ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วงการสรุปความเห็นของคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองเกี่ยวกับแนวคิดในการปฏิรูปการเมืองของประเทศ ทั้งในเรื่องข้อเสนอให้เลือกนายกฯและคณะรัฐมนตรีโดยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ หรือเปลี่ยนระบบการนับคะแนนเลือกตั้ง สส.ใหม่มาเป็นแบบเยอรมันที่ให้นำคะแนน สส.ระบบเขตไปคำนวณเป็นคะแนนสำหรับสส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะทำให้พรรคเล็กมีโอกาสได้ สส.มากขึ้น รวมไปถึงการปรับอำนาจบทบาทขององค์กรอิสระต่างๆ แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณกระแสต้านและความขัดแย้งในแนวคิดปฏิรูปประเทศของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
แนวคิดเลือกนายกฯโดยตรงของคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองที่มี ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธานดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่มีการโต้แย้งมากที่สุด แม้แต่ภายในคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองเอง หรือระหว่างคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองกับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มี ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานที่คัดค้านแนวคิดนี้
ที่น่าแปลกใจคือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองต่างจับมือกันคัดค้านแนวคิดเลือกนายกฯโดยตรงอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงกับพยายามโจมตีว่าเป็นแนวคิดที่เหมือนกับการปกครองในระบอบประธานาธิบดีซึ่งขัดกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยอันเป็นหุ่นเชิดระบอบทักษิณมีภาพในทางไม่ดีต่อสถาบันเบื้องสูง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวในการคัดค้านแนวคิดเลือกนายกฯโดยตรง ถึงกับกล่าวว่า เหมือนจะนำระบอบประธานาธิบดีมาใช้พร้อมทั้งประชดประชันว่า “เป็นยุคที่บ้านเมืองมืดบอดด้วยสติปัญญา หากพวกเดียวกันก็พูดถูกหมดโดยไม่ต้องดูเหตุผลกัน หากคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกันเพียงพูดก็ผิดแล้ว เวลาจะเอาระบอบประธานาธิบดีมาใช้ก็เปลี่ยนเป็นว่าเลือกตั้งนายกฯโดยตรง คนก็คงไม่ค้านกลับเห็นดีเห็นงามไปด้วย ใครจะเอาระบอบนี้ก็เอาไป แต่ผมจะคัดค้านจนคนสุดท้าย”
นอกจากแนวคิดเลือกตั้งนายกฯและคณะรัฐมนตรีโดยตรง รวมทั้งเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งแล้ว เป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ยังมีแนวคิดที่จะกำหนดบทลงโทษขั้นเด็ดขาดรุนแรงกับพรรคและนักการเมืองที่ซื้อเสียง ซื้อสส. รวมทั้งขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินด้วยการกำหนดโทษห้ามเข้าสู่เวทีการเมืองตลอดชีวิต ไม่รวมโทษทางแพ่งอาจถึงขั้นยึดทรัพย์และโทษทางอาญาที่อาจติดคุกตลอดชีวิตหรือหลายปี
ด้วยแนวคิดปฏิรูปทางการเมืองชนิดเข้มข้นดังกล่าวแน่นอนว่าทำให้พรรคเพื่อไทยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบ่อนทำลายความชอบธรรมของคสช.และขัดขวางการปฏิรูปประเทศทุกวิถีทาง จึงไม่แปลกที่บรรดาแกนนำและอดีตสส.พรรคเพื่อไทย รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดงจะเรียงหน้าออกมาโจมตีคสช.รวมทั้งคัดค้านแนวคิดการปฏิรูปการเมืองแทบทุกเรื่อง
นายโภคิน พลกุล อดีตรองนายกฯ เรียกร้องไม่ให้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรใส่เนื้อหาว่าด้วยการนิรโทษกรรมแก่การก่อรัฐประหาร โดยคสช. ขณะที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯ นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีตสส.นนทบุรีและอดีตประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) รัฐบาลพรรคเพื่อไทย นายอำนวย คลังผา อดีตสส.ลพบุรี นายวรชัย
เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ ต่างออกมาคัดค้านแนวคิดปฏิรูปประเทศแทบจะทุกประเด็น ซ้ำบางคนยังเสนอให้ยุบองค์กรอิสระต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
นายอำนวย คลังผา ถึงกับกล่าวเชิงขู่ว่าอาจจะเกิดการปฏิวัติจากการลุกฮือของประชาชนเนื่องจากทนไม่ไหวกับความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลเฉพาะกาลชุดนี้ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้
อีกประเด็นหนึ่งสำหรับการปฏิรูปประเทศที่เป็นปมร้อนจนอาจสุมไฟวิกฤติความแตกแยกในชาติให้ลุกโชนก็คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดย ดร.บวรศักดิ์ยอมรับว่าเรื่องการสร้างความปรองดองคงเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของการปฏิรูปประเทศซึ่งจำเป็นต้องระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรโดยในที่สุดก็จำเป็นต้องมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นกระบวนการสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมจะต้องมีการสร้างความปรองดองด้วยการให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายมาเปิดอกสร้างความเข้าใจจนตกผลึกยอมรับซึ่งกันและกันก่อน
ทั้งนี้เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นด้วยที่จะมีการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนทุกกลุ่มทุกสีที่ร่วมชุมนุมทางการเมืองอย่างสงบสันติไม่ใช้ความรุนแรงตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่การนิรโทษกรรมจะต้องไม่ครอบคลุมถึงคดีทุจริตโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริต รวมทั้งคดีอาญาร้ายแรงถึงขั้นก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง ตลอดจนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะหากมีการนิรโทษกรรมคดีเหล่านี้เท่ากับทำลายหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิงและเป็นแบบอย่างอันเลวร้ายให้กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือกดดันต่อรองให้มีการนิรโทษความผิดให้ตัวเอง
ดร.บวรศักดิ์ เปรียบแนวคิดการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ว่าเหมือนแกงส้มหม้อใหญ่ที่มีพ่อครัวเสนอสูตรมากมายโดยต่างชูจุดขายว่าของตัวเองอร่อย แต่ในที่สุดทุกอย่างอยู่ที่มติเสียงส่วนใหญ่ที่จะตัดสินชี้ขาดว่าแกงส้มสูตรไหนถึงจะอร่อยซึ่งต้องใช้เวลาอีกนาน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการปฏิรูปประเทศครั้งนี้นับวันจะต้องเผชิญกับความขัดแย้งและแรงเสียดทาน อีกทั้งเป็นปัญหาท้าทายที่มีอนาคตชาติเป็นเดิมพันซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าทำให้การปฏิรูปประเทศครั้งนี้เสียของโดยเฉพาะการขจัดพรรคและนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ให้หมดไปจากแผ่นดินเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี