ในฐานะที่เป็นคนไทยไกลบ้านดิฉันไม่เคยลืมความทรงจำวันแรกเมื่อ 17 ปีก่อนก้าวแรกที่ตอบคำถามด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินด้วยเสียงสั่นๆพลางนึกบนบานศาลกล่าวในใจให้ผ่านพ้นไปด้วยดี แม้มีวีซ่าอยู่ในเมืองการอาศัยแผ่นดินแปลกหน้าเป็นบ้านแห่งที่สองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ต้องปรับตัวอย่างยาวนานเป็นหลายเดือนหลายปีก้าวแรกในอเมริกาคือความหวาดกลัวเคว้งคว้างแม้จะแต่งงานอย่างถูกต้องกับชาวอเมริกันก็ตามยังจำความหวาดหวั่นในวันเวลานั้นได้ดี ลองนึกถึงผู้อพยพรายอื่นๆที่ตัดสินใจมาตายดาบหน้าในอเมริกาดูเถิดว่าจะหวาดกลัวขนาดไหน
แต่ดินแดนที่เสนอภาพว่าเปี่ยมไปด้วยเสรีภาพทุกตะรางนิ้วอย่างอเมริกานี่แหละ ที่ปฎิบัติต่อเด็กเล็กๆ อย่างเหี้ยมโหดทารุณ โดนัลด์ทรัมป์ใช้นโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” (zero tolerance)ต่อผู้คนที่อพยพเข้าอเมริกา โดยพรากลูกพรากแม่ไปด้วยการนำเด็ก ๆไปขังไว้ในกรงแบบเดียวกับกรงขังหมาขนาดใหญ่แล้วเด็กที่ทรัมป์กระชากออกจากอ้อมอกพ่อแม่นั้นมีจำนวนมากถึงสองพันคน
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจฟฟ์ เซสชันส์รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศนโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์”ซึ่งระบุว่า บุคคลที่ลักลอบเดินทางเข้าอเมริกา
แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการอพยพลี้ภัย จะถูกตั้งข้อหาในคดีอาญาทันทีอันเป็นผลให้คนเหล่านั้นต้องถูกจับแยกจากลูกที่เดินทางมาด้วยกันผู้ที่ข้ามพรมแดนเม็กซิโกเข้ามาอย่างผิดกฎหมายทุกรายจะต้องถูกจับกุมไม่ว่าจะยื่นคำร้องขอลี้ภัยหรือไม่ก็ตามทารกวัยแบเบาะและเด็กเล็กวัยสวมแพมเพิร์สจะถูกดำเนินคดีขึ้นศาลตามกระบวนการทางยุติธรรมไปด้วย
โฆษกกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ แถลงว่า ระหว่างวันที่19 เม.ย. - 31 พ.ค. ที่ผ่านมามีเยาวชน 1,995 คนถูกจับแยกจากผู้ปกครอง1,940 คนซึ่งตำรวจตระเวนชายแดน(US Border Patrol)ได้ควบคุมตัวเอาไว้
ทั้งหมดนี้อ้างว่าจำเป็นต้องใช้นโยบายความอดทนเป็นศูนย์เพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนและป้องปรามการลักลอบเข้าเมืองเพราะหน่วยงานชายแดนส่งฟ้องพวกคนเข้าเมืองผิดกฎหมายต่อศาลพวกพ่อแม่เหล่านั้นจะถูกคุมขังในเรือนจำรัฐบาลกลางเพื่อรอการพิจารณาคดี ในขณะที่เด็กๆ จะถูกคุมตัวไว้ที่ศูนย์กักกันต่างๆ ซึ่งเด็กฟเหล่านี้มาจากอเมริกากลาง โดยเฉพาะกัวเตมาลา, ฮอนดูรัสและเอลซัลวาดอร์
แม้จะมีความผิดโทษฐานลักลอบเข้าเมืองก็ไม่ควรละเมิดสิทธิมนุษยชนถึงขนาดนี้ แต่ดูเหมือนโดนัลด์ทรัมป์จะคิดไม่ได้ว่านับวันจะทำตัวต่ำและไร้หัวใจเข้าไปทุกทีแม้แต่เมียลุงทรัมป์เองก็ยังกริ๊ดออกสื่อแล้วด่าอย่างไม่ไว้หน้าสามีเลยแม้แต่น้อย คาดว่าที่เมลาเนียคงทนไม่ไหว เพราะตัวเองก็เป็นผู้อพยพคนหนึ่งในฐานะคนแปลกหน้าบนแผ่นดินอื่น เราต่างตระหนักดีถึงปัญหานี้และอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาอย่างปวดร้าวแม้กระทั่งพิธีกรอเมริกันที่อ่านข่าวนี้ยังต้องร้องไห้ออกมากลางรายการ
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งซึ่งปกติไม่ค่อยออกสื่อถึงกับออกมาโวยว่ารู้สึกชิงชังรังเกียจที่ต้องเห็นเด็กถูกแยกจากพ่อแม่ พลางสำทับว่าแม้อเมริกาต้องเป็นประเทศที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดแต่ควรปกครองด้วยหัวใจ
นอกจากภรรยาตาทรัมป์จะไม่เห็นด้วยแล้วอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอีกคนซึ่งไม่ค่อยออกสื่อเหมือนกันทั้งในสมัยที่สามีเป็นประธานาธิบดีหรือปัจจุบันนางลอรา บุช ภรรยาของจอร์จ ดับเบิลยู. บุชซึ่งอยู่พรรคเดียวกับตาทรัมป์คือพรรครีพับลิกันออกมาส่ายหน้าเป็นพัดลมแล้วให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่า
“แม้ชื่นชมการบังคับใช้กฎหมายและการปกป้องพรมแดนนโยบายความอดทนเป็นศูนย์ช่างป่าเถื่อนและขัดต่อศีลธรรมทำให้ดิฉันหัวใจสลายและทำให้นึกถึงค่ายกักกันคนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน”
เท่านั้นยังไม่พอบรรดาภรรยาปัจจุบันและอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไม่ว่าจะเป็นเมลาเนีย ทรัมป์ มิเชล โอบามา ลอรา บุช ฮิลลารี คลินตันและโรซาลินน์ คาร์เตอร์ พร้อมใจกันออกแถลงการณ์ประณามนโยบาย“ความอดทนเป็นศูนย์” ของเฒ่าทรัมป์
นอกจากนักการเมืองทั้งสองพรรค อดีตประธานาธิบดีและภรรยาอดีตประธานาธิบดีแล้วชาวบ้านร้านถิ่นทั่วประเทศยังก่นด่าตาทรัมป์จนเสียงแหบเสียงแห้ง
ชาวโซเชียลมีเดียในอเมริกาต่างแจกฟักแฟงแตงโมให้ทรัมป์หลายคันรถโดยทั่วหน้ากัน
เด็กๆ เหล่านี้ถูกนำไปขังรวมกันในกรงขนาดใหญ่ติดบาร์โค๊ดที่ข้อมือไม่ต่างนักโทษ เพื่อใช้สแกนรับอาหารในแต่ละวันกลุ่มนักกฎหมายและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เดินทางเข้าไปด้านในศูนย์ผู้อพยพเด็กเล็กในทางใต้ของรัฐเทกซัสกล่าวว่าสภาพเด็กๆที่อยู่ในนั้นเหมือนฝันร้ายต่างร้องไห้คร่ำครวญหาพ่อแม่ของตน
ไม่ใช่แค่โดนคนอเมริกันตะโกนแจกฟักแฟงเท่านั้นชาวโลกที่มุงดูอยู่ต่างก็ก่นด่าเสียงขรมลั่นโลกนายกรัฐมนตรีเทเรซาเมย์ของอังกฤษ จัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา พระสันตะปาปาคณะมนตรียุโรปต่างประณามนโยบายความอดทนเป็นศูนย์ของทรัมป์ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน
แต่ลุงผมเป๋ของเราหาแคร์ไม่ ยังเดินหน้าใช้เด็กเป็นตัวประกันต่อไปพลางกล่าวโทษพรรคเดโมแครตปาวๆว่าถ้าเดโมแครตสนับสนุนร่างกฎหมายคนเข้าเมืองที่มีความครอบคลุมมากขึ้น ก็จะทำให้แนวทางที่ทำให้พ่อแม่ลูกต้องพลัดพรากกันจบสิ้นลงเดี๋ยวนะ..แล้วใครวะที่ลงนามคำสั่งอันมีผลให้พรากลูกจากอ้อมอกแม่แบบนี้ไม่ใช่ลุงผมเป๋หรอกรึ
ใครจะด่าลุงแกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไรก็ไม่สะท้านสะเทิอนเพราะก่อนหน้าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นลุงผมเป๋ประกาศถอนตัวจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาตินอกจากถอนยวงไปแล้วยังมีหน้าหันไปด่าชาติสมาชิกอีกต่างหากว่า
ไอ้พวกชาติสมาชิกล้วนตีสองหน้าบังอาจมาแตะต้องอิสราเอลสุดที่รักของข้าได้อย่างไร
แต่หลังจากที่โดนด่า โดยเฉพาะถูกเมียตัวเองด่าจนหูชาแล้วเฒ่าผมเป๋ก็กลับลำด้วยการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดให้กักตัวครอบครัวผู้อพยพที่ถูกจับที่ด่านชายแดนไว้ด้วยกันจนกว่าการพิจารณาโทษในคดีอาญาจะเสร็จสิ้น
แต่ยังไว้ใจไม่ได้ เฒ่าทรัมป์นี่แกดื้อเหมือนลานี่แค่ถอยนิดหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะเห็นว่าชาวโลกไม่เอาด้วยแถมเสียงด่าดังเกินกว่าจะนอนหลับได้ลงนั่นแหละตาทรัมป์ถึงยอมถอยออกมาหนึ่งก้าวแต่ยังคงต้องจับตาดูว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรต่อไปในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี