ร้านอาหารอิตาเลียนในบรรยากาศเป็นส่วนตัว การตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่มีลูกเล่น จากบริเวณระเบียงหน้าร้านจัดที่นั่งรองรับความเพลิดเพลินในวิถีชีวิตแบบคนเมือง พร้อมกับอิ่มเอมรสชาติอาหารอิตาเลียนต้นตำรับ
เชฟ Marco Calderazzo
คาลเดอร์ราซโซ่ ร้านอาหารอิตาเลียนในซอยสุขุมวิท 31 เกิดจาก เชฟ Marco Calderazzo ชาวอิตาเลียนที่หลงรักเมืองไทย ใช้ความชำนาญที่มีในฐานะนักปรุงอาหารอิตาเลียนแถวหน้าคนหนึ่งมาเปิดร้านอาหารนี้ขึ้น ในกรุงเทพฯ จะมีร้านอิตาเลียนสักกี่ร้านที่มีพ่อครัวเป็นชาวอิตาเลียนแท้ มาถ่ายทอดประสบการณ์อาหารเมนูเด็ดอย่างถูกต้องตามตำรับที่ลึกซึ้งถึงก้นบึ้งวัฒนธรรมการกินอาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิม ท่ามกลางบรรยากาศสุดรื่นรมย์
ตามเจตนารมณ์ของเชฟคือ ต้องการถ่ายทอดรสชาติอาหารอิตาเลียนที่แท้จริงให้คนไทยได้รู้จัก ภายใต้คติ “สัมผัสอาหารดี มีความสุข เหมือนอยู่ในบ้าน” ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่นเสมือนบ้านหลังที่สอง
ร้าน Calderazzo ที่สุขุมวิท 31 แม้จะเพิ่งเปิดไม่นาน แต่ก็ไม่ใช่มือใหม่ เพราะเดิมร้านอาหารแห่งนี้เคยเปิดให้บริการที่ถนนหลังสวนมาแล้วกว่า 12 ปี ก่อนจะย้ายมาที่นี่
จากทำเลใหม่ที่ได้ตกแต่งให้เห็นได้เด่นชัดตั้งแต่ป้ายชื่อร้านที่ออกแบบตัว C ของชื่อ Calderazzo ล้อมเลขที่ 31 เพื่อเป็นการบอกตำแหน่งให้เป็นที่น่าจดจำชัดเจนสวยงามแปลกตา
อาหารอิตาเลียนจะขาดไวน์ไม่ได้ ไวน์ชั้นเลิศต้องมีให้บริการคู่กัน โดยเฉพาะร้านนี้มีกูรูนักดื่มไวน์ตัวจริงเสียงจริงอย่าง Tony Calderazzo คุณพ่อของคุณมาร์โค เหล่าคอไวน์สามารถแวะมาสนทนาภาษาไวน์กันถึงแก่นได้หากวันใดที่พบตัว
จึงมีไวน์คลับจัดไว้ข้างๆ สำหรับคอไวน์ มีสารพัดไวน์ที่เลือกสรรแล้วเรียงรายอยู่บนชั้นอย่างสวยงาม ยิ่งถ้าเป็นกลุ่มของคนรักไวน์ถ้าได้มากินอาหารที่นี่ จะมีหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับไวน์ให้พูดคุยกันไม่รู้จบ
บรรยากาศโดยรวม เน้นความปลอดโปร่งโล่งสบาย เพดานหลังคาใช้ไม้ระแนงตีโค้งต่อเนื่องตลอดร้าน หน้าต่างกระจกใสโดยรอบเพื่อให้สายตาได้สัมผัสกับสวนสวย ในเวลาค่ำคืนเปิดไฟเพิ่มสีสันแจ่มจรัส ตามแนวคิดของเชฟที่ว่า
“ในเมื่อเรามีความสุขกับไวน์ดีๆ อาหารอร่อย ก็ต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสความสุขเหมือนเรา”
ทุกเมนูถูกปรุงขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนกินรับรู้ และเข้าถึงรสชาติของอาหารอิตาเลียนตอนใต้ โดยเหตุผลของอาหารทุกจานของที่นี่จึงไม่มีการปรับรสชาติให้ผิดเพี้ยนจากแบบฉบับของอิตาเลียนอย่างแท้จริง
ขนมปังหลายแบบเพื่อเรียกน้ำย่อย
Pasta ทั้งหลาย รวมทั้งเหล่าขนมปังที่ร้านอบเองทั้งหมด นวดแป้งด้วยมือตามแบบฉบับดั้งเดิม เสิร์ฟมากับ Passata (ซอสมะเขือเทศสด) หรือ Purée โดยเลือกใช้มะเขือเทศอินทรีที่ผ่านขั้นตอนการลอกเปลือก แคะเมล็ดออก แล้วบดละเอียดด้วยความพิถีพิถันประดุจงานศิลปะการครัวเหมือนซับซ้อนแต่เรียบง่าย ได้รสที่เป็นธรรมชาติ เพียงแค่เรียกน้ำย่อยจานแรกก็สะกดความรู้สึกให้ทึ่งจนต้องค่อยละเลียดซึมซับให้เกิดอายตนะสัมผัสชิวหา
ตัวผักและมะเขือเทศ (รวมทั้งที่ใช้ทำซอส) มีบางส่วนที่รับมาจากมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กชาวไทยที่ชัยภูมิด้วย ซึ่งมูลนิธินี้ก่อตั้งโดยอดีตชาวอังกฤษสัญชาติไทย โดยมีแนวคิดที่จะให้การศึกษากับเด็กและสอนให้พึ่งพาตัวเองได้
ดอกซูคินียัดไส้ชีสชุบแป้งทอด
ซูคินีหรือบวบของฝรั่ง พืชสกุลแตงกวา สามารถใช้ลูกที่มีลักษณะคล้ายแตงญี่ปุ่นแต่เนื้อนุ่มกว่าไปประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น ผัด ต้ม ทอด โดยเฉพาะส่วนดอกสีเหลืองตูมบอบบาง คนญี่ปุ่นเอาไปชุบแป้งทอดแบบเทมปุระ หรือจะลวกราดกะทิเป็นผักกินกับน้ำพริกแบบไทยๆ ก็น่าจะไปกันได้ดี
เมื่อซูคินีออกดอกในฤดูร้อนได้เวลาที่ร้านนี้จะสั่งดอกตูมจากฝรั่งเศส เอามายัดไส้กับชีส Scamorza ( ชีสประเภทเดียวกับ Mozzarella ที่ผลิตจากนมวัวหรือนมควาย แต่ Scamorza จะบ่มนานกว่า บางทีก็จะรมควันทำให้มีกลิ่นหอมและรสเข้มกว่า Mozzarella) ใช้ชีสนี้เคล้ากับปลากระตักเค็มตัวเล็ก (Anchovy) ยัดไส้ในดอกซูคินีแล้วชุบแป้งบางๆ ทอดจนผิวกรอบแต่ไส้ในยังหอมฉ่ำคงรสชาติเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับสลัดผักร็อกเก็ต
อาร์ติโชคทอดกรอบ
อาร์ติโชค (Artichoke) เป็นพืชเมืองหนาว ลักษณะเป็นกาบใบซ้อนเป็นหัว มีถิ่นกำเนิดในยุโรปรอบเขตเมดิเตอร์เรเนียน มีสรรพคุณทางยา สามารถบริโภคสดหรือปรุงเป็นอาหารได้มีความเหนียวเล็กน้อย ซอยเป็นชิ้นยาว ชุบแป้งทอดจวนกรอบแต่นุ่มเหมือนเคี้ยวเนื้อ รสของอาร์ติโชคทอดแล้วยังหอมกรุ่นเสิร์ฟพร้อมผักร็อกเก็ตป่า
เห็ดชองปิญองทอด
เห็ดชองปิญองสดคลุกผงเครื่องเทศ แล้วทอดให้กรอบที่ผิวแต่เนื้อเห็ดให้สัมผัสหยุ่นมีเนื้อหนัง กินกับ Puree น้ำจิ้มถ้วยเก่งของร้านชวนรื่นรมย์
Arancini (Risotto ทอด)
Arancini อาหารจากเมืองทราปานี (Trapani) ตอนตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะซิซิลีที่เรายังไม่ค่อยรู้จัก ทำจากข้าวรีซอตโตปั้นเป็นก้อนกลมแล้วเคล้าขนมปังป่นทอดจนผิวกรอบเป็นสีทอง โดยมากจะใส่ไส้เนื้อกับซอสมะเขือเทศ เนยแข็งมอสซาเรลลา กับถั่ว ทั้งนี้ไส้ที่ใส่แตกต่างกันไปภูมิภาคต่างๆ ไส้ข้างในนี้จะมีการเปลี่ยนประมาณทุกสามเดือน ชื่อ Arancini นี้แปลตรงตัวว่า “ผลส้มเล็ก” สืบเนื่องมาจากรูปลักษณ์และสีสัน
ที่ชิมวันนี้เป็นไส้เห็ด ออกแนวนวลๆ ตัวซอสรสออกเปรี้ยวนิดๆ เผ็ดหน่อยเหมือนทำกินเองที่บ้านคุณย่า ช่วยเสริมรสให้เข้ากันได้ดีกับซอสมะเขือเทศสด (Puree) มีกลิ่นรสสัมผัสกลมกล่อมเป็นธรรมชาติ จะหยิบกินชิ้นที่ 3 ก็เกรงใจเพื่อนร่วมโต๊ะ
แฮม Prosciuttoกับมะเดื่อฝรั่ง
แฮมอิตาเลียนบ่มแห้งทั้งขา ปรกติจะกินดิบด้วยการแล่เป็นแผ่นบางปานกระดาษ รสค่อนข้างเค็มเหมาะกินกับแผ่นแป้งปิ้งหรือขนมปัง แฮมนี้จะต่างจากแฮมทำอาหารเนื่องจากกรรมวิธีการผลิตและจุดประสงค์อันแตกต่างกัน
แฮม Prosciutto นิยมผลิตอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ มีหลายเมืองที่ทำแฮมฝีมือดี ที่น่าจะโด่งดังและเราคุ้นเคยที่สุดคือจากเมืองพาร์มา (Prosciutto di Parma) และจากเมืองเวเนเซีย (Prosciutto di San Daniele) หรือจากทางตอนใต้ของเขต South Tyrol region
โดยทั่วไปหลังจากแล่ด้วยมือหรือเครื่องจนบางแล้ว จะกินควบกับแตงเมลอน ส่วนของที่นี่ให้กินกับลูกมะเดื่อฝรั่ง (Fig) ซึ่งก็ได้รับความหอมไปอีกแบบหนึ่ง
หอยแมลงภู่ออสเตรเลียอบ
ใช้หอยแมลงภู่สดตัวโตจากออสเตรเลีย สงสัยว่าเจ้าหอยนี้บ้านเราก็มีทั่วไปตามชายฝั่งทะเล ทำไมต้องนำเข้าให้แพงหลายเท่าตัวกว่าหอยพื้นเมือง ต่อเมื่อได้สัมผัสแล้วทำให้หายสงสัยที่เนื้อในตัวหอยรสแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากหอยไทย เริ่มจากความเต่งของตัวหอยที่ส่วนเนื้อนุ่มนวล เพียงเห็นก็น้ำลายสอรู้สึกได้ถึงความสดจากกลิ่นอายทะเล ทำมาแบบปรุงรสเล็กน้อย คงความหวานของเนื้อหอยที่สดโดยธรรมชาติ กินเพลินจนลืมคอเลสเตอรอลไปชั่วขณะ
ซี่โครงลูกแกะอบ
ใช้ลูกแกะที่ยังไม่หย่านมอายุเพียงแค่ 3 เดือน นำเข้าจากสเปนโดยกลิ่นน้ำนมยังอวลติดเนื้อ แต่งเนื้อให้โผล่แท่งซี่โครง ปรุงแต่งด้วยสมุนไพรสดกลบกลิ่นสาบ พร้อมด้วยเครื่องเทศสมุนไพรทั้งหลาย อันมีกิ่งโรสแมรี่ สะระแหน่ ตามด้วยเกลือ พริกไทย กระเทียม ไวน์แดง อบสุกปานกลางหั่นตามร่องซี่โครงตรงกลางเนื้อในมีเลือดซึมนิดหน่อย เป็นมาตรฐานของแกะอบ เพราะยังเป็นลูกแกะเนื้อนุ่มชนิดที่แทบจะละลายในปาก
Margherita Pizza & Black Truffle Pizza
ต่อมาเป็นอาหารประเภทแป้งกับพิซซ่า ซึ่งที่นี่จะใช้โดว์ที่ไม่ได้แช่แข็งโดยทางร้านนวดเอง ใช้แป้งนำเข้าของ Semolina มอสซาเรลล่าชีสใช้ Premium Thai Fiordilatte (Single Ball -ผลิตที่หัวหิน) ทาหน้าด้วย Tomato Salsa อินทรีย์ สูตรเก่งของร้าน
จะต้องขอชื่นชมฝีมือการนวดแป้งและการอบพิซซ่าที่ให้เนื้อสัมผัสแตกต่างจากร้านอิตาเลียนทั่วไป จานนี้มีพิซซ่า 2 หน้า อย่างละซีก หน้ามากาเร็ตต้าประกอบด้วยมะเขือเทศ ใบโหระพา กระเทียมและเนยแข็งมอสซาเรลล่าสดทำจากน้ำนมควายที่หัวหิน จึงรับรู้ได้จากกลิ่นความนวลเนียนจากชีสสดที่ให้ทั้งความหอมมีรสชาติเฉพาะตัว กับอีกหนึ่งหน้าคือหน้าเห็ด Portobello ชีสมาสคาโปน ชีสพาร์มิเกียโน กับน้ำมันจากเห็ดทรัฟเฟิลส่งกลิ่นหอมฟุ้ง มีวิธีการอบที่แก่ไฟกว่าปรกติเล็กน้อย จะเห็นจากขอบแป้งที่ออกเกรียมหน่อยๆ เมื่อได้ชิมจึงรู้สึกทึ่งกับเนื้อแป้งที่เคี้ยวแล้วรู้สึกมีเนื้อหนัง ขอบแป้งกรอบเล็กน้อย แม้จะกินแผ่นแป้งเปล่าโดยไม่มีหน้าก็ยังครึ้มอกครึ้มใจจนติดลม เรียกได้ว่าเป็นจานเด่นของร้านก็ว่าได้
สปาเกตตี้ซีฟู้ด
มาถึงร้านนี้แล้วต้องสั่งเส้นพาสต้าสด เพราะที่นี่ทำเองตามปริมาณการขายแต่ละวัน ไม่ได้ใช้เส้นแห้งสำเร็จรูปที่กระด้างกว่า จะขอแนะนำ Seafood Pasta เส้น Spaghetti ลวกมาพอดิบพอดี ราดมาด้วยซีฟู้ดสดเนื้อแน่นใส่มาพูนจาน เช่น กุ้ง ปลาหมึก โดยเฉพาะหอยแมลงภู่ดำจากออสเตรเลีย ปรุงรสเผ็ดด้วยพริกไทยที่มีความหอมฉุยเป็นพิเศษ ไม่ปรุงจนจัดจ้าน รสจะออกลักษณะเน้นรสชาติแท้ของวัตถุดิบมากกว่าการปรุงรสที่ฟุ่มเฟือยอันเป็นปรัชญาของร้าน
Rib-eye Steak
เมนูเด่นอีกหนึ่งคือ Rib-eye Steak ใช้เนื้อส่วน Rib-eye ชิ้นใหญ่ ด้วยเนื้อแองกัสจากออสเตรเลีย หมักจนเครื่องเข้าเนื้อก่อนจะย่างให้สุกในระดับกลางจวบดิบ (Medium rare) จึงทำให้สัมผัสของเนื้อที่เหนียวนุ่มชุ่มฉ่ำกำลังดี หั่นมาเป็นคำ ปรุงเพียงนิดหน่อย เสิร์ฟมากับซอสสูตรพิเศษ โดยเน้นรสชาติของซอสและเนื้อสเต็กที่มีความหอมความนุ่มเป็นธรรมชาติ แนมกับเม็ดมัสตาร์ดปรุงเค็มในถ้วยใบน้อย พร้อมกับโรสแมรี่ มะเขือเทศ จับคู่อร่อยกับผักย่าง มันฝรั่งชิ้นบาง เป็นรสชาติสเต็กที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เมื่อเทียบกับสเต็กของชาติอื่นๆ เราจะได้พบประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป
พานาคอตต้า
สีขาวของพานาคอตต้า บนจานสีดำ เป็นของหวานที่เข้มข้นด้วยส่วนผสมของครีมคัสตาร์ด ราดด้วยซอสเบอร์รี่ ดูเผินๆ เหมือนจะเลี่ยนโดยเฉพาะหลังอาหารมื้อหนัก แต่ความหอมมันในส่วนผสมทำให้ตักเข้าปากหมดชิ้นอย่างลืมตัว
Cannoli Di Zia Tatella
ขนมทำจากแป้งกรอบม้วนเป็นหลอด ยัดไส้ด้วยเนย Recotta ผสมกับรวมมิตรทอฟฟีผลไม้แห้ง เป็นขนมที่เสมือนศิลปะจากซิชิลี แป้งทอดได้กรอบมาก สอดไส้ด้วยเนยแข็งริคอตต้า ช็อกโกแลตชิพ รสชาตินวลอมเปรี้ยวและหวานไม่มาก ขนาดชิ้นไม่ใหญ่กินคนเดียวหมด
ทีรามิสุ
เมื่อแรกเข้าร้านอิตาเลียนเห็นชื่อขนมเลยปล่อยไก่ว่าฟังเหมือนภาษาญี่ปุ่น เป็นของหวานจากเวเนเซีย คิดประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี 1960 นี้เอง ต่อมาด้วยความครบรสจึงเป็นขนมยอดนิยมกันกว่าของหวานอื่น เพราะใช้คุ้กกี้นิ้วมือรองพื้น ตามด้วยชั้นส่วนผสมของเนยแข็งมาสคาโปน (Mascapone) ตีกับไข่ แล้วราดกาแฟเข้ม เหล้าหวาน โรยผงโกโก้ แยกกันเป็นชั้นเนื้อเบารสไม่เข้มขื่นขมจนเกินไป เข้าปากแล้วชื่นใจอร่อยแซงหน้าบรรดาขนมหวานทั้งหลาย
ไวน์ขาวและไวน์แดงที่ทางร้านแนะนำให้ มีภาชนะ Decanter สำหรับใส่เติมอากาศให้ไวน์ได้หายใจก่อนเสิร์ฟ จะเห็นได้ว่าที่นี่เป็นร้านหนึ่งที่แสดงความเป็นมืออาชีพที่ให้ความสำคัญกับการจับคู่กับอาหารกับไวน์ ถึงกับมีตารางไวน์ดีของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่บอกปีองุ่น เปอร์เซ็นต์ดีกรีความแรง พร้อมราคาที่ไม่ได้บวกสูงกว่าราคาตามร้านไวน์ในท้องตลาด อีกทั้งยังมีตารางการจับคู่กับอาหารประเภทต่างๆ โดยละเอียดเพื่อช่วยการตัดสินใจเลือกสั่งไวน์
Grappa di Marsala
เหล้าตบท้ายหลังอาหารที่มีกลิ่นไอของเครื่องเทศ รสร้อนแรงเทวาบลงคอ บอกการเดินทางของเหล้าไปตามรายทางจากคอจรดกระเพาะ เป็นเหล้าบรั่นดีของอิตาเลียนชนิดหนึ่ง โดยนำเปลือกและกากขององุ่นที่หมักบ่มทำบรั่นดีไปก่อนหน้า มาหมักบ่มต่อกับสมุนไพรในช่วงเวลาไม่นานนัก แต่ให้ดีกรีที่เร่าร้อน คือตั้งแต่ 26 – 40 ดีกรี นัยว่าช่วยย่อยให้ท้องไส้สบายจากอาหารมื้อหนัก
เป็นร้านอาหารฝรั่งที่ไม่เคร่งครัดกับการแต่งตัว ลูกค้าทุกคนได้รับการต้อนรับด้วยบริการและความอร่อยของอาหารระดับที่เท่าเทียมเสมอกัน ในเมนูอาหารของร้านตั้งใจจะรักษาบรรยากาศรูปแบบดั้งเดิมในแบบฉบับของอิตาลี เรียกว่าเคยกินที่อิตาลีอย่างไร มาที่ร้านนี้ก็จะได้
สัมผัสกับรสชาติเฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงอิตาลี
ร้านอาหารอิตาเลียน คาลเดอราซโซ่ (Calderazzo On 31)
เลขที่ 253/2 ซอยสุขุมวิท 31 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
เปิดทุกวัน จันทร์-วันศุกร์ เวลา 18.00 น. - 22.30 น.
วันเสาร์-วันอาทิตย์ เปิดช่วง 11.30 น. - 14.30 น. และช่วงเวลา 18.00 น.-22.30 น.
โทร.02-258-3828
อีเมล์: rvn.restbkk@calderzzoworld.com
https://www.facebook.com/CalderazzoOn31
ที่จอดรถของร้านจอดได้แค่คันเดียวหน้าร้าน แต่ทางร้านมีบริการ valet parking
ภาพถ่าย มีรัติ รัตติสุวรรณ
แผนที่ มูฮัมหมัด พันธ์โพธิ์
ภาคผนวก
เกี่ยวกับอุปกรณ์ Wine Decanter
เป็นเครื่องช่วยหายใจไวน์ (Breathes Wine) หรือเครื่องผสมอากาศ (Aerator) หรือเครื่องรีเฟรชไวน์ (Refresh Wine) ให้มีรสชาติที่กลมกล่อมขึ้นเพราะไวน์ถูกกักขังในขวดมาเป็นเวลานานปี แต่ถ้าหากเราเปิดไวน์แล้วต้องการดื่มแบบไม่ต้องรอสักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงให้ไวน์ได้หายใจ อุปกรณ์นี้ใช้หลักของ Venturi ซึ่งเป็นวิศวกรชาวอิตาลี ซึ่งใช้วิธีคำนวณอัตราการไหลของของเหลวผ่านจุด 2 จุดที่มีแรงดันต่างกัน ทำให้ของเหลวที่ไหลผ่านเกิดการสำรอก และผสมอากาศที่อยู่ภายนอกเข้ากับของเหลวที่อยู่ด้านใน เท่ากับเป็นการเพิ่มอากาศให้กับไวน์ และทำให้รสชาติดีขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังออกแบบให้รูปลักษณ์ของสินค้าดูดีหรูหราสวยเป็นสง่า
เหตุผลสำคัญของการใช้ Decanter ก็เพื่อ
1. ให้ไวน์สัมผัสอากาศได้มากขึ้น ทำให้มีรสนุ่มขึ้น
2. กำหนดปริมาณการดื่ม โดยรินในปริมาณที่เหมาะสม
3. แยกตะกอนออกจากน้ำไวน์ เพราะมี Filter กรอง
4. สร้างภาพลักษณ์
Decanter แบบภาชนะใส่ไวน์
เป็นภาชนะแก้ว หรืออาจเรียกว่าขวดโถที่มีปากกว้าง ใช้สำหรับใส่ไวน์ที่เทออกมาจากขวด เพื่อให้ไวน์ได้สัมผัสอากาศมากขึ้นกว่าการเปิดจุกขวดไวน์เอาไว้ ภาชนะพวกนี้มีการออกแบบรูปร่างต่างๆ กัน ดูสวยงาม และมีใช้ตามโรงแรมหรือร้านอาหารที่มีระดับ ถ้าเราจะซื้อไว้ใช้เองก็มีขายหลายแห่ง ถ้าเป็นแก้ว Crystal จะมีราคาแพง ประมาณ 3,500 - 6,000 บาท
FB:เถ่าชิ่วสุทัศน์ ศุกลรัตนเมธี
Calderazzo on 31
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี