11 เดือน หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศยังคงเดินหน้าไปตามแผนปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งล้างระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์เผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยอันเป็นต้นตอของวิกฤติความแตกแยกในชาติตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ต้องเผชิญอุปสรรคสำคัญก็คือการต่อต้านขัดขวางของขบวนการกลุ่มอำนาจเก่านั่นคือเครือข่ายระบอบทักษิณทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทย กลุ่มเสื้อแดง และกองกำลังก่อการร้ายใต้ดินที่ยังพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ลอบก่อวินาศกรรมป่วนเมือง
คสช.ได้วางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีสลายพลังต่อต้านของเครือข่ายระบอบทักษิณในทุกแนวรบอย่างต่อเนื่องทันทีหลังการเข้าควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ปีที่แล้ว ด้วยการออกกวาดล้างตรวจค้นจับกุมขบวนการแดงก่อการร้ายใต้ดินและยึดอาวุธสงครามร้ายแรงได้จำนวนมากซึ่งล่าสุดการจับกุมมือระเบิดป่วนเมืองที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา จนนำไปสู่การขยายผลจับกุมเครือข่ายขบวนก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องได้อีกเกือบ 20 คน ถือเป็นการส่งผลสะเทือนต่อแผนก่อการร้ายป่วนเมืองเพื่อสร้างความระส่ำระสายบ่อนทำลายเสถียรภาพของคสช.และเศรษฐกิจของประเทศโดยระบอบทักษิณเพื่อหวังดึงองค์การสหประชาชาติเข้ามาแทรกแทรงกิจการภายในของไทย
นอกจากกวาดล้างขบวนการระเบิดป่วนเมืองแล้ว คสช.โดย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อตามล่าตัวแกนนำขบวนการระบอบทักษิณที่เป็นผู้ต้องหาคดีความมั่นคงและเป็นภัยต่อสถาบันเบื้องสูงที่หนีหมายจับและเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศรวม 31 คน อาทิ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เลขาธิการองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย นายจักรภพ เพ็ญแข เลขานุการองค์กรเสรีไทย นายมนูญหรือเอนก ชัยชนะ ผู้ต้องหาจ้างวางระเบิดที่ศาลอาญา นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำก่อการร้ายเสื้อแดง จ.ปทุมธานี และผู้ต้องหาหมิ่นเบื้องสูง
ขณะที่ทายาทสืบทอดอำนาจของตระกูลชินกำลังเผชิญวิบากกรรมจากการถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงโดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเต็มตัวแล้วหลังจากถูกฟ้องดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ส่อรู้เห็นเป็นใจกับมหกรรมโกงโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายต่อประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โดยข้อหานี้มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี ยังไม่รวมคดีแพ่งที่กำลังถูกฟ้องเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินเป็นมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท
ขณะที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ น้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต ก็ถูกฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฐานสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 จนมีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยก็กำลังจะเผชิญวิบากกรรมทางการเมืองครั้งใหญ่เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เตรียมยื่นเรื่องให้ถอดถอนอดีตสส.พรรคเพื่อไทย 228 คน และอดีตสส.พรรคร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีก 22 คน กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา(สว.)โดยไม่ชอบ ซึ่งหากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)มีมติถอดถอนจะทำให้สส.พรรคเพื่อไทย ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี โดยอัตโนมัตินั่นหมายถึงการล่มสลายของพรรคเพื่อไทย
และที่สำคัญร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งจะต้องมีเนื้อหาเป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองใหญ่ผูกขาดจำนวนสส.กลายเป็นเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยเหมือนที่ผ่านมา และกำหนดบทลงโทษนักการเมืองที่เคยถูกถอดถอนหรือถูกดำเนินคดีฐานทุจริตหรือมีความผิดทางการเมืองอย่างรุนแรงอาจถูกห้ามลงสมัคร สส.หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต
แม้ล่าสุด คสช.จะแสดงท่าทีพร้อมสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดอง แต่ก็มีเงื่อนไขจะนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีทุกกลุ่มที่ร่วมการชุมนุมทางการเมืองโดยไม่ครอบคลุมผู้กระทำผิดคดีอาญาร้ายแรง คดีทุจริตและคดีหมิ่นเบื้องสูง นั่นหมายความว่าจะไม่ครอบคลุมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองและคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
สำหรับปัญหากระแสต่อต้านจากนานาชาติที่มีต่อคสช.นั้น แทบจะคลี่คลายโดยสิ้นเชิงเห็นได้จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ได้รับเชิญให้ไปเยือนพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยล่าสุด นายบัน คี มูน
เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้เชิญให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปร่วมการปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศทั่วโลกต่อที่ประชุมองค์การสหประชาชาติในเดือนก.ย.นี้
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าภายใต้อำนาจและกฎอัยการศึก คสช.สามารถควบคุมสถานการณ์ในทุกแนวรบโดยสามารถสยบเครือข่ายระบอบทักษิณได้อยู่หมัด และยังมีไพ่ตายอีกหลายใบที่ยังเก็บไต๋ไว้ไม่ได้นำออกมาใช้โดยเฉพาะมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ให้อำนาจสิทธิ์ขาดแก่ หัวหน้าคสช. ที่สามารถสั่งการทำอะไรก็ได้ในประเทศนี้แม้แต่การใช้อำนาจแทนศาลยุติธรรม แต่สิ่งที่น่าวิตกภายใต้สถานการณ์ที่จนตรอกพ่ายทุกแนวรบของเครือข่ายระบอบทักษิณก็คือการสู้แบบเลือดเข้าตาด้วยการจ้องที่จะสุมไฟก่อการร้ายและสงครามกลางเมืองแบบพังกันไปข้าง
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี