กระแสปฏิเสธศาสนายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง...ในฐานะ “พุทธศาสนิกชน” ผมจึงยังต้อง “พูด” ต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งที่ไม่อยากพูด
บรรดาพวกที่นิยามตัวเองว่าเป็น “ฝ่ายก้าวหน้า” โดยเฉพาะพวกคอมมิวนิสต์นั้นเขาไม่เอาศาสนาตามลัทธิที่สอนไว้อยู่แล้ว พวกเขาเห็นว่าศาสนามอมเมาเหมือนเป็นสารเสพติด ศาสนาไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นสัจธรรม ต้องคำสอนของลัทธิคอมมิวนิสม์เท่านั้นที่เป็นสัจธรรม!
ส่วนพวก “ลิเบอรัล” บางส่วนก็ปฏิเสธศาสนา เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้ง – ขัดขวางการพัฒนาประเทศชาติและสังคม!
ทั้งสองลัทธินี้(ในประเทศไทย) จึงเป็นแนวร่วมกันในทางการเมือง...ที่พยายามจะ “กำจัดศาสนา” ให้หมดพลังไป เช่นเดียวกับที่พวกเขาปฏิเสธขนบประเพณีอยู่ในเวลานี้
พวกเขาประกาศว่า “ทุกคนต้องเท่าเทียมกันทางกฎหมาย” หรือ “เสมอหน้ากันทางกฎหมาย” ก็พอแล้ว เรื่องอื่นใดล้วนไม่จำเป็น
แต่ผมกลับเห็นตรงกันข้าม
อย่างแรก...พวกเขาเองก็เห็นว่าทุกวันนี้กฎหมายไม่ยุติธรรม ทุกคนไม่เสมอหน้ากันทางกฎหมาย โดยมีนัยถึงกฎหมายมาตรา 112 ด้วย และสรุปด้วยคำเท่ของลัทธิแห่งตนว่า “ชนชั้นใดสร้างกฎหมาย กฎหมายก็รับใช้ชนชั้นนั้น”
คำถามก็คือ ต้องเป็นชนชั้นใดสร้างกฎหมาย กฎหมายจึงจะยุติธรรมเสมอหน้ากันทุกคน?
กฎหมายที่ถูกสร้างโดย “เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ” ตามลัทธิคอมมิวนิสต์จะให้ความยุติธรรมอย่างเสมอมาหน้ากับคนที่ไม่เอาลัทธิคอมมิวนิสต์ไหม?
ดังนั้น แค่ประเด็น “กฎหมาย” อย่างเดียวก็ยังเป็นปัญหาไม่รู้จบ และจะไม่มีวันจบ ตราบใดที่เรายังยึดถืออุดมการณ์ลัทธิที่แตกต่างกัน
อย่างที่สอง...ผมเห็นว่าแม้โดยภาพรวมของกฎหมาย – ไม่ว่ากฎหมายนั้นจะถูกสร้างโดยใครหรือชนชั้นไหน อย่างน้อยก็มีเป้าหมายให้สังคมสงบเรียบร้อย (ตามทัศนะของตนหรือลัทธิที่ตนเชื่อถือ) แต่กฎหมายก็เป็นเพียงตัวหนังสือ หากผู้บังคับใช้กฎหมายบกพร่อง หรือละเลย หรือฉ้อฉล กฎหมายนั้นก็ไม่สามารถสร้างความยุติธรรมได้เสมอหน้ากันจริง (ในทางปฏิบัติ) ทุกวันนี้เราก็เห็นกันอยู่แล้ว
อย่างที่สาม....ทั้งกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งและพานิช ก็มี “สาระ” เช่นเดียวกับ “ศีลธรรม” ในพระพุทธศาสนา แตกต่างกันก็เพียงรายละเอียดและความยืดหยุ่นตามสภาพสังคม ได้แก่...การฆ่าสัตว์ (ทำร้ายฆ่าคน) การลักทรัพย์ (รวมถึงการคอรัปชั่นด้วย ฯลฯ) การผิดประเวณี (การข่มขืน การทำอนาจาร ฯลฯ) การพูดปด (ใส่ความ ดูถูก เหยียดหยาม หมิ่นประมาทฯลฯ) การเสพสุราหรือสารแอลกอฮอล์ ที่ผิดกาลเทศะ และก่อให้เกิดคามเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
“ศีลธรรมกับกฎหมาย” จึงเห็นปัญหาในสังคมอย่างเดียวกัน และต้องการแก้ปัญหาสังคมด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ข้อแตกต่างของศีลธรรมกับกฎหมายก็คือ...กฎหมายนั้นมุ่งแต่ใช้อำนาจ บังคับ ควบคุม ข่มขู่ (ห้ามทำผิด) ลงโทษผู้กระทำผิด นับว่าเป็นความรุนแรงในสังคมอย่างหนึ่ง แต่กระนั้นก็มีคนกระทำผิดอยู่เสมอมา
กฎหมายอย่างเดียวจึง “เอาปัญหาสังคมไม่อยู่”
ศีลธรรมนั้นสร้าง “วินัยในตนเอง” หรือ “สร้างสำนึกรับผิดชอบ” แก่ตนเองและสังคม เป็นเรื่องของความสมัครใจ การอบรมบ่มนิสัย และปฏิบัติตามด้วยความยินดี – เต็มใจ ไม่มีการใช้อำนาจบังคับอย่างกฎหมาย จึงไม่สร้างความรุนแรงในสังคม แต่ศีลธรรมก็ไม่แข็งแรงพอ ซ้ำยังมีคนคอยบ่อนเซาะเสมอมาอีก
“ข้อดี” ที่ดีกว่ากว่ากฎมายก็คือ ไม่ต้องมีผู้บังคับใช้กฎหมาย ไม่ต้องสร้างระบบ – กระกวนการและวิธีการต่างๆ ที่เราเรียกรวมๆว่า “กระบวนการยุติธรรม” ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ...ในมุมมองของเศรษฐกิจนั้น ไม่ใช่เพียงสิ้นเปลืองงบประมาณเท่านั้น ยังสิ้นเปลืองและสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ด้วย...ทั้งคนกระทำผิดและผู้ถูกกระทำ
ศีลธรรมทำหน้าที่ที่ต้นเหตุ ด้วยการสร้าง “ภูมิคุ้มใจตนเอง” ของคนแต่ละคน จึงเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมก่อนจะเกิดปัญหา
ถ้าเราใช้ศีลธรรมเป็นเครื่องมือป้องกันปัญหาของสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ กฎหมายก็ทำหน้าที่น้อยลง ทรัพยากรต่างๆก็ถูกใช้น้อยลง แต่สังคมสงบสุขขึ้น
เรื่องการใช้กฎหมายอย่างเดียวแล้วสังคมจะเท่าเทียมกัน มีความสงบเรียบร้อย...จึงเป็นเรื่องตื้นเขินของพวกนักเพ้อตามลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี