ขณะที่การบุกเข้าจับกุมพระพุทธอิสระเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมนั้น ก็เกิดการวิเคราะห์ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของการจับกุมครั้งนี้ว่า อาจเป็นการร่วมมือกันระหว่าง คสช. กับ พุทธอิสระ เพื่อลดกระแสต่อต้านจากมวลชนอีกฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากในวันเดียวกันนั้นมีการบุกเข้าจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่อีก 7 รูปที่ใกล้ชิดไปทางสำนักพระธรรมกาย ในข้อหาทุจริตเงินอุดหนุนพระพุทธศาสนา
การวิเคราะห์นี้มีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเสียความรู้สึก โดยได้ว่ากล่าวตักเตือนและกำชับไปแล้วว่าต้องไม่มีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก รวมทั้งยังได้ฝากขอโทษอดีตพระพุทธะอิสระที่อาจได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้วย
ด้านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ให้โฆษกกระทรวงกลาโหมออกมาแถลงว่า พลเอกประวิตร รู้สึกไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตักเตือนแล้ว
ประกอบกับตัวอดีตพระพุทธอิสระเอง ก็ได้พูดผ่านกรงขังออกมาว่า “พุทธอิสระมาธุดงค์ขำๆ ทุกคนไม่ต้องกังวล อีกไม่นานก็ออกไปห่มเหลืองได้แล้ว" และว่า “อย่าได้ตำหนิ คสช. อย่าตำหนิตำรวจ ทุกฝ่ายทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว อย่าทำให้ คสช. เสียกำลังใจ ถ้าไม่จับพุทธอิสระก็ปราบมารศาสนาอลัชชีในวงการสงฆ์ให้หมดสิ้นไปไม่ได้ พุทธะอิสระเปรียบเหมือนเบี้ยตัวหนึ่ง ที่อาจให้หมากทั้งกระดานล้มลงได้ พุทธะอิสระลงทุนขนาดนี้แล้ว ดูสิ คสช.จะทำได้ขนาดไหน"
การวิเคราะห์ที่ว่าการจับกุมครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง คสช. กับ พุทธอิสระ จึงมีน้ำหนักขึ้นอีกมาก
กระทั่งเมื่อมีการเปิดเผยออกมาภายหลังว่า การบุกเข้าจับกุมพุทธอิสระเช้าวันนั้น ไม่ได้มีเพียงกำลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเท่านั้น หากยังมีเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมแรงงาน พร้อมตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สนธิกำลังกันเข้ามาเพื่อหวังตรวจค้นและตั้งทุกข้อหาให้อยู่หมัด
ทีนี้ผู้คนเลยทำให้ชักไม่แน่ใจว่าการจับกุมพุทธิอิสระครั้งนี้ เป็นการวางแผนร่วมมือกันเพื่อปราบมารศาสนาจริงหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าคิดและน่านำมาพูดคุยกันยิ่งกว่านี้คือ ทันทีที่ผู้คนจำนวนมากตำหนิวิจารณ์ถึงการบุกเข้าจับกุมพระพุทธอิสระด้วยพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมและเกินกว่าเหตุนั้น อดีต สส. พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. บางคน กลับออกมาให้สัมภาษณ์อย่างชนิดที่ฟังแล้วน่าเศร้าใจว่า คนการเมืองของประเทศเรามีวุฒิภาวะที่ตกต่ำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. และอดีตรักษาการผู้อำนวยการ องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) สมัยระบอบทักษิณเรืองอำนาจ กล่าวว่า การจับกุมพุทธอิสระครั้งนี้ ไม่ได้กระทำการอะไรที่เกินเลย และหากเทียบเคียงกับกรณีกลุ่มคนเสื้อแดง ถือว่าหลายคนถูกจับด้วยวิธีการหนักกว่านี้ ทั้งถูกมัดมือ มัดเท้า ไม่เห็นว่าจะมีใครออกมาโวยวายหรือขอโทษบ้างเลย
นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามหน้าที่ วิธีการเข้าจับกุมก็ถูกฝึกมาแบบนั้น ตอนตำรวจเข้าจับกุมพระอีกฝ่ายก็ทำแบบนี้ แม้แต่กับกลุ่มคนเสื้อแดงก็ถูกกระทำทั้งจากตำรวจและทหารหนักกว่านี้อีก ทั้งบุกเข้าค้นบ้าน โดนจับมือไพล่หลัง ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาขอโทษและปรามเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบนี้ อาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานน้อยใจได้
ที่ว่าน่าเศร้าใจ เพราะใครๆ ก็เห็น ใครๆ ก็รู้ว่า
ก่อนบุกเข้าจับกุมพุทธอิสระในเช้าวันนั้น พุทธอิสระไม่เคยถูกออกหมายเรียกแล้วดื้อแพ่งไม่ยอมไปพบเจ้าหน้าที่ เหมือน “พระอีกฝ่าย” ที่นายวรชัยอ้าง
ก่อนบุกเข้าจับกุมพุทธอิสระในเช้าวันนั้น พุทธอิสระไม่เคยเอามวลชนมาปิดล้อมทางเข้าวัด ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น เหมือน “พระอีกฝ่าย” ที่นายวรชัยอ้าง
ก่อนบุกเข้าจับกุมพุทธอิสระในเช้าวันนั้น พุทธอิสระไม่เคยติดอาวุธ ไม่เคยปาระเบิด ไม่เคยจุดไฟเผาบ้านเผาเมือง เหมือนการ์ดเสื้อแดงบางคนที่ตำรวจทหารจับได้และโดนมัดมือ มัดเท้า อย่างที่นายก่อแก้วเปรียบเทียบ
ก่อนบุกเข้าจับกุมพุทธอิสระในเช้าวันนั้น พุทธอิสระไม่เคยส้องสุมอาวุธ ไม่เคยส้องสุมกองกำลัง ตามที่หน่วยข่าวกรองของตำรวจรายงาน คลิปที่ตำรวจชุดบุกเข้าไปจับกุมอัดไว้และนำออกเผยแพร่ ก็ยืนยันความจริงข้อนี้
การใช้กองกำลังตำรวจกองปราบปรามติดอาวุธสงครามบุกจับพระที่ไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี ไม่เคยมีประวัติการส้องสุมและใช้อาวุธสงคราม รวมทั้งพฤติกรรมการบุกทุบประตูกุฏิ และกิริยาวาจาที่พูดกับพระที่ยังห่มผ้าเหลืองและเป็นเพียงผู้ต้องหาตามที่เห็นในคลิปที่เผยแพร่ออกมา จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีต้องออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น นายก่อแก้ว กับ นายวรชัย รวมทั้งคนเสื้อแดงอีกบางคน ยังเห็นว่าเหมาะสม ไม่ใช่การกระทำที่เกินเลยอีกหรือ
บ้านเมืองเราไปไม่ถึงไหน ไม่ต้องไปโทษใครที่ไหนหรอก ถ้าวุฒิภาวะของนักการเมืองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำมวลชนของเรายังเป็นอยู่แบบนี้
ยังแยกถูกแยกผิด แยกดีแยกชั่วไม่ออก
แยกเป็นแต่เพียงตัวกูพวกกู กับ ตัวมึงพวกมึง
ถ้ากูกับพวกกู ต้องถูกทุกอย่าง มึงกับพวกมึง ต้องผิดทุกอย่าง
ถ้าคิดว่าพวกตนถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมมาแล้ว เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปฏิบัติเช่นนั้นกับคนอื่น พวกอื่น ก็ควรต้องออกมาประณามคัดค้านเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในสิ่งที่ตนเห็นว่าไม่ถูกต้องและถูกกระทำมาแล้ว จึงจะถือว่าเป็นคนที่ซื่อตรง น่ายกย่อง น่านับถือ ไม่ใช่ออกมาพูดทำนองสมน้ำหน้าว่า พวกกูโดนหนักกว่ามึงอีก ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวายบ้างเลย
คนไทยเราควรต้องรู้จักแยกถูกแยกผิด แยกดีแยกชั่ว ให้มากกว่า แยกพรรคแยกพวก
ในอดีตเมื่อเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ขณะที่เหมาเจ๋อตงนำกองทัพแดงต่อสู้กับกองกำลังของเจียงไคเช็คอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมาเจ๋อตงยังเชิดชูข้อดีของเจียงไคเช็คว่าเป็นคนมีจุดยืนที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ดีกว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนบางคนเสียอีกที่ยังมีจุดยืนไม่มั่นคง
ในอดีตอีกเช่นกันเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้สนับสนุนนายจอห์น แมคเคน โห่ร้องแสดงความไม่พอใจที่นายบารัค โอบามา ได้คะแนนนำชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายจอห์น แมคเคนออกมาห้ามปรามผู้สนับสนุนของเขา พร้อมกับกล่าวว่า “บารัค โอบามา คือประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และเขาเป็นประธานาธิบดีของผมด้วย”
ถ้านักการเมืองของเรา ผู้นำมวลชนของเรา มีวุฒิภาวะแบบนี้ บ้านเมืองของเราจะไปได้ไกลกว่านี้
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี