ความแตกแยกในสังคมไทยนับแต่คุณทักษิณ ชินวัตรเรืองอำนาจ มาจนถึงวันนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับดูร้าวลึกมากขึ้นอีก แม้ว่ารัฐบาล คสช. จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำหน้าที่ปรองดองแล้วก็ตาม (แต่ทุกวันนี้รัฐบาล คสช. ก็ทำเป็นมึนเงียบหายไปเฉยๆ)
ผมพาดพิงไปถึงคุณทักษิณก็เพราะในยุคที่เขาเรืองอำนาจนั้น มีความพยายามจะแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย ในตอนแรกก็แบ่งเป็นฝ่ายที่เลือกพรรคของเขา กับฝ่ายที่ไม่เลือก จนถึงกับกล้าประกาศว่าจะให้ความสำคัญในการพัฒนาต่างๆแก่พื้นที่ที่ประชาชนเลือกพรรคของเขา หรือที่มี ส.ส. ของเขาอยู่ และเขาก็ทำอย่างนั้นจริง!
ผมไม่ทราบว่ารัฐบาลประเทศอื่นๆทั่วโลกเขาแบ่งประชาชนเสียเองอย่างคุณทักษิณหรือไม่ แต่ผมทราบว่าการที่คุณทักษิณแบ่งประชาชนในชาติเสียเองเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายมากๆ ขณะเดียวกันรัฐบาลของเขาก็กลายเป็นรัฐบาลเฉพาะของคนที่เลือกพรรคของเขาเท่านั้น ไม่ใช่รัฐบาลของคนทั้งประเทศ
เขาทำให้ประเทศนี้เป็นประเทศอกแตก และก็คอยเสี้ยมประชาชนเสมอมา เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของเขา เหมือนกับประเทศเจ้าอาณานิคมกระทำกับประเทศในอาณานิคมของตน ส่วนผลประโยชน์ทางการเมืองที่สำคัญของเขาก็คือการเปลี่ยนระบอบการปกครอง และต่อมาก็เกิดกระบวนการ “คนเสื้อแดง” จนกลายเป็นม็อบที่เผาบ้านเผาเมือง และยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นอีก
เมื่อเกิดความแตกแยกร้าวลึกและมีฝ่ายเสี้ยม – ฝ่ายตอกลิ่มขยันทำงานไม่หยุด ก็กลายเป็นเรื่องของคนสองฝ่ายที่เอาชนะกันทุกวิธี ไม่ว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น แม้ไม่ใช่เรื่องการเมืองก็ลากหรือทำให้มันเป็น “การเมือง” ไปหมด
แม้ไม่มีเรื่องอะไรการเกิดขึ้น ก็ยังปั้นน้ำเป็นตัวให้เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาได้
สังคมไทยจึงกลายเป็น “สังคมจิ้งหรีด” ที่ประชาชนต่างก็ปั่นหัวกันเอง
บ้างก็ยินดีให้ปั่น เพียงเพราะมันถูกจริตกับตน หรือต้องการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม
ส่วนมากไม่มีใครฟังเหตุผลของใคร
“สังคมอุดมปัญญา” ที่ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์สุดเท่เมื่อ 20 ปีก่อนจึงเป็นได้แค่ “สังคมอุดมปัญหา”
อย่างเรื่อง “เสือดำ” ที่ถูกฆ่า มันเป็นแค่คดีอาญา แต่ก็มีคนลากให้เป็นเรื่องการเมืองได้หลายแง่มุม หลายคนลากไปเป็นเรื่องทหารปราบคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 แม้กระทั่งเรื่องทหารยึดอำนาจ และมาตรา 112
คดีธรรมกาย หรือย้อนไปถึงคดีต่างๆที่คุณทักษิณถูกฟ้อง ก็ถูกแปลงสารให้เป็นเรื่องกลั่นแกล้งทางการเมือง ทั้งโดยตัวคุณทักษิณเองและสมุนบริวารทั้งหลาย รวมทั้งพวกที่เพิ่งตื่นมาพบเรื่องการเมืองเฉพาะฉากเฉพาะตอนด้วย
สองวันมานี้มีเรื่องเกี่ยวกับ “พระ” คือพระที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนทุจริตเรื่องเงิน และพระที่เคยเป็นผู้นำม็อบในช่วงต่อต้านรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ก็ถูกทำให้เป็นเรื่องการเมืองอีกเช่นกัน
ในกรณี “พระผู้นำม็อบ” นั้นเบื้องต้นเป็นเรื่องการเมือง แต่เมื่อ “การ์ด” ทำร้ายร่างกายผู้อื่น และการกระทำอื่นที่ผิดกฎหมายอาญา (ตามคำกล่าวหา) ก็ย่อมเป็นคดีอาญา แม้เรื่องราวโดยรวมจะเป็นการเมืองก็ตาม
ยิ่งมีการนำปรมาภิไธยมาใช้โดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ก็ยิ่งชัดเจนว่าเป็นคดีอาญา มาตรา 112 แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่องการเมือง และเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง
ทำไม – ไม่ว่าฝ่ายไหน จึงต้องลากหรือทำให้เป็นเรื่องการเมือง?
คำตอบก็คือ “การเมือง” มันมีนัยยะหรือความหมายแฝง และบางครั้งก็แสดงอย่างโจ่งแจ้งว่า “มันคือการกลั่นแกล้ง – ใส่ร้าย”
ความหมายของมันช่วยให้คนทำผิดหรือถูกกล่าวหาว่าทำผิดดูบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ ไม่มากก็น้อย และก็มักจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากคนในฝ่ายเดียวกัน หรือคนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องด้วย
ยิ่งเป็นคดีใหญ่อย่างคดีของคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสทำให้รอดตัวจากคดีไปได้ แถมยังได้รับความเห็นใจและได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศอีกด้วย
เราอ้างว่า “เป็นเรื่องการเมือง” ก็เพราะเราคิดแบบการเมือง ที่มีความหมายแค่ว่า “ฝ่ายใครฝ่ายมัน”
เราคิดว่าฝ่ายใครฝ่ายมันก็เพราะเราคิดแบ่งฝ่ายมาแต่แรก
เราคิดแบ่งฝ่ายมาแต่แรกก็เพราะเรารู้เรื่องการเมืองไม่พอ รู้ไม่เท่าทันพวกนักการเมือง แม้กระทั่งลัทธิอุดมการณ์ต่างๆที่เรารักหรือเกลียดมัน
เรารู้ไม่พอ รู้ไม่เท่าทันก็เพราะเราเอาแต่ฟัง เอาแต่เชื่อคนอื่น สิ่งอื่น เราไม่เคยฟัง ไม่เคยเชื่อตัวเอง ซึ่งก็คือเราไม่มีวิจารณญาณเพียงพอ
เราไม่มีวิจารณญาณเพียงพอ ก็เพราะเราไม่เคยใช้สติแล้วพิจารณาให้รอบด้าน
เราจึงถูกทำให้เป็นการเมือง ทั้งคนอื่นทำกับเรา และเราทำกับตัวเอง
สุดท้าย เรากลายเป็นเครื่องมือของการเมืองและนักการเมือง แล้วแบ่งแยกเพื่อนมนุษย์ออกไปจากเรา และแบ่งแยกเราออกมาจากเพื่อนมนุษย์
จะบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องชั่วร้ายก็ย่อมได้.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี