ตอนนี้ไอ้นกอินทรีหัวล้านจิกตีท้ารบกับชาวโลกไปทั่ว โดยเฉพาะสงครามทางเศรษฐกิจ เน้นจัดหนักพญามังกร อิหร่าน และตุรกี แรกเลยก็อยากจะเขียนเล่าเรื่องศึกอินทรีจิกตีกับไก่งวง แต่เชื่อว่านักวิเคราะห์สถานการณ์โลก โดยเฉพาะผู้สันทัดกรณีด้านอเมริกาต่างเขียนถึงเรื่องนี้กันโครมๆ สามารถหาอ่านได้ไม่ยากในโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ
คนเขียนคอลัมน์นี้เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้เป็นนักวิเคราะห์เจาะลึกแต่อย่างใด ถนัดไปทางวิแคะมากกว่า เป็นเพียงแค่นักเล่าเรื่องสู่กันฟังเท่านั้นเอง เลยคิดว่าอยากเล่าเรื่อง “ภายใน” ที่เกิดขึ้นในอเมริกามากกว่าชวนคุยสถานการณ์ร้อนระอุที่ลุงทรัมป์ผมเป๋ไล่กระทืบชาตินั้นชาตินี้ เพราะเบื่อเหลือหนกับความวิกลจริตของลุง
ใครที่ดูหนังฮอลลีวู้ดจนเข้าเส้น มักคิดเอาเองว่าการเหยียดสีผิวหมดไปแล้วจากอเมริกา เพราะถูกทำให้เชื่อว่าทุกคนเท่าเทียมกัน นั่นเป็นภาพลวงตาชาวโลกมาแสนนาน เพราะในความเป็นจริง การเหยียดผิวยังคงอยู่ เพียงแต่ถูกซุกไว้ใต้พรมเท่านั้นเอง
ดูง่ายๆ แค่เรื่องคูคลักแคลนซ์ที่ดูเหมือนจะหายไปจากอเมริกาหลายสิบปีมาแล้ว พอมีประธานาธิบดีชื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” กลุ่มนี้ก็ผงาดขึ้นมาใหม่ โผล่หน้ามาสลอนพร้อมกับพวกนีโอนาซีในอเมริกา และพวก White Presumptive ซึ่งจับมือกันเดินขบวนอย่างครึกครื้นเพื่อหยามเหยียดคนสีผิวอื่นที่ไม่ขาว พวกนี้เรียกง่ายๆ ว่า “พวกกลุ่มคลั่งขาว” บางทีก็ตีกับฝ่ายค้านบ่อยๆ ตามที่เป็นข่าวเรื่อยมาก
แต่คนนอกอเมริกาไม่รู้ว่า การเหยียดผิวในอเมริกา ไม่ใช่แค่การเหยียดผิวระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวดำเท่านั้น แต่ยังมีการแบ่งแยกลงไปถึงคนผิวเหลืองและคนผิวสีน้ำตาลด้วย คนที่อาศัยในอเมริกาจะรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ แม้จะเห่ออวดความเป็น “พลเมืองอเมริกัน” ที่ตนได้สัญชาติมากเพียงใด แต่ลึกลงไปในใจแล้ว ย่อมรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ปรากฎให้เห็นอยู่ตลอดเวลา จนยากปฎิเสธว่าการเลือกปฎิบัติไม่มีอยู่จริง
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวเล็กๆ ที่ไม่เป็นข่าวในประชาคมโลก แต่เป็นข่าวที่สร้างความฮือฮาในอเมริกา เพราะไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ.นี้ เหตุการณ์ที่ว่าเกิดขึ้นในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน อันถือเป็นรัฐเพื่อนบ้านของคนเขียนเองนี่แหละ สมัยก่อนดีทรอยต์เป็นเมืองอุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดยักษ์ สมัยนั้นอุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกามีโรงงานอยู่ที่นั่นหมด ผู้คนแห่มาทำงานโรงงานผลิตรถยนต์จากทั่วอเมริกา โดยเฉพาะคนผิวดำ เพราะการทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ได้สวัสดิการดี ต่อมาก็เข้ายึดดาวน์ทาวน์ดีทรอยต์ จึงได้คนผิวดำเป็นนายกเทศมนตรีหลายสมัยติดต่อกัน เช่น โคลห์แมน ยัง (Coleman Young) สร้างอิทธิพลในตำแหน่งเนายกเทศมนตรีหลายสมัยจนกลายเป็นมาเฟีย พัวพันกับยาเสพติด สุดท้ายเอฟบีไอต้องสอบสวนและโคลห์แมน ยัง ติดคุกในที่สุด
เศรษฐกิจในดีทรอยต์ตกต่ำลงพร้อมกับอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกัน คนที่เคยย้ายเข้าไปทำงานในรัฐนี้ย้ายออกจากมิชิแกนไปอยู่รัฐอื่นมากขึ้น อาชญากรรมเพิ่มขึ้น ศูนย์การค้าแทบจะกลายเป็นตึกร้าง บ้านเรือนกลายเป็นบ้านร้าง ดูทรุดโทรมทั้งเมือง ก่อนหน้ายุคโดนัลด์ ทรัมป์ รัฐมิชิแกนเป็นรัฐที่เรียกว่า “บลูสเตท” เพราะเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต แต่การเลือกตั้งหนที่แล้วพลิกโผที่มิชิแกน เพราะเทคะแนนให้ทรัมป์แบบหลงในคำหาเสียงว่าจะนำโรงงานใหญ่ยักษ์กลับมาสร้างงานเหมือนเดิม ซึ่งไม่สามารถทำได้จริง
อาทิตย์ก่อนมีการลงคะแนนเลือกตั้งย่อยในพรรคเดโมแครตในดีทรอยต์ มีผู้สมัครหญิงสองนาง คนหนึ่งคือ สเตฟานี แชง ซึ่งเป็นอเมริกันเชื้อสายจีน และผู้สมัครผิวดำชื่อเบ็ตตี้ คุ้ก สก็อตต์ ซึ่งใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามเรียกสเตฟานี แชงว่า “ชิงชอง” ซึ่งคำนี้ถือเป็นคำที่มีความหมายเป็นลบ เช่นเดียวกับการเรียกคนผิวดำว่า “นิโกร”
จากนั้นก็มีแคมเปญออกมาทำนองว่า “โหวตให้ฉัน..อย่าโหวตให้อีพวกผิวเหลือง” ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เธอด่าอาสาสมัครของสเตฟานี แชงว่า เป็น “พวกต่างด้าว” และไล่ให้กลับประเทศไป เพราะ “พวกแกไม่สมควรอยู่ในอเมริกา” โดยให้เหตุผลว่า
“พวกคนจีนเข้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างในชุมชนของเรา น่าขยะแขยงมากที่เห็นคนผิวดำต้องมาชูป้ายหาเสียงให้พวกผิวเหลือง”
อ่านข่าวแล้วอึ้งกับถ้อยคำหยามหมิ่นของนักการเมืองผิวดำรายนี้ หนักข้อกว่านั้นคือก้าวล่วงลามปามด้วยการด่ากระทบถึงสามีของสเตฟานี่ แชง เพราะเธอแต่งงานกับชาวผิวดำ เบ็ตตี้กล่าวกับสามีของสเตฟานี่ แชงว่า
“ชายผิวดำไม่ควรแต่งงานกับพวกผิวเหลือง การแต่งงานกับนางแชงเป็นเรื่องงี่เง่ามาก”
แม้จะมีข้อห้ามทางกฎหมายในเรื่องการเหยียดผิวและการเลือกปฎิบัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ในการเลือกคนเข้าทำงานในตำแหน่งเดียวกันหรือการคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา
เรื่องราวการเลือกปฎิบัติเคยปรากฎเป็นข่าวใหญ่มาแล้ว ในกรณีการคัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ซึ่งโด่งดังระดับโลก ถือเป็นยอดปรารถนาของนักเรียนทั้งโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อต้นปี 2018 นี้เอง เกิดการฟ้องร้องต่อมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ เพราะมีหลักฐานว่า มีความไม่ชอบธรรมและไม่เท่าเทียมในการคัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียนต่อ โดยเฉพาะความไม่เป็นธรรมต่อนักศึกษาเชื้อสายเอเซีย
อธิบายง่ายๆ คือ มหาวิทยาลัยนี้มีเกณฑ์ที่แตกต่างกันสำหรับนักศึกษาสามสีผิว นั่นคือตั้งเกณฑ์คะแนนสูงลิบลิ่วสำหรับนักศึกษาเอเซีย และตั้งคะแนนระดับรองลงมาสำหรับนักศึกษาผิวขาว ส่วนนักศึกษาผิวดำนั้น บรรดาคณาจารย์ตั้งคะแนนการคัดเลือกไว้ต่ำสุด คือใครที่ผ่านเรทนี้ได้ถือว่าได้เข้าเรียน
ดังนั้นหมายความว่า คะแนนและเกณฑ์ของการคัดเลือกจะไม่เท่ากัน และนักศึกษาเอเซียแม้ได้คะแนนเท่านักศึกษาผิวขาว แต่ก็จะไม่ได้รับการพิจารณาให้เข้าเรียน แต่จะรับเข้าเรียนก็ต่อเมื่อนักศึกษาเอเซียทำคะแนนสูงกว่านักศึกษาผิวขาว พูดแบบบ้านๆ คือ สมมุติว่า หากทำข้อสอบคะแนนเต็ม 10 คะแนน กรรมการจะกำหนดว่า หากเด็กผิวดำทำได้ 5 คะแนน ถือว่าผ่าน หากเด็กผิวขาวทำได้ 7 คะแนน ถือว่าผ่าน แต่เด็กเอเซียต้องทำให้ได้ 10 คะแนน ถึงจะได้เรียน
เกณฑ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้นในประเทศเสรี ที่ควรให้มีเกณฑ์การคัดเลือกโดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกปฎิบัติ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วในสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับโลกเสียด้วย ใครที่ยังหลงภาพมายาที่ฮอลลีวู้ดกล่อมเกลาให้เชื่อก็ตาสว่างได้แล้วนะคะ การเลือกปฎิบัติและการเหยียด “สี” ในอเมริกายังมีอยู่จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี