ข้อมูล โดย แพทย์หญิงกิจจาวรรณ เฮงคราวิทย์ อาจารย์แพทย์สาขาวิชากุมารเวชกรรม
แพทย์หญิงกิจจาวรรณ เฮงคราวิทย์ อาจารย์แพทย์สาขาวิชากุมารเวชกรรม ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เผยว่า โรคพิษสุนัขบ้า (rabies) หรือที่รู้จักกันว่าโรคกลัวน้ำเป็นโรคติดต่อจาก จากสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อไวรัส rabies โรคนี้มีความรุนแรงผู้ติดเชื้อเมื่อมีอาการจะเสียชีวิตเกือบทุกราย ยังไม่มียารักษาแต่สามารถป้องกันได้โดยวัคซีน
องค์การอนามัยโลกรายงานผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 60,000 รายต่อปี ร้อยละ 40 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี สถานการณ์ในประเทศไทยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555–2559 พบว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้ามากถึง 35 ราย เฉลี่ย 5-7 รายต่อปี ร้อยละ 95 ของผู้ที่เสียชีวิตติดโรคจากสุนัขรองลงมาคือแมว
ข้อมูลในสัตว์ จาก Thai Rabies Net (ตั้งแต่ 8 มีนาคม 2560 ถึง 8 มีนาคม 2561) ตรวจพบสุนัขติดเชื้อร้อยละ 88.38 มากที่สุด ร้อยละ 51.80 มีเจ้าของ โดยพบว่าเป็นสัตว์ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนร้อยละ 50.71 ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนร้อยละ 36.34 และมีมากถึงร้อยละ 12.95 มีประวัติฉีดวัคซีนแล้ว นอกจากสุนัขและแมวยังพบได้กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นเช่น ชะนี ลิง กระรอก กระแต หนู ค้างคาว วัว ควาย ม้า สุกรอีกด้วย ล่าสุดขณะนี้(1 ม.ค.-5 มี 61)พบสุนัขมีเชื้อพิษสุนัขบ้าถึง 36 จังหวัด โดย 3 จังหวัดแรกที่พบมากคือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์และยโสธร ตามลำดับและยังมีจังหวัดที่เฝ้าระวังอีกด้วย
การติดต่อเกิดจากการสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ ทั้งทางตรงโดยการสัมผัสน้ำลายเข้าทางแผล เช่น ถูกกัดหรือข่วน หรือมีการสัมผัสทางอ้อมผ่านทางบริเวณ เยื่อบุต่างๆเช่นปากและตา กระทั้งการชำแหละสัตว์หรือมีการรับประทานผลิตภัณฑ์ดิบจากสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
ระยะฟักตัว (incubation period) โดยเฉลี่ย 1-3 เดือน แต่อาจเกิดโรคได้ตั้งแต่ระยะ 1 สัปดาห์จนถึงหลายปี ระยะเวลาตั้งแต่เชื้อเข้าร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการบางรายอาจนานเกิน 1 ปี บางรายอาจเร็วเพียง 4 วัน แต่โดยเฉลี่ย 3 สัปดาห์ถึง 4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
จำนวนเชื้อ(ขนาดแผลที่ใหญ่)
ตำแหน่งที่เชื้อเข้าไป (ถ้าอยู่ใกล้สมองจะมีโอกาสมาก เช่น มือหรือเท้า)
อายุคนที่ถูกกัด(เด็กและคนชราจะมีความต้านทานของโรคต่ำกว่าคนหนุ่มสาว)
สายพันธุ์ของเชื้อ ถ้าเป็นสายพันธุ์จากสัตว์ป่า จะมีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์จากสุนัข
อาการของโรคมี 3 ระยะ
1. เริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการ ไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน กระวนกระวายนอนไม่หลับ อาจมีอาการ เจ็บคล้ายเข็มทิ่ม หรือคันอย่างมากบริเวณที่ถูกกัด ระยะนี้มีอาการประมาณ 2-10 วัน
2.ระยะนี้จะมีอาการทางสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการสับสน วุ่นวาย กระสับกระส่าย อยู่ไม่นิ่ง กลืนลำบาก รวมถึงกลัวน้ำ อาการจะเป็นมากขึ้นหากมีเสียงดัง หรือถูกสัมผัสเนื้อตัว ต่อมาผู้ป่วยอาจมีอาการชักและเป็นอัมพาต ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2-7 วัน
3.ระยะท้าย ผู้ป่วยอาจมีภาวะหายใจล้มเหลว หัวใจหยุดเต้น โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด
การวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้า โดย การตรวจแอนติบอดีจากเลือด(serum)และน้ำไขสันหลัง( CSF) และการตรวจสารพันธุ์กรรม( RT-PCR) จากชิ้นเนื้อ (skin biopsy) น้ำลาย (saliva) หรือน้ำไขสันหลัง(CSF)
การรักษา ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผลชัดเจน มีการนำยาต้านไวรัสหลายตัวมาใช้แต่ยังไม่ได้ผลเป็นที่ประจักษ์ มีเพียงการฉีดวัคซีนป้องกันเท่านั้น
เมื่อถูกสุนัขบ้ากัด หรือสงสัยว่าบ้ากัด ข่วน หรือเลียตามบาดแผล ให้รีบปฏิบัติดังนี้
รีบล้างแผลให้เร็วที่สุดด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆครั้ง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ เพราะจะทำให้เชื้อโรคต่างๆ ที่บริเวณนั้นหลุดออกจากแผลไปตามน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า หรือเชื้อโรคอื่นๆ แล้วเช็ดแผลให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน ถ้าไม่มีอาจใช้แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ไอโอดีน หรือยาฆ่าเชื้ออื่นๆ แทน
ต้องจดจำลักษณะและสังเกตอาการสัตว์ที่กัด รวมทั้งติดตามสืบหาเจ้าของเพื่อซักถามประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ที่มาของสัตว์และสังเกตอาการสัตว์ที่กัด 10 วัน (สุนัขคอกเดียวกัน พันธุ์เดียวกัน สีเดียวกัน ลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจจำผิดตัวได้) ไปพบแพทย์เพื่อรับการป้องกันรักษาที่ถูกต้อง ถ้ามีความเสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้า แพทย์จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าภายหลังสัมผัสโรคประกอบด้วยการให้วัคซีนและอิมมูโนโกลบุลิน โดยองค์การอนามัยโลกได้แบ่งประวัติการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าออกตามความรุนแรงของบาดแผลออกเป็น 3 ลักษณะ(categories) ดังนี้
WHO category I: ถูกต้องตัวสัตว์ หรือป้อนน้ำป้อนอาหาร หรือสัมผัสน้ำลายหรือเลือดของสัตว์บนผิวหนังที่ไม่มีแผล กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา
WHO category II: ถูกงับหรือถูกข่วนเป็นรอยช้ำที่ผิวหนัง ไม่มีเลือดออก จะให้การรักษาด้วยวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
WHO category III: บาดแผลถูกกัดหรือถูกข่วนซึ่งมีเลือดออก เยื่อบุถูกปนเปื้อนด้วยน้ำลายของสัตว์ ถูกสัตว์เลียบนผิวหนังที่มีบาดแผลสด กรณีเหล่านี้จะให้การรักษาด้วยวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าร่วมกับอิมมูโนโกลบุลิน
อย่างไรก็ตามถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์และพิจารณาให้วัคซีนเพื่อป้องกันไว้ก่อน
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยแนะนำให้ใช้วัคซีน 2 สูตรในการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าภายหลังสัมผัสโรค ได้แก่
สูตรการฉีดเข้ากล้ามแบบวิธีมาตรฐาน (ESSEN regimen) (1-1-1-1-1-0) ฉีดวัคซีน 1 เข็มเข้าบริเวณกล้ามเนื้อต้นแขน (deltoid) ในวันที่ 0, 3, 7, 14 และ 28
สูตรการฉีดเข้าในผิวหนังแบบ Thai Red Cross (TRC-ID regimen) (2-2-2-0-2-0) ฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนังบริเวณต้นแขนสองข้าง ข้างละหนึ่งจุด ปริมาณจุดละ 0.1 มล. ในวันที่ 0, 3, 7 และ 28 ทั้งนี้ไม่ควรเปลี่ยนชนิดของวัคซีนที่ฉีด
การให้อิมมูโนโกลบุลิน ERIG (Equine rabies immunoglobulin) หรือ HRIG (Human rabies immunoglobulin) ควรฉีดเร็วที่สุดภายใน 7 วันแรกของการให้วัคซีน ฉีดที่บาดแผลให้ครบทุกแผล ที่เหลือฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่สะโพกหรือกล้ามเนื้อหน้าขา
ERIG ให้ในขนาด 40 IU/kg ก่อนฉีดต้องทำintradermal skin test โดยเจือจาง ERIG เป็น 1:100 ใช้ 0.02 มล. อ่านผลที่ 15 นาที ถือว่าให้ผลบวกเมื่อ wheal มากกว่า 10 มม.
HRIG ให้ในขนาด 20 IU/kg ในกรณี intradermal skin test ของ ERIG ให้ผลบวก
การให้การรักษาภายหลังสัมผัสโรคในกรณีผู้ป่วยเคยได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้ามาก่อน หมายถึงผู้ป่วยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต่อไปนี้
ผู้สัมผัสที่เคยได้รับวัคซีนภายหลังสัมผัสโรคมาก่อนครบชุดอย่างน้อย 3 เข็ม ในวันที่ 0, 3, 7ผู้สัมผัสที่เคยได้รับวัคซีนก่อนการสัมผัสโรค (Pre-exposure prophylaxis) จำนวนทั้งสิ้น 3 ครั้ง ในวันที่ 0, 7 และ 21 (หรือ 28) ปัจจุบันมีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกสามารถฉีดได้ 2 เข็มในวันที่ 0,7 อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขไทยยังไม่ได้เปลี่ยนการแนะนำ
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะใช้เพียงวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยไม่ต้องให้อิมมูโนโกลบุลิน โดยในกรณีที่ได้เข็มสุดท้ายมาไม่เกิน 6 เดือน จะให้วัคซีนฉีดเข้าในผิวหนังหนึ่งจุด ปริมาณจุดละ 0.1 มล. หรือฉีดวัคซีน 1 เข็มเข้ากล้ามเนื้อ โดยฉีดเพียง 1 ครั้ง (วันที่ 0) และ ฉีด 2 ครั้ง (วันที่ 0, 3) ในกรณีที่เคยได้เข็มสุดท้ายมาเกิน 6 เดือน
เอกสารอ้างอิง
1.WHO. Rabies vaccines and immunoglobulins: WHO position 2018, Available from http://www.who.int/rabies/resources/who_cds_ntd_nzd_2018.04/en/
2.วีระชัย วัฒนวีรเดช, อัจฉรา ตั้งสถาพรพงษ์, กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ, บรรณาธิการ.คู่มือวัคซีน 2016-2017 และปัญหาที่พบบ่อย. กรุงเทพฯ: บริษัทบียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จำกัด; 2558, 393-413
3.สำนักโรคติดต่อทั่วไป. แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า และคำถามที่พบบ่อย ปี 2556,เข้าถึงข้อมูลได้ที่.from http://thaigcd.ddc.moph.go.th/knowledges/view/171
4.สำนักระบาดวิทยา. Disease surveillance: Rabies, เข้าถึงข้อมูลได้ที. http://www.boe.moph.go.th/boedb/surdata/disease.php?ds=425.
5.ระบบเฝ้าระวังสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า.เข้าถึงข้อมูลได้ที่http://www.thairabies.net/trn/report.aspx
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี