มีหลายคนบอกว่าตอนนี้ “คุณธนาธร” เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้เป็น “มาร์กซิสต์” เหมือนเมื่อครั้งเป็นนักศึกษาอยู่ที่ธรรมศาสตร์อีกต่อไป ผมไม่ได้แปลกใจ คนรุ่นผมตอนเป็นนักศึกษาก็เป็นอย่างเดียวกับเขา โดยเฉพาะคนที่ทำกิจกรรม จนมีคนพูดว่า “นักศึกษาที่ทำกิจกรรมต้องเป็นมาร์กซิสต์!” แต่เมื่อกาลล่วงผ่านนานไปก็ค่อยเปลี่ยนความคิดด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป
ผมเดาเอาว่า...คุณธนาธรคงเปลี่ยนในตอนเข้ารับช่วงดูแลกิจการของตระกูล เพราะการเป็นมาร์กซิสต์กับเป็นนายทุนพร้อมกันนั้นมันขัดแย้งกันตามทฤษฎี แบบว่า “คนหนึ่งคนจะต้องเป็นนายทุนหรือไม่ก็ต้องเป็นกรรมาชีพ”
ห้ามเป็นสองอย่าง หรือสองชนชั้น
พูดให้ชัดก็คือ “ห้ามเป็นคนธรรมดา” อย่างคนทั่วไปเขาเป็นกัน
ส่วนคนที่ติดตั้ง “โปรแกรม” ลัทธิคอมมินิสม์ไว้ในหัวก็จะกังขาว่า เขาเป็นของแท้หรือของก๊อป!
คุณธนาธรเองเคยให้ความเห็นว่าลัทธิมาร์กซิสม์นั้นล้าหลัง ไม่สามารถปฏิวัติสังคมให้เป็นดังภาพฝันของมันได้ แต่ครั้นจะถอดโปรแกรมคอมมิวนิสต์ทิ้งแล้วติดตั้งโปรแกรมทุนนิยมโลกาภิวัตน์แทน ก็จะโดนบรรดาสหายที่ร่วมอุดมการณ์ก่นด่าว่าเป็น “ของปลอม” หรือ “ทรยศต่ออุดมการณ์” ไปเลย
ตอนนี้จึงดูเหมือนเขาจะเป็น “ลิเบอรัล” ซึ่งลัทธินี้ใครจะติดตั้งโปรแกรมนายทุนหรืออะไรก็ตามใจปรารถนา
แต่มีหลักการอยู่ว่า ประเทศต้องเป็นสาธารณรัฐ ซึ่งหมายความว่าต้องไม่มีกษัตริย์และสถาบันกษัตริย์
ทั้งมาร์กซิสต์และลิเบอรัลนั้นไม่มีนิยามที่แน่นอน มันลื่นไหลและยืดหยุ่น คาร์ล มาร์กซ์เองก็ปวดกะโหลกกับพวกที่เรียกตัวเองว่ามาร์กซิสต์ในสมัยของเขามาแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์ในเยอรมันยุคนั้น
จนนักวิชาการในยุโรปตะวันออกบอกว่า “มีคาร์ล มาร์กซ์คนเดียวที่เป็นมาร์กซิสต์”
แต่อีกหลายคนก็บอกว่า “คาร์ล มาร์กซ์ก็ไม่ใช่มาร์กซิสต์”
แปลว่า...คาร์ลมาร์กซ์เองก็เป็นอย่างทฤษฎีที่ตัวเองเขียนไม่ได้!
(แต่มาร์กซิสต์หรือคอมมิวนิสต์ในไทยบางส่วนกลับมั่นใจมากว่าตัวเองเป็นมาร์กซิสต์ของแท้)
เมื่อมันมั่วๆอย่างนี้จึงดูที่การกระทำของเขาก่อนแล้วกัน...ข้อมูลบอกว่าเขาทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะการยืนหยัดอยู่กับฝ่ายเสื้อแดง และเป้าหมายทางการเมืองของเขาจึงเพ่งเล็งอยู่ที่ “สถาบันกษัตริย์กับสถาบันศาสนา” ซึ่งเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” ตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซิสม์?
เพราะถ้า 2 สถาบันนี้ยังแข็งแกร่ง (พลเมืองเคารพศรัทธา) ก็ย่อมขัดขวางเจตนาที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ “รัฐอุดมคติ” อย่างที่เขาต้องการได้
ดังนั้นเขาจึงต้อง “รื้อรั้ว” สถาบันกษัตริย์ด้วยเรื่องมาตรา 112 และ “ลอยแพ” พุทธศาสนาออกจากการอุปถัมภ์ของรัฐ (ส่วนเรื่อง “ดี” หรือ “ไม่ดี” นั้นทั้งสองฝ่ายก็จะทะเลาะกันต่อไป)
ทั้ง 2 เรื่องนี้ผมสรุปจากคำสัมภาษณ์ของเขา
ผมยอมรับความเป็นคนกล้าของคุณธนาธร และเพราะเขากล้าประกาศเจตนาที่จะจัดการ 2 เรื่องนี้ จึงทำให้เขาได้ใจคนจำนวนมาก ไม่เพียงในฝ่ายเดียวกัน แต่ยังได้ใจคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกว่า “เจนเนอเรชั่น Y” อีกด้วย
แต่ 2 เรื่องที่เขาจะจัดการนี้ ก็ทำให้คนอีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจและโกรธแค้นเขา หลายรายก็ประกาศ “เดินหน้าชน” ทันทีที่เขาประกาศจัดตั้งพรรคการเมือง
ดูเหมือนว่าสถานการณ์การเมืองจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง แต่มันก็ชัดเจนขึ้นว่า ใครเป็นใคร ใครจะทำอะไร ผมก็เห็นว่ามีประโยชน์ที่เขาประกาศ “เจตนา” ให้สังคมได้พิจารณาและตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกเขา หรือจะไม่พิจารณาแต่ตัดสินใจเลือกเลยก็ย่อมได้!
คนไทยจำนวนมากนิยมชมชอบคนร่ำรวยและชอบการแสดง
เมื่อถึงเทศกาลรณรงค์เลือกตั้งเราจะได้อ่านได้ฟังถ้อยคำที่ประนีประนอมมากขึ้นของเขา เพราะจะเล่นการเมืองโดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเป็นผู้นำประเทศก็ต้อง “ได้ใจ” คนให้ได้มากที่สุดก่อน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี