ตอนที่รัฐบาล คสช. เข้ามาปกครองประเทศ ก็ได้ประกาศว่าจะปฏิรูประเทศ - พัฒนาประเทศด้วย “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ซึ่งคำว่าประเทศนั้นย่อมหมายถึง “ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศ” หากแบ่งเป็นด้านต่างๆก็หนีไม่พ้นด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง-การปกครอง และด้านสังคม ทั้ง 3 ด้านนี้กำกับดูแลโดยกระทรวงต่างๆทั้งหมด
แต่เรื่องย่อยที่เป็นปัญหามากที่สุด กระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมากที่สุด และรัฐบาล คสช. ประกาศจะปฏิรูปก็คือ “ตำรวจ” ซึ่งตอนนี้ยอมแพ้ไปแล้ว บอกว่าให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหน้า สรุปว่าโครงการปฏิรูปตำรวจของรัฐบาลคณะนี้ล้มเหลว!
อีกเรื่องที่ผมเขียนค้านในคอลัมน์นี้มา 3 ครั้ง (เพราะเสียดายเวลา กำลังคน และเงิน) นับแต่รัฐบาลเริ่มให้ข่าว กระทั่งจัดตั้งคณะกรรมเข้ามากำกับดูแล คือ เรื่อง “การปรองดอง” มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ใหญ่โต และจัดกิจกรรมเพื่อแสวงหาวิธีปรองดองของคน 2 ฝ่ายที่แตกแยกกันด้านการเมือง สุดท้ายข่าวก็ค่อยเงียบหายไป จนถึงวันนี้ก็เงียบสนิท
แต่ที่ดังต่อเนื่องและดังไม่เคยหยุดก็คือการทะเลาะกันในโลกออนไลน์ของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่นานต่อมาก็มีฝ่ายที่ 3 เพิ่มขึ้น คือฝ่ายรัฐบาล
มาถึงวันนี้ก็ยิ่งเห็นชัดว่าฝ่ายรัฐบาลก็เป็นตัวปัญหาสร้างความแตกแยกเสียเองด้วย!
สรุปว่าเรื่องการปรองดองรัฐบาลนี้ก็ล้มเหลว
เรื่องการปฏิรูประบบข้าราชการล่ะเป็นอย่างไร?
รัฐบาลของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เคยปฏิรูประบบราชการมาแล้ว ด้วยการเปิดโอกาสให้ข้าราชการ -พนักงานของรัฐลาออกก่อนหมดอายุงาน สิ่งสำคัญสำหรับคุณทักษิณก็คือการจัดตั้งกระทรวงใหม่ ทั้งที่แยกจากกระทรวงเก่า และนำหน่วยงานระดับกรมที่มีลักษณะงานสอดคล้องกันมารวมกันตั้งเป็นกระทรวง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่แต่อย่างใด
เพราะมันก็ยังเป็นเรื่องของลักษณะงาน เรื่องผลประโยชน์และเรื่องอำนาจกำกับดูแลกระทรวงต่างๆอย่างเดิม
สิ่งที่ใหม่และมีประโยชน์สำหรับคุณทักษิณก็คือกระทรวง ไอซีที. ที่อวยประโยชน์ให้คุณทักษิณสุดๆ ราวกับเป็นกระทรวงของตนเอง
มาถึงรัฐบาล คสช. ก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเดิม นอกจากมีข่าวว่ากระทรวงนั้น กระทรวงนี้จะปฏิรูป โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงสาธารณสุข แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีอะไรให้หวัง
สำหรับผมจะปฏิรูปหรือไม่ก็ไม่แตกต่างกันนัก เพราะสุดท้ายก็จะจบลงเหมือนการปฏิรูปทุกครั้งที่ผ่านมา คือเป็นเรื่อง “การจัดสรรอำนาจ” ในองค์กรของรัฐเสียมากกว่าอย่างอื่น
อย่างดีสุดก็แค่มีกฎระเบียบใหม่ๆออกมา
แต่ปัญหาที่แท้จริงหรือรากเหง้าของปัญหานั้นยังไม่มีรัฐบาลไหนคิดจะปฏิรูปเลย นั่นคือ “ปฏิรูปจิตสำนึก” ของผู้ปฏิบัติงาน (และคนที่ร่วมเป็นรัฐบาล)
ต่อให้จัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม ออกกฎ ระเบียบ โยกย้ายคนสักแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก ถ้าคนที่ปฏิบัติงานยังมีสำนึกเดิมๆ
สำนึกที่เรียกว่า “เช้าชามเย็นชาม” บ้าง สำนึกที่เรียกว่า “ได้ดีเพราะพี่ให้” คือเอาใจเจ้านายมากกว่าทำงานบ้าง สำนึกที่ว่า “ใครๆก็โกงกัน” ดังนั้นถ้าตนไม่โกงก็จะกลายเป็นคนโง่
อย่างเก่งที่สุดของรัฐบาลทุกคณะก็คือ ประกาศขึงขังจะปราบคอรัปชั่น จะไม่ไว้หน้าคนโกง แต่ใครเป็นคนประกาศ ใครเป็นคนโกง ใครเป็นผู้ออกกฎหมาย ใครเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย กฎ ระเบียบต่างๆ
คำตอบคือ “ข้าราชการ” ทุกประเภท
ผมจึงตั้งคำถามแบบประชดไว้ว่า “เราจะให้คนโกงปราบคนโกงได้อย่างไร?”
ไม่ได้หมายความว่าข้าราชการทุกคนโกง แต่หมายถึงภาพรวม
ผมจึงไม่แปลกใจที่ผลโพลล์ระบุว่า “ยุค คสช. มีการพบการคอร์รัปชั่นสูงสุด”
พล.อ.ประวิตรบอกว่า รัฐบาล คสช.เป็นผู้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายและพบการทุจริตย้อนหลังไปหลายปี ไม่ใช่ คสช.ทุจริตเอง...แต่สิ่งที่เราเห็นเป็นข่าวแทบทุกวันก็คือ มีการคอรัปชั่นมาทุกยุคทุกสมัย และมากขึ้นทุกวัน ไม่เว้นกระทั่งในยุครัฐบาล คสช.
เมื่อประเมินว่าผลงานเรื่องการปราบคอรัปชั่นของรัฐบาลนี้เป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่าล้มเหลว เพราะยังหยุดมันไม่ได้
เมื่อพล.อ. ประวิตรออกมาสั่งว่า “ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐรับส่วย” จึงเป็นเรื่องห้ามหมากินข้าว!
น่าเสียดายเวลา 4 ปีที่รัฐบาล คสช. มีอำนาจล้นฟ้าและประชาชนก็สนับสนุน แต่กลับจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างไม่คุ้มกับอำนาจที่ตนมี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี