ชาวโลกคงรู้กันทั่วหน้าว่าลุงแซมนี่แหละที่ชอบชี้นิ้วใส่หน้าคนนั้นคนนี้แล้วป่าวประกาศว่า “พวกแกช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง” ดูพระเอกอันดับหนึ่งอย่างไอซี้ ทั้งหล่อทั้งโอบเอื้ออารี แถมมีเทพีเสรีภาพเป็นพยานหลักฐานว่าไอนั้นต้อนรับผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนา” ว่าแล้วก็ยักคิ้วติดกันสองทีซ้อน แล้วยิ้มฟันขาวกระจ่างไปทั้งปาก หลิ่วตานิดหนึ่งตามแบบพระเอกหนังฮอลลีวู้ด
ที่ฐานอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนิวยอร์ก มีบทกวี 14 บรรทัดที่เรียกว่า “ซอนเนต์” ของเอมม่า ลาซารัส บทกวีนั้นชื่อ The New Colossus มีเนื้อความเชิงกล่าวต้อนรับผู้อพยพทุกคนในโลกนี้มาสู่อเมริกา ดิฉันแปลท่อนสุดท้ายอันมีใจความสำคัญว่า
“ได้โปรดส่งผู้อ่อนล้าและทุกข์เข็ญของท่าน
ผองชนใคร่ดอมดมกลิ่นอายแห่งเสรีภาพ
ผู้ที่ถูกหยามว่าเป็นเพียงเดนมนุษย์จากดินแดนของท่าน
หรือภิกขาจารไร้เรือนพักอาศัย
โปรดนำผู้คนเหล่านี้มาสู่อ้อมอกข้าเถิด
ข้าชูคบเพลิงรอรับพวกท่าน ณ เบื้องสุวรรณบาลแห่งนี้”
ลุงแซมชอบด่าคนอื่นว่าไร้มนุษยธรรม แต่ตัวเองกระทำต่อคนอื่นไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่าชาติไหนๆ อย่างไทยเรา แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโรฮิงญา แต่เราก็อ้าแขนรับคนเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยความเมตตาเยี่ยงชาวพุทธ แม้ว่าโรฮิงญาเหล่านี้จะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ภายหลังก็ตาม หรือแม้แต่คราวที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว เขมร หรือพม่าเดือดร้อนพราะสงครางภายใน เราก็โอบอุ้มไว้ด้วยความการุณมาทุกยุคสมัย ชาวมอญเข้ามาพึ่งพระบรมธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวจนกลายเป็นคนไทยอย่างเต็มตัว ไม่ว่าชาติใดภาษาไหน หากเดือดร้อนมา เราก็ยื่นขันน้ำให้ดื่มดับกระหายทั้งสิ้น
การที่นึกถึงบทกวีบนฐานอนุสาวรีย์แห่งนี้ เพราะมีข่าวใหญ่ในอเมริกาข่าวหนึ่งนั่นคือ คาราวานผู้อพยพจากอเมริกากลาง คือประเทศกลุ่มฮอนดูรัส กัวเตมาลา นิคารากัว ปานามา คอสตาริกา และเอลซาวาดอร์ เดินทางออกจากกลุ่มประเทศอเมริกากลางตั้งแต่เดือนมีนาคมมาถึงชายแดนเม็กซิโก-อเมริกาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แต่อเมริกาปิดประตูหนาแน่น แถมบอกว่าคนพวกนี้แหละคือภัยต่ออเมริกาโดยแท้จริง
ผู้อพยพจากอเมริกากลางลี้ภัยเพราะสงคราม ความอดอยาก อาชญากรรมสูง และปัญหายาเสพติด ทางกลุ่มประกาศผ่านแถลงการณ์ว่าผู้อพยพ 1,500 คน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กเดินทางข้ามประเทศเพื่อร้องขอสันติภาพ คนแถบอเมริกากลางได้รับข้อมูลอย่างผิดๆ มาโดยตลอดว่าเมื่อมาถึงอเมริกาแล้ว จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและสามารถอาศัยอยู่ในอเมริกาได้ เนื่องจากมาในฐานะ “ผู้ลี้ภัย”
กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งผู้หญิงและเด็กเดินทางข้ามเม็กซิโก โดยห้อยโหนตามตู้รถไฟหรือเดินเท้าข้ามประเทศ กรณีผู้หญิงและเด็กมักถูกข่มขืนหรือเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อกลุ่มผู้อพยพเดินทางมาถึงพรมแดนเม็กซิโก-อเมริกาแล้ว วิบากกรรมยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากจะถูกเจ้าหน้าที่อเมริกาผลักดันให้กลับประเทศแล้ว ยังมีฝูงไฮยีน่าหรือพวกเครือข่ายค้ามนุษย์หลอกเอาเงินทองหรือข่มขืนอีกด้วย
ประเด็นคือลุงแซมที่แหกปากป่าวร้องตลอดเวลาว่าตนนั้นมีมนุษยธรรมเหลือเกิน แต่เวลาผลักดันคนกลุ่มนี้ออกไปพ้นจากชายแดน กลับใช้วิธีที่ป่าเถื่อนโหดร้ายที่สุด เช่น ยิงทิ้ง ทุบตี ทำร้ายร่างกายต่างๆ หรือแม้กระทั่งให้อดอาหารและน้ำก่อนไล่กลับไปกัวเตมาลา ที่แสบยิ่งกว่านั้นคือห้ามสื่อมวลชนรายงานสถานการณ์สุดโหดเหล่านี้ด้วย
ลุงทรัมป์นั้นออกปากชัดเจนว่าอย่างไรก็ต้องสร้างกำแพงแห่งความแล้งน้ำใจกั้นระหว่างอเมริกากับเม็กซิโกให้ได้ แถมกวนตีนพี่เม็กด้วยการบอกว่าเงินค่าสร้างให้เก็บจากฝั่งเม็กซิโกเสียอีก เล่นเอาประธานาธิบดีทั้งเก่าและใหม่เต้นเป็นเจ้าเข้าแล้วขุดสรรพนามมาสรรเสริญทรัมป์อย่างเผ็ดร้อน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ทรัมป์หลุดปากเรียกผู้อพยพจากประเทศอเมริกากลางและแอฟริกาว่าเป็น “ประเทศรูขี้” หรือประเทศโสโครกมาแล้ว โดยวิจารณ์นโยบายการเปิดรับผู้ลี้ภัยว่า
“ทำไมเราถึงมีคนจากประเทศโสโครกเข้ามาที่นี่ ทำไมไม่มีพลเมืองจากประเทศรวยๆ อย่างนอรเวย์ลี้ภัยมา”
อย่าว่าแต่ตาทรัมป์เลย จะว่าไปก็ทุกรัฐบาลนั่นแหละที่ปากว่าตาขยิบอยู่ตลอด ปากก็ยิ้มร่าแสดงว่าข้าคือพระเอกอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับยกตีนเขี่ยพวกเม็กซิกันและอเมริกากลางที่ยากจนไปพ้นๆ บ้านตัวเอง
นอกจากทรัมป์จะสั่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกแล้ว โอบาม่าก็ทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือ สั่งประจำการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 1,200 นาย เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนและการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
ความปากว่าตาหยิบนั้นเห็นได้มาตลอดในประวัติศาสตร์อเมริกา ย้อนหลังไปหลายสิบปี จะเห็นว่าลุงแซมนั้นกีดกันผู้อพยพและคนผิวสีในชาติตนเองไม่ให้ได้สิทธิที่เท่าเทียมกับคนผิวขาวอยู่ตลอดเวลา เช่น ค.ศ.1790 มีการออกกฎหมายให้สัญชาติ (Naturaliztion Act) มุ่งกีดกันไม่ให้คนผิวดำได้เป็นพลเมืองอเมริกัน
ค.ศ. 1798 มีการออกกฎหมายคนต่างด้าว (Alien Act) เพื่อกีดกันชาวฝรั่งเศส ค.ศ.1798 มีการออกกฎหมายเพจ (Page Act) สกัดแรงงานอพยพจากเอเชีย โดยเฉพาะชาวจีน ต่อมาใน ค.ศ.1924 ก็มีการออกกฎหมายยับยั้งผู้อพยพจากยุโรปใต้และตะวันออกซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิกและชาวยิว
ก่อนหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีประธานาธิบดีที่ชูนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” มาแล้ว นั่นคือ วาร์เรนจี. ฮาร์ดิง ประธานาธิบดีคนที่ 29 ( ค.ศ.1921-1923) โดยออกนโยบายกีดกันต่อต้านผู้อพยพอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้าที่วาร์เรน จี.ร์ดิงจะขึ้นเป็นประธานาธิบดี ชาวยิวและพวกยุโรปตะวันออกหลั่งไหลมาสู่อเมริกาถึง 22 ล้านคน
หลังจากหัวใจวายตายคาตำแหน่ง ก็มีกฎหมาย ค.ศ.1924 สกัดผู้อพยพจากยุโรปใต้และตะวันออกออกมาสกัดกั้น แต่กลายเป็นว่าเพื่อนบ้านติดกันอย่างเม็กซิโกกลับแห่กันเข้ามาแทน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีขบวนการยับยั้งผู้ลี้ภัย ต่อมา ค.ศ.1965 มีการยกเลิกระบบโควตาพิเศษต้อนรับผู้อพยพจากยุโรปเหนือ
ประธานาธิบดีจอร์จ เอช.ดับเบิลยู. บุช พยายามสกัดผู้อพยพจากเอเชียด้วยการใช้ระบบ “กรีน การ์ด ลอตเตอรี่” ในปี ค.ศ. 2006 สมัยของประธานาธิบดีจอร์จ บุช มีการสร้างแนวกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกอย่างเป็นทางการจากแคลิฟอร์เนียไปถึงเท็กซัสด้วยงบประมาณมหาศาล
กรณีเฮียทรัมป์นั้นดูเหมือนจะลืมกำพืดตัวเองไปแล้วว่าปู่ตัวเองก็มาจากเยอรมัน แถมแม่ของตนก็ไม่ใช่อเมริกันโดยกำเนิด เมียคนล่าสุดก็ไม่ได้เกิดในอเมริกา ชาวยุโรปที่ลงเรือเดินทางมาอเมริกา จะเข้ามาทางนิวยอร์กในช่วงเวลานั้น และสิ่งแรกที่มองเห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาคือ เทพีเสรีภาพ
จากนั้นเรือทุกลำจะจอดเทียบท่าที่ Ellis Island เพื่อให้กลุ่มชนอพยพจากแผ่นดินอื่นได้เข้าบันทึกข้อมูลในการเดินทางเข้าอเมริกา ซึ่งนายทะเบียนจะถามง่ายๆ โดยมีล่ามภาษานั้นประจำอยู่ข้างๆ ผู้อพยพเหล่านี้คนหนึ่งคือปู่ของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ดูเหมือนว่าพ่อคนนี้จะลืมรากเหง้าจนหมดสิ้นแล้ว ถึงกล้าคำรามใส่ผู้อพยพอื่นๆ ที่เข้าอเมริกา น่าเสียดายที่ปู่ของโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้สอนโดนนัลด์ ทรัมป์ให้ท่องจำบทกวีซอนเนต์ของเอ็มมา ลาซารัสที่ฐานของเทพีเสรีภาพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี