“ธงชัยพูดถึงแนวคิดเรื่องความยุติธรรมและหลักนิติธรรมในสังคมไทย ซึ่งอาจจะไม่ได้สอดคล้องกับความยุติธรรมในแบบสากล โดยเขาเสนอแนวคิดว่า แม้ในทางสากล "สิทธิ" นั้นหมายถึงสิ่งที่ทุกคนมีอยู่เท่ากัน แต่รากฐานของสังคมไทยนั้นสิทธิหมายถึง "อำนาจ" ซึ่งคนมีอยู่ไม่เท่ากัน
“การคืนความยุติธรรมอาจไม่ได้หมายถึงการคืนความเป็นธรรม แต่เป็นการกลับคืนสู่ "ภาวะปกติ" ตามฐานความเชื่อแบบพุทธ ซึ่งนั่นหมายถึงการคืนสู่ภาวะของสังคมที่มีลำดับชั้น ทุกคนมีสิทธิอยู่ไม่เท่าเทียมกัน”
(คัดจากบทความใน บีบีซีไทย)
.............................................................................
ผมอ่านข้อความข้างต้นแวบแรกก็เผลอเชื่อว่าสังคมไทยเป็น “จริง” อย่างที่ศาสตราจารย์ธงชัย วินิจจะกุลกล่าว แต่พลันก็มีคำตอบโต้ตามมาว่า “ฐานความเชื่อแบบพุทธ” ไม่ได้เป็นอย่างนั้น!
ผมไม่เห็นด้วยที่ ศ.ธงชัยกล่าวว่า ฐานความเชื่อแบบพุทธแบ่งสังคมเป็นลำดับชั้น ที่ทุกคนมีสิทธิไม่เท่าเทียมกัน
พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องลำดับชั้นหรือแบ่งชนชั้นในสังคมแต่อย่างใดเลย ตรงกันข้าม กลับสอนให้สลายชนชั้น – สลายความยึดมั่นถือมั่น...อย่างในพุทธกาล ใครก็ตามเมื่อจะบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด(วรรณะ)จากลัทธิพราหมณ์ จะต้องไม่เอา “สำนึกแห่งชนชั้น” เข้ามา “กร่าง” ด้วย เพราะ “สำนึกแห่งชนชั้น” นั้นคือความยึดมั่นถือมั่นที่แรงกล้ามาก เป็นปรปักษ์กับคำสอนในพระพุทธศาสนา
เมื่อบวชแล้วทุกคนต้อง “เท่าเทียมกันภายใต้พระธรรมวินัย” คือปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเหมือนกัน เท่าเทียมกัน ใครปฏิบัติได้ดีกว่า ก็ย่อมพัฒนาจิตตนให้ใกล้พระนิพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนามากเท่านั้น
.
พระพุทธศาสนาจึงไม่เพียงสลายชนชั้น แต่มีเป้าหมายเพื่อสลายความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง แม้กระทั้งการยึดมั่นถือมั่นว่า “ขันธ์ 5” หรือ “ชีวิต” ว่าเป็นตัวตนหรือมีตัวตนอย่างที่เรานึกคิดกันอยู่ทุกวัน เพราะการหลงคิดหลงยึดว่าขันธ์ 5 เป็นตัวตนเราและของเรานั้นเป็นเหตุให้ชีวิตเป็นทุกข์ ทำให้ผู้คนขัดแย้งเบียดเบียนกัน (เพราะเห็นแก่ตัวตน เห็นแก่ได้) จนถึงกับเข่นฆ่าทำลายล้างกัน และโลกก็เป็นทุกข์ตามไปด้วย อย่างที่เคยเป็นมาและกำลังเป็นอยู่
การสลายความยึดมั่นถือมั่นจากสิ่งทั้งปวง(ธรรม) คือการปลดเปลื้องภาระอันเป็นทุกข์ที่แบกไว้ เมื่อปลดเปลื้องได้แล้วก็บรรลุถึงสภาวะที่เรียกว่า “นิพพาน”
พระพุทธศาสนาได้สรุปไว้ว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” ธรรม(สิ่งทั้งปวง) ไม่ควรยึดติด หรือยึดมั่นถือมั่น
ดังนั้นจะเที่ยวไปจัดแบ่งชนชั้นให้คนยึดมั่นถือมั่นและทำร้ายเบียดเบียนกันเพื่ออะไร?
\ ถ้าจะมี “ลำดับชั้นในสังคม” ย่อมไม่ใช่เกิดจากพระพุทธศาสนา หรือพระพุทธศาสนานิยมส่งเสริมให้เกิดลำดับชั้นในสังคม แต่เกิดจากลัทธิพราหมณ์
แต่เมื่อพิจารณาเข้าจริงก็ไม่ใช่ลัทธิพราหมณ์ เพราะคนที่นับถือลัทธิพราหมณ์ในประเทศไทยมีน้อยนัก และก็ไม่มีพลังพอจะแบ่งชนชั้นในสังคมไทยได้ อย่างมากก็แค่ประกอบพิธีกรรมของตน
ส่วนในสังคมไทยนั้นมีทั้งคนที่นับถือ “ผี พราหมณ์ พุทธ” แถมในคนๆเดียวยังเชื่อถือปนกันทั้ง 3 อย่างอีกด้วย
โดยทั่วไป...ชนชั้นนั้นเกิดจากความปรารถนาจะมีอำนาจอยู่เหนือผู้คนอย่างหนึ่ง อย่างลัทธิพราหมณ์ เกิดจากการปกครองอย่างหนึ่ง เกิดจากฐานะทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง ทั้ง 2 อย่างหลังนี้เกิดขึ้นในทุกสังคม แตกต่างก็เพียงบางสังคมไม่มี “สำนึกแห่งชนชั้น” หรือบุคคลไม่ได้คิดเรื่องชนชั้นอะไรเลย ใครอยากมีอำนาจก็แสวงหาอำนาจ ใครอยากมั่งคั่งรำรวยก็แสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย
อย่างในสังคมไทย ถ้าจะแบ่งชนชั้นตามทฤษฎีมาร์กซิสต์ก็มีอย่างหลวมๆ แต่ทุกคนสามารถไต่อันดับชนชั้นกันได้ เพราะคนไทยมีสำนึกอยู่ที่ “สุข ลาภ ยศ สรรเสริญ” หรือที่ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกว่า “กิน กาม เกียรติ” ไม่ได้มีสำนึกแห่งชนชั้นอย่างที่ ดร.ธงชัยพยายามยัดเยียดให้มี
พระพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่อง “นรก – สวรรค์” แต่ก็บอกว่า “เป็นผลจากการกระทำ” ของบุคคล หรือที่เรียกว่า “กรรมและวิบาก” เป็นการจัด “ลำดับสภาวะแห่งจิต” ของบุคคลที่ประกอบกรรม และส่งผลเป็นวิบากว่าจะ “เป็นไป”
อย่างไรเรื่องกรรมและวิบากนั้นไม่ใช่เรื่องน่าสงสัย เพราะเรามองเห็นได้ทุกเวลานาที อย่างคนกินข้าวก็นับเป็นการกระทำหรือกรรม กินแล้วอิ่มก็เป็นผลของการกระทำหรือกรรม อิ่มแล้วสารอาหารนั้นก็ทำให้ร่างกายเติบโตตามมา หรืออาจสะสมเป็นไขมัน ก็เป็นวิบาก ไขมันก็ทำให้เกิดโรคหรือให้ความอบอุ่น และยังส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ต่อไปอีก...ทั้งหมดเรียกว่าวิบาก
การเกิด – ดับ ในพระพุทธศาสนาก็เป็นการเกิดดับของจิต – ในทุกขณะจิต
การเกิด – การตาย ชาตินี้ – ชาติหน้า ก็คือการเกิด – ดับของจิต แต่เราเรียกอย่างสมมุติ
ประเด็นเรื่องนรก – สวรรค์ - กรรมและวิบากนี้ พวกมาร์กซิสต์มักจะยกมาโจมตีพระพุทธศาสนาในสังคมไทยเสมอ ว่าสอนให้คนงมงาย งอมืองอเท้า มอมเมาคนเหมือนยาเสพติด ไม่คิดพึ่งตัวเอง และยอมจำนนต่อชะกรรมของตน
ทั้งที่พระพุทธศาสนาก็สอนย้ำว่า “ตนเป็นที่พึงแห่งตน” ไม่ให้ยอมจำนนต่อชะตากรรม หรือวิบากกรรมของตน เพราะแม้เราจะได้รับมรดกกรรมมาจากอดีต (นับแต่ขณะจิตที่แล้วย้อนกลับไป) แต่เราก็สามารถสร้างกรรมใหม่ได้ทุกเวลา
แล้วทำไมพวกมาร์กซิสต์จึงมุ่งหมายทำลายพระพุทธศาสนาเล่า?
คำตอบก็คือ คนไทยเกือบทั้งประเทศนับถือพระพุทธศาสนา และแม้ว่าจะมีคนที่ไม่รู้ว่าพุทธศาสนาสอนอะไร เป็นอย่างไร แต่เขาก็รู้ว่าอย่างน้อยก็มีศีล 5 ที่สอนให้คนทำความดี เมื่อประกอบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรมต่างๆ พระสงฆ์ พระพุทธรูป และฯลฯ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา จึงก่อเกิดเป็น “มโนภาพแห่งพุทธศาสนา” ที่สถิตอยู่ภายในใจของเขา (ศาสนาอื่นก็ทำนองเดียวกัน) และได้หยั่งรากลึกอยู่ในสังคมไทยตลอดมา
ดังนั้นเมื่อพวกมาร์กซิสต์ต้องการจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง ก็ต้องทำลายพระพุทธศาสนาเสียก่อน เพราะเป็นโครงสร้างและสำนึกที่แข็งแกร่งของสังคมไทย
ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไม ศ.ธงชัยจึงต้องโยนบาปให้แก่พระพุทธศาสนา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี