอให้สมาชิกรัฐสภาออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนอีกด้วย
นี่ถือเป็นประเด็นร้อนฉ่าในเวลานี้เลยทีเดียว ไม่ว่ารัฐไหนตรอกซอกซอยใด คนอเมริกันต่างก็สนใจเรื่องนี้กันทั้งนั้น นอกจากนักเรียนที่ชื่อฟาบินา คอร์ซาลุกขึ้นมาตบหน้าสภาคองเกรสแล้ว นักเรียนคนอื่นๆ ก็ช่วยกันถอนหงอกคนแก่กันคนละไม้คนละมือ
ในช่วงแรกที่เกิดการกราดยิงในโรงเรียนหนนี้ ลุงทรัมป์ไปที่โรงเรียนดังกล่าว แต่อยู่เพียงแค่ชั่วโมงเดียว แล้วแทนที่ลุงทรัมป์จะทำอะไรให้ชาวบ้านประทับใจว่าห่วงใยชีวิตเด็กๆ อนาคตของชาติ ลุงกลับชี้นิ้วเร่าๆ ใส่เอฟบีไอแล้วทวิตด่ารัวๆ ว่า เอาแต่สอบสวนเรื่องที่ว่ารัสเซียเข้ามามีเอี่ยวกับการเลือกตั้งที่ทำลุงกลายเป็นประธานาธิบดี (ยอดยี้อันดับหนึ่ง) แทนที่จะไปสนใจเรื่องการกราดยิง แถมเยาะเย้ยจิกกัดพรรคเดโมโครตที่ไม่สามารถผ่านกฎหมายควบคุมปืนได้ นับว่าลุงกวนอวัยวะที่ใส่รองเท้าเอาการเลยทีเดียว
พอลุงพาลพะโลไปเรื่องอื่นแบบปัดสวะให้พ้นหน้า ชาวโลกก็โห่ฮาด่าทอ รวมทั้งเด็กนักเรียนโรงเรียนมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาสอีกเพียบ เพราะทุกคนมองออกว่าลุงแกเสื่อมศีลธรรมขนาดหนักถึงขั้นเอาความสูญเสียของประชาชนไปอ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เดวิด ฮอก นักเรียนโรงเรียนมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส วัย 18 ปีให้สัมภาษณ์รายการ “มีท เดอะ เพรสส์” ของเครือข่ายเอ็นบีซีแบบตบหน้าลุงทรัมป์หลายฉาดว่า
“โดนัลด์ ทรัมป์ คุณจะโทษเอฟบีไอเรื่องนี้ไม่ได้ ในเมื่อคุณเป็นประธานาธิบดี คุณต้องแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมด”
ที่แสบซึ้งถึงทรวงกว่านั้นคือ ไม่ใช่ป๋าทรัมป์จะโดนถอนหงอกคนเดียว แต่โดนเด็กมันถากถางเอายกทีม นั่นคือ วุฒิสมาชิกมาร์โค รูบิโอ จากพรรครีพับลิกัน (ทำเป็น) ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายของพรรคเดโมแครตในฟลอริดาเพื่อให้ศาลห้ามประชาชนครอบครองอาวุธปืนเป็นการชั่วคราว หากบุคคลนั้นเข้าข่ายเป็นภัยต่อตนเองและคนอื่น
ลูกหาบป๋าทรัมป์อีกรายคือ ริก สก็อต ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาสังกัดพรรครีพับลิกันเช่นเดียวกัน ร่วมพิธีสวดภาวนาในโบสถ์เฟิร์ตส์ เชิร์ช คอรัล สปริงส์ ดูเหมือนว่าเป็นคนมีจิตเมตตาเต็มประดา แต่เอ็มมา กอนซาเลซ นักเรียนที่รอดชีวิตอีกคนระบุชื่อทรัมป์ รูบิโอ และสก็อตต์ดังลั่นไปทั้งสามโลกผ่านจอทีวีว่า ทั้งสามท่านผู้ทรงเกียรตินี้แหละคือนักการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมปืนยาวแห่งชาติ (เอ็นอาร์เอ) ที่สนับสนุนการครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย
แถมยังปล่อยหมัดเด็ดฟาดหน้านักการเมืองผ่านรายการ “มีท เดอะ เพรสส์” ว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่จะต้องเลือกข้างที่ถูกต้อง เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่จะกวาดซุกใต้พรมได้อีกต่อไป เป็นไงล่ะ เฮีย เงิบไปเลยไหมล่ะ เจอเด็กถอนหงอกแล้วตอกหมัดเสยเต็มๆ
หลังจากหัวเริ่มโกร๋นเพราะถูกถอนหงอกอย่างจัง ลุงทรัมป์ก็เดินนวยนาดออกมาแถลงว่ารัฐบาลจะดำเนินการออกกฎหมายห้ามใช้อุปกรณ์เสริมบัมป์สต๊อก (bump stock) ที่ช่วยให้ปืนไรเฟิลสามารถยิงกระสุนได้เป็นร้อยๆ นัดต่อนาทีคล้ายปืนกล และจะเพิ่มมาตรการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืน รวมถึงเพิ่มเกณฑ์อายุต่ำสุดที่สามารถซื้ออาวุธได้ สรุปคือยังฉวัดเฉวียนไปมาโดยไม่เจาะเข้าเป้าคือการควบคุมอาวุธปืนเสียทีนั่นแหละ
จริงๆ นักการเมืองควรเลิกเห็นแก่ประโยชน์ทางการเมืองได้แล้ว ชีวิตคนไม่ใช่ผักใช่ปลา หากมีอำนาจในมือสามารถแก้ไขได้ก็ควรทำ ตัวบทกฎหมายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัยไม่มีอะไรตายตัว กฎหมายบ้านลุงแซมนี้ก็แปลกแท้ กฎหมายรัฐบาลกลางกำหนดว่าบุคคลที่จะซื้อปืนสั้นหรือปืนพกจากห้างค้าปืนที่จดทะเบียนถูกต้องต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ส่วนปืนไรเฟิลและปืนลูกซองกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อไว้เพียง 18 ปี แต่ใครจะดื่ม ซื้อ หรือขายเหล้า จะต้องอายุ 21 ปีขึ้นไป มันแปลกที่ว่า ต้องอายุ 21 ปีถึงจะดื่มเหล้าได้ แต่กลับอนุญาตให้เด็กอายุ 18 มีปืนยาวในครอบครองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เท่ากับว่าไอ้หนุ่มวัย 18 สามารถซื้อปืนก่อนที่จะซื้อเบียร์ได้ด้วยซ้ำ
ผลสำรวจโดยมหาวิทยาลัยควินนิพิแอคพบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 66 สนับสนุนให้รัฐบาลกลางออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และยังพบว่าคนอเมริกันที่ครอบครองปืนร้อยละ 50 ต่อ 44 เห็นด้วยที่ภาครัฐจะมีมาตรการคุมเข้ม ส่วนการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนก็ได้รับเสียงสนับสนุนล้นหลามถึงร้อยละ 97
ในขณะที่ลุงทรัมป์ทำเหมือนว่าเข้าใจและเห็นใจ แต่ปากพาซวยไม่วายแกว่งหาเสี้ยนไปเรื่อย ด้วยการโพล่งออกมาว่า ให้พวกครูซื้อปืนแล้วพกปืนไปโรงเรียนสิ จะได้ช่วยป้องกันนักเรียน เดี๋ยวนะ ลุงทรัมป์ หน้าที่ครูนี่คือสอนหนังสือนะ ไม่ใช่คอยดวลปืนกับพวกโรคจิต
บรรดาครูๆ พากันเบ้ปากมองบนไปตามๆ กันกับไอเดียของลุงทรัมป์ คงต้องติดตามเรื่องร้อนๆ ในบ้านลุงแซมกันต่อว่าจะเป็นแค่ไฟไหม้ฟางหรือเกิดผลในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี