ขณะที่ผมนอนเบลอๆด้วยการอาการไข้อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหนังทางทีวีดังขึ้นว่า
“มนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน”
“โทมัส เจฟเฟอร์สันเป็นคนประดิษฐ์คำนี้ขึ้นมา”
“โทมัส เจฟเฟอร์สันเป็นพวกหัวสูง ที่ไม่พอใจการปกครองของพวกอังกฤษ พอประดิษฐ์คำนี้ขึ้นมา พวกประชาชนก็รับเอาคำนี้ไปแบ่งฝ่ายทำลายล้างกัน ขณะที่โทมัสไล่ปล้ำคนใช้อยู่ในบ้าน!”
“อเมริกา ไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นแค่บริษัท” !
ผมจับใจความได้ประมาณนี้
ต้องย้ำอีกครั้งนะครับว่า คำพูดข้างบนนั้นเป็นของตัวละคร และเป็น “ตัวโกง” หรือมาเฟีย ไม่ใช่ความคิดเห็นของบุคคลใดๆ
เมื่อเป็นความเห็นของตัวโกง และยังมีประโยคสุดท้ายตามมาอีก คือ “เพราะฉะนั้นแกต้องจ่ายมา!” ก็ต้องเข้าใจไว้ก่อนว่ามันเป็นถ้อยคำที่เสียดสีอย่างมีอคติ
แต่ผมก็รู้สึก “สะใจ” ระคน “เห็นใจ” ประชาชนใน “ประเทศบริษัท” แห่งนั้น
ประชาชนในอเมริกานั้นมีความไม่เท่าเทียมอยู่จริงในยุคก่อร่างสร้างประเทศ และต่ออีกนับร้อยปี ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง เรื่องทาส เรื่องสีผิว คำพูดสุดเท่ของโทมัส เจอเปอร์สันจึง “กินใจ” และเป็น “แรงบันดาล” แก่ประชาชนอย่างมหาศาล
แน่นอน ประชาชนลุกขึ้นสู้ เพื่อความเท่าเทียม ครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้โทมัส เจฟเฟอร์สันจะปล้ำคนรับใช้ก็ตาม!
และยังคงสู้มาจนถึงวันนี้ ทั้งสู้กับระบบราชการ สู้กับผู้ปกครอง สู้กันเอง สู้จนประเทศเปลี่ยนจาก “รัฐชาติ” เป็น “บริษัทและบรรษัทข้ามชาติ” ไปเลย
เพราะฉะนั้น แกจ่ายมา!
อุดมการณ์ที่ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมนั้นกระจายไปสู่ประเทศต่างๆ (หลายประเทศ ประชาชนก็สู้กันอยู่แล้ว ทั้งสู้กับผู้ปกครองและแบ่งฝ่ายสู้กันเอง!)
ตัดมาที่ประเทศไทย (เป็นรัฐชาติแล้ว) การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมก็ไม่น้อยหน้าประเทศไหน แต่ไม่เป็นข่าว ไม่เป็นกระแส ส่วนมากก็เป็นการต่อในแวดวงข้าราชการกับผู้ปกครอง เช่นขบถในสมัยรัชกาลที่ 6
พอถึงรัชกาลที่ 7 ก็เป็นการต่อสู้ที่เรียกว่า “การปฏิวัติ” เพราะเอาชนะฝ่ายอำนาจเดิมได้
และมีอุดมการณ์เป็นการปฏิวัติเพื่อความเท่าเทียมกันของคนทั้งประเทศเช่นกัน! (ตามคำประกาศของคณะราษฎร)
แต่หลังจากที่ยึดอำนาจได้แล้วก็แย่งชิงอำนาจกันเองต่อมาอีก 25 ปี ที่ไม่เกี่ยวกับความเท่าเทียมของประชาชนแม้แต่น้อย แต่เพื่ออำนาจของ “ตัวกูและของกู” เท่านั้น
ต่อมามีการต่อสู้หรือแย่งยึดอำนาจกันโดยทหารอีกหลายครั้ง กระทั่งถึง 14 ต.ค. 2516 และ 6 ต.ค. 19 ที่ประชาชนเป็นฝ่ายนำการต่อสู้
การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมยังคงมีมาอีกหลายครั้ง จนถึงการต่อสู้ของฝ่าย “ระบอบทักษิณ” กับฝ่ายที่ไม่เอาระบอบทักษิณ และจบลงด้วยการยึดอำนาจของฝ่ายทหารหรือ คสช.
ปัจจุบันการต่อสู้ในนามของความเท่าเทียมยังคงดำเนินต่อไป ฝ่ายไหนจะชนะ ฝ่ายไหนจะแพ้ยังอีกยาวนานกว่าจะเห็นเค้าลางได้
แต่ไม่ว่าเราจะสู้กันอีกนานแค่ไหน เพื่อความเท่าเทียมของตัวกู ของกู เพื่อฝ่ายกู ของกู หรือเพื่ออะไรก็ตาม สังคมก็ยังคงเปลี่ยนไปทุกขณะจิต อันเป็นผลของการต่อสู้กันระหว่างทั้งสองฝ่ายหรือมากกว่า... ประการสำคัญก็คือ ผลการต่อสู้ของประชนทั่วโลกที่ต่อสู้กันเองและต่อสู้กับผู้ปกครองประเทศ รวมทั้งการต่อสู้กันระหว่างผู้ปกครองประเทศต่างๆด้วย
ไม่ใช่เพียงแต่ผลของการต่อสู้ด้านการเมืองและการปกครองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการต่อสู้กันทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
“ตัวกระทำ” ที่ให้เกิดการต่อสู้ก็คือ “เศรษฐกิจ”
พูดอีกแบบก็คือ ไม่ว่าเราจะต่อสู้กันเพื่ออะไร เมื่อสาวไปถึงต้นเหตุก็คือ เราสู้เพื่อเพื่อเศรษฐกิจ เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ปัจจัยดำรงชีวิต แต่ยังหมายถึงเรื่องอำนาจของเราด้วย
เศรษฐกิจที่มีอิทธิพลสูงสุดในเวลานี้ก็คือ เศรษฐกิจระบบตลาดเสรี หรือ “ระบบเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์” ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ดำเนินงานโดยบริษัทและบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งมีเครือข่ายยึดครองไปทั่วโลก
ไม่ว่าเราจะต่อสู้กันเพื่อความเท่าเทียม หรือต่อสู้กันเพื่อธำรงรัฐชาติเอาไว้ หรือความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ การต่อสู้ของเราทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การกำกับของระบบเศรษฐกิจดังกล่าว
ดังนั้นการต่อสู้ของเราทั้งหมดจึงสูญเปล่าและสูญเสีย
เพราะ..ประเทศนี้หรือประเทศไหนมันก็เป็นของ “บริษัทและบรรษัทข้ามชาติ” แทบทั้งนั้น แถมเรายังต่อสู้เพื่อมัน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ดูการต่อสู้ของผู้คนเพื่อ “ระบอบทักษิโณมิก” เป็นตัวอย่าง
ดังนั้น แกต้องจ่ายมา!
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี