หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศมาตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ได้เข้าสู่ระยะที่สองตามโรดแมปปฏิรูปประเทศของคสช. โดยล่าสุดมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศชั่วคราวแล้วซึ่งถือเป้นการจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่
แผนผ่าตัดประเทศครั้งใหญ่เพื่อขจัดระบบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์อันเลวร้ายซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤติความแตกแยกในชาติและทำลายชาติบ้านเมืองอย่างรุนแรงในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา
ธรรมนูญการปกครองประเทศชั่วคราวซึ่งมีทั้งหมด 48 มาตรา โดยมีสาระสำคัญคือกำหนดให้มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ไม่เกิน 220 คน ที่ปลอดจากนักการเมือง โดยกำหนดว่าสมาชิกสนช.ต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาเป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า
สัดส่วนของสนช.นั้นจะเป็นทหารและผู้ที่ได้รับการผลักดันจากคสช.กว่าครึ่งหนึ่งจากจำนวนสนช.ทั้งหมดเพื่อให้คุมเกมตามเป้าหมายที่คสช.กำหนดได้
ที่สำคัญในมาตรา 19 กำหนดให้คสช.มีอำนาจเสนอถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ ขณะเดียวกันก็กำหนดคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรีต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมา 3 ปี ก่อนรับตำแหน่ง และเปิดทางให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีได้ ท่ามกลางข่าวแนวโน้มพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. อาจนั่งเก้าอี้นายกฯเอง ขณะที่นายทหารในคสช.หลายคนอาจนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีด้านความมั่นคง อาทิ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย เช่นเดียวกันปลัดกระทรวงบางคนอาจได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี อาทิ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ปฏิบัติหน้าที่แทนรมว.ต่างประเทศ
ธรรมนูญการปกครองประเทศชั่วคราวยังกำหนดให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)ไม่เกิน 250 คน และมีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 36 คน ประกอบด้วย ประธานคณะกรรมาธิการ 1 คน ซึ่งคสช.เสนอ ที่เหลือสปช.เสนอ 20 คน ขณะที่อีก 15 คน สนช. คณะรัฐมนตรี และคสช.เสนอฝ่ายละ 5 คน ซึ่งหากพิจารณาตามสัดส่วนของสปช.ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า คสช.คุมทิศทางการปฏิรูปประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จ
มาตรา 42 ของธรรมนูญการปกครองประเทศชั่วคราว ยังให้อำนาจหัวหน้า คสช.มีอำนาจ
ถ่วงดุลนายกฯ โดยกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเสนอให้ประชุมร่วมระหว่าง คสช.และคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาใดๆ เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและเรื่องใดๆ ก็ได้ ขณะที่มาตรา 44 ให้อำนาจคสช.สั่งการใดๆเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคสช.โดยความเห็นชอบของคสช.มีอำนาจสั่งการระงับยับยั้งหรือกระทำการใดๆ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหารหรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐธรรมนูญฉบับนี้และเป็นที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอำนาจการปกครองประเทศที่แท้จริงอยู่ในมือคสช.
และที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือมาตรา 35 ของธรรมนูญการปกครองชั่วคราวได้วางกรอบ 10 ข้อในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อขจัดวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายในอดีตที่ผ่านมา อาทิ
ข้อกำหนดที่ว่า ให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน ตรวจสอบและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นการตอบโจทย์แนวทางที่จะนำไปสู่การขจัดเหล่านักธุรกิจการเมืองทุนสาสามานย์อันเป็นต้นตอของวิกฤติความเลวร้ายที่ทำลายชาติบ้านเมืองตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา
หรือข้อกำหนดให้มีกลไกในการกำกับและควบคุมให้การใช้อำนาจรัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน อันเป็นป้องปรามไม่ให้เกิดเผด็จการเสียงข้างมากใช้อำนาจตามใจชอบ หรือให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของรัฐให้เป็นไปอย่างคุ้มค่าและตอบสนองต่อประโยชน์ของประชาชน โดยสอดคล้องกับสถานะทางเงินการคลังของประเทศซึ่งเป็นการควบคุมป้องปรามไม่ให้รัฐบาลพรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ใช้โครงการประชานิยมหาเสียงมองเมาประชาชนและโกงบ้านกินเมืองอย่างมโหฬารเหมือนที่ผ่านมา
หรือมีกลไกที่มีประสิทธิภาพที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมืองสามารถปฏิบัติหน้าที่หรือดำเนินกิจกรรมได้โดยอิสระ ปราศจากการครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการปลดแอกบรรดา สส.ให้ทำหน้าที่อย่างอิสระไม่ถูกครอบงำจากพรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์
นอกจากนี้ที่เป็นทีเด็ดก็คือ ข้อกำหนดให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบหรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาดซึ่งเท่ากับการปิดประตูไม่ให้ตระกูลชินโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หวนคืนสู่อำนาจทางการเมืองตลอดไป
แม้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราวตามแผนโรดแมปในการปฏิรูประเทศของคสช.จะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะขจัดสิ่งเลวร้ายอันเป็นต้อตอของวิกฤติในชาติบ้านเมืองเพื่อพาประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่ยิ่งคสช.เดินหน้าปฏิรูปประเทศก็ยิ่งเจอแรงเสียดทานถูกจ้องจับผิดสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองมากขึ้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากสื่อ ขบวนการระบอบทักษิณ หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ โดยประเด็นล่าสุดคสช.ถูกรุมโจมตีว่าเป็นเผด็จการเหมือนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกฯ ด้วยการระบุอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของคสช.ในมาตรา 44 ของธรรมนูญการปกครองชั่วคราว
ทั้งนี้เชื่อว่าจากนี้เป็นต้นไปคสช.จะถูกจ้องจับผิดวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งหากคสช.เปิดจุดอ่อนหรือเกิดแผลเมื่อไหร่จะถูกรุมไล่บี้ทันที โดยเฉพาะคำเตือนจากดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)ที่ว่า หากเกิดกรณีทุจริตคอร์รัปชั่นโดย คสช. เมื่อไหร่คสช.มีหวังพังเมื่อนั้น
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี