สาธารณชนหลายคนที่ไม่ใช่นักฏหมายอาจตั้งคำถามด้วยความสงสัยและสับสนในกรณีขบวนการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา นายนิยม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งกำลังเป็นข้อถกเถียงอยู่ในขณะนี้
นายสมศักดิ์ และ นายนิคม ถูกยื่นถอดถอนด้วยสาเหตุขณะที่ดำรงตำแหน่งในฐานะที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมรัฐสภาชุดที่แล้วเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ที่ผลักดันโดยพรรคเพื่อไทยอันเป็นหุ่นเชิดระบอบทักษิณ แต่กลับวางตัวไม่เป็นกลางอาศัยอำนาจเผด็จการของประธานและเสียงข้างมากของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพยายามรวบรัดเร่งรีบผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ยอมฟังคำทักท้วงของฝ่ายค้านใดๆทั้งสิ้น และถึงกับตัดสิทธิการอภิปรายของส.ส.ฝ่ายค้าน 58 คนเพื่อเร่งผ่านร่างให้สำเร็จโดยเร็ว
ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังจะถูกยื่นถอดถอนในความผิดต่อหน้าที่ฐานปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวซึ่งสร้างความเสียหายแก่ประเทศเบื้องต้นเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
หนึ่งในประเด็นที่หลายคนสงสัยคือทำไมเมื่ออดีตประธานรัฐสภา อดีตประธานวุฒิสภา และอดีตนายกฯพ้นจากตำแหน่งไปแล้วจากการการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาซึ่งทำให้สภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภา ตลอดจนรัฐธรรมนูญสิ้นสภาพไปโดยปริยาย แต่ทำไมขบวนการถอดถอนยังมีผลบังคับใช้กับบุคคลทั้ง 3 อยู่ ซึ่งคำตอบก็คือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้ง 3 เข้าสู่กระบวนการถูกถอดถอนด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการทุจริตประพฤติมิชอบ พ.ศ.2542 ที่ยังคงมีผลบังคับใช้ไม่ได้สิ้นสภาพเหมือนรัฐธรรมนูญและถูกถอดถอนตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
อีกทั้งแม้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่โทษความผิดก็ยังติดตัวอยู่ มิฉะนั้นนักการเมืองที่ทุจริตโกงบ้านกินเมืองหรือประพฤติมิชอบก็คงใช้เล่ห์ศรีธนญชัยชิงลาออกจากตำแหน่งเพื่อหนีโทษความผิดได้สบาย แต่ข้อเท็จจริงก็คือขณะนี้นักการเมืองหลายคนที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตประพฤติมิชอบก็ยังถูกป.ป.ช.สอบสวนเพื่อรอเข้าสู่กระบวนการถอดถอน อาทิ มหกรรมทุจริตโดรงการรับจำนำข้าวซึ่งมีรัฐมนตรีหลายคนยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์มีส่วนเกี่ยวข้อง
ส่วนประเด็นที่ว่าการยื่นถอดถอนบุคคลทั้ง 3 เกิดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งสิ้นสภาพไปแล้วหลังการรัฐประหารของ คสช.นั้น อย่างที่กล่าวแล้วว่า แม้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 จะสิ้นสภาพ แต่มูลฐานความผิดที่ถูกยื่นถอดถอนยังคงอยู่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับปี 2542 ที่บัญญัติให้ ป.ป.ช.ดำเนินขบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เห็นว่าทุจริตหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนประเด็นที่ว่าเมื่อไม่มีสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภาแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)มีอำนาจลงมติถอดถอนหรือไม่หลังได้รับเรื่องยื่นถอดถอนจาก ป.ป.ช. ประเด็นนี้รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ออกโดยคสช.มาตรา 6 บัญญัติไว้ชัดเจนให้ สนช.ทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนรษฏรและวุฒิสภา นอกจากนี้ในมาตรา 5 ยังบัญญัติให้สนช.ชี้ขาดในกรณีใดๆ โดยระบุว่า ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยใดๆในวงงานของสนช.ให้สนช.เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด เรื่องใดที่เกิดนอกวงงานสนช.ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด
เพราะฉะนั้นจากปัญหาข้อถกเถียงทั้งปวงในประเด็นข้อกฏหมายกรณีการถอดถอนอดีตประธานรัฐสภา อดีตประธานวุฒิสภา และอดีตนายกฯ สนช.น่าที่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดให้เกิดความกระจ่างชัดเป็นบรรทัดฐานไปเลย และที่สำคัญเพื่อขจัดข้อครหาและป้องกันการใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี