ทันทีที่ “คุณธรากร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประกาศตัวว่าจะตั้งพรรคการเมือง ก็เกิดกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ ก่นด่า กระทั่งอวยราวกับเป็นเทพหรือศาสดาองค์ใหม่ นั่นเพราะในสังคมไทยมีฝักฝ่ายอยู่แล้ว คุณธนาธรปรากฏตัวในฝักฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายก้าวหน้า” (มาร์กซิสต์-ลิเบอรัล)
คุณธนาธรเคยเป็น “มาร์กซิสต์” ในสมัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ต่อมาเขาจะไปเรียนต่อที่เมืองนอกก็ยังคงเป็นมาร์กซิสต์เช่นเดิม ผมเข้าใจเอาว่าเขาเปลี่ยนจากมาร์กซิสต์เป็น “ลิเบอรัล” ก็ตอนที่เข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในเครือบริษัทขนาดยักษ์ในตระกูลของเขา
เพราะการเป็นมาร์กซิสต์พร้อมกับเป็นนายทุนไปด้วยนั้นย่อมสร้างข้อกังขาให้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะเพื่อนพ้องผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกับเขา รวมทั้งเขาเองก็เห็นแล้วว่าลัทธิมาร์กซิสม์หรือคอมมิวนิสม์ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ในทางปฏิบัติ
การเปลี่ยนเป็นลิเบอรัลย่อมรักษา “ผลประโยชน์และอุดมการณ์” ของเขาไว้ได้ครบถ้วน คือ 1) เป็นเจ้าของบริษัทในเครือที่เป็น “บรรษัทข้ามชาติ” ได้ 2) ยังรักษาเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงสถาบันกษัตริย์อย่างเดิม และ 3) ปฏิเสธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา โดยยอมรับพวก “ลัทธิแก้ในพุทธศาสนา” อย่างธรรมกาย และ “ลอยแพ” พุทธศาสนาออกจากการอุปถัมภ์ของรัฐ
ทั้งหมดนี้เป็นเจตจำนงส่วนตัวของคุณธนาธรที่ปรากฏเป็นข่าว แต่ในฐานะพรรคการเมือง ผมเชื่อว่าคุณธนาธรและคณะจะต้องนำเสนอ “นโยบายพรรค” ที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ แต่เป็นที่รู้กันในฝ่ายมาร์กซิสต์และลิเบอรัล
แม้วันนี้คุณธนาธรจะสำแดงทัศนะที่ดู “ก้าวหน้า” ในระดับทุนโลกาภิวัตน์ แค่ไหน อย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของ “ชนชั้นกรรมาชีพ” ในฝักฝ่ายเดียวกับเขา และพลเมืองของรัฐทั่วไปอย่างผมเป็นหลัก แต่ยังคงเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชนชั้นนำอยู่ดี...และสำหรับผม มันไม่ใช่เพียงเรื่อง “ก้าวหน้าหรือล้าหลัง” แต่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างที่พวกเขาต้องการได้อยู่ดี
เพราะเหตุใด? ก็ต้องอ่านที่พอล ฮอว์เก็น เขียนไว้ในหนังสือ BLESSED UNLEST ที่มีชื่อไทยว่า “ไม่สงบจึงประเสริฐ” แปลโดย ภัควดี ก็น่าจะเข้าใจได้...หนังสือเรื่องนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว
“ลองวาดภาพการดำรงอยู่ร่วมกันของมวลมนุษยชาติว่าเปรียบเสมือนองค์อินทรีย์หนึ่ง องค์อินทรีย์นั้นเปี่ยมด้วยกิจกรรมที่มีปัญญา มีภูมิคุ้มกันของความเป็นมนุษย์ที่ต่อต้านและเยียวยาผลกระทบจากความฉ้อฉลทางการเมือง เชื้อร้ายทางเศรษฐกิจ และความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ
“ไม่ว่าความเลวร้ายเหล่านี้จะเป็นผลลัพธ์มาจากตลาดเสรี ศาสนาหรืออุดมการณ์ทางการเมืองก็ตาม ในโลกที่ขยายตัวซับซ้อนเกินไปสำหรับอุดมการณ์อันคับแคบ กระทั่งคำว่า ขบวนการ ที่ใช้เรียกนี้ก็อาจคับแคบเกินไปด้วยซ้ำ”
“องค์อินทรีย์เปี่ยมด้วยกิจกรรมที่มีปัญญา” ของพอล ฮอว์เก็นนั้นหมายถึง “ขบวนการภาคประชาชน” ที่เป็นยิ่งกว่าขบวนการที่เรารู้จักและเข้าใจกันทั่วไป ขบวนการดังกล่าวนี้ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และต่างก็มีกิจกรรมที่หลากหลายตามความสนใจหรือความถนัดของกลุ่มตน กลุ่มหรือองค์กรต่างๆทั่วโลกเหล่านี้ต่างไม่รู้จักกัน แต่พวกเขาต่างเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก้อนที่ประกอบด้วยองค์กรหลายแสนองค์กร
“คนกลุ่มนี้ไม่เคยอวดอ้างอำนาจพิเศษ พวกเขายืนหยัดในวิถีทางเล็กๆแตกต่างกันไป ประดุจใบหญ้าหลังฝนโปรย ขบวนการนี้เติบโตและขยายไปทุกๆเมือง ทุกๆประเทศ ครอบคลุมทุกชนเผ่า ทุกวัฒนธรรม ทุกภาษา และทุกศาสนา ตั้งแต่ชาวมองโกเลีย ชาวอุซเบกิสถาน ไปจนถึงชาวทมิฬ มีทั้งครอบครัวในอินเดีย นักศึกษาในออสเตรเลีย เกษตรกรในฝรั่งเศส ชาวนาไร้ที่ดินในบราซิล ชาวไร่กล้วยในฮอนดูรัส “คนจน” ในเมืองเดอร์บัน ชาวบ้านในจังหวัดอีเรียนจายา ชนเผ่าพื้นเมืองในโบลิเวีย และแม่บ้านในญี่ปุ่น
“ผู้นำคือเกษตรกร นักสัตววิทยา ช่างทำรองเท้าและกวี ขบวนการนี้ให้การสนับสนุนและสร้างความหมายแก่ประชาชนหลายพันล้านคนทั่วโลก ขบวนการนี้ไม่มีทางถูกแบ่งแยก เพราะมันประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่เปรียบเสมือนอนุภาคระดับอะตอม เป็นการรวมตัวของเศษเสี้ยวเล็กๆที่เชื่อมโยงกันหลวมๆ มันรวมตัว แตกกระจาย แล้วรวมเข้าด้วยกันใหม่อย่างรวดเร็ว ปราศจากแกนนำ การบังคับบัญชาหรือการควบคุม
“แทนที่จะแสวงหาอำนาจ ขบวนการนิรนามนี้กลับต่อสู้เพื่อกระจายการรวมศูนย์ของอำนาจ ขบวนการนี้สามารถล้มรัฐบาล ล้มบริษัทและถอดถอนผู้นำ โดยอาศัยการสังเกตการณ์ การให้ข้อมูลความรู้และการรวมตัวเป็นมวลชน
“ความมีชีวิตชีวาของขบวนการในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เกิดจากการที่เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายและประชาชนทุกหนแห่งสามารถใช้มันได้ อำนาจของขบวนการอยู่ที่ความคิด ไม่ใช่ที่กำลัง
“ขบวนการนี้มีสามรากเหง้าด้วยกัน นั่นคือ กิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม การเคลื่อนไหวด้านความยุติธรรมของสังคม และวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์
“รากเหง้าทั้งสามนี้เชื่อมโยงร้อยรัดกัน โดยรวมแล้ว นี่คือการสำแดงออกถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในโลก ซึ่งมุ่งที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างสันติภาพ สร้างนโยบายและการตัดสินใจด้วยกระบวนการประชาธิปไตย สร้างธรรมาภิบาลขึ้นมาใหม่ทีละน้อยจากเบื้องล่าง รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้หญิง เด็กและคนยากจน
“ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา กองทัพ บรรษัท ผู้นำศาสนาและผู้คลั่งไคล้อุดมการณ์ทางการเมืองมีอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่ในโลก โลกที่กลับหัวกลับหางเช่นนี้ พวกเรากลับกลายเป็นคนส่วนน้อย
“องค์อินทรีย์แห่งปัญญา” หรือขบวนการภาคประชาชนนี้ทำให้ “พลเมืองรัฐ” กลายเป็น “พลเมืองโลก” เพราะการเชื่อโยงกันเป็นเครือข่ายด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย และแน่นอนมันทำให้พลเมืองทั้งในรัฐและในโลกไม่ต้องพึ่งพาพวกนักการเมืองหรือ “ท่านผู้นำ” ต่างๆมากนัก ...
มันจึงเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง”
เป็นประชาธิปไตยที่แท้ และทำให้ชนชั้นกรรมาชีพและพลเมืองทั่วไปกำหนดชะตากรรมของตนและพึ่งพาตนเองได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี