การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จำเป็นต้องอาศัยมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวซึ่งให้อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเนื่องจากสถานการณ์ของประเทศยังไม่น่าไว้วางใจจากการจ้องก่อการร้ายป่วนเมืองของระบอบทักษิณ รวมทั้งเพื่อใช้มาตรา 44 เป็นเครื่องมือในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ให้บรรลุภารกิจเพื่อชาติ
การเดินหน้าล้างการทุจริตครั้งใหญ่เพื่อให้บ้านเมืองสะอาดโปร่งใสหลังการบังคับใช้มาตรา 44 ด้วยการเตรียมลงโทษข้าราชการกว่า 100 ราย ที่ทุจริตประพฤติมิชอบซึ่งในจำนวนนี้เป็นข้าราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีรวมอยู่ด้วย รวมทั้งการเตรียมดำเนินคดีกับนายทุนผู้มีอิทธิพลระดับชาติที่รุกป่าสงวนแห่งชาติหรือพื้นที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร(ส.ป.ก.)หรือที่ดินสาธารณะทั่วประเทศครั้งใหญ่ถือเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ท้าทายคสช.และรัฐบาลนายกฯลุงตู่เป็นอย่างมากเพราะเท่ากับเปิดศึกรอบด้าน
ทั้งนี้เพราะลำพังการที่คสช.และรัฐบาลต้องเผชิญการจ้องบ่อนทำลายของกลุ่มอำนาจเก่าคือขบวนการระบอบทักษิณก็ถือว่าหนักอยู่แล้ว ยังต้องมาเปิดศึกกับเหล่าข้าราชการสันหลังหวะที่ทุจริตประพฤติมิชอบตลอดจนบรรดาผู้มีอิทธิพลที่ล้วนเกี่ยวข้องกับนายทุนนักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการระดับสูง และอาจรวมถึงสื่อที่รุกป่าสงวนแห่งชาติหรือครอบครองที่ดินส.ป.ก.หรือที่สาธารณะโดยผิดกฎหมายซึ่งแน่นอนว่าในที่สุดบรรดากลุ่มคนชั่วร้ายที่สูญเสียอำนาจผลประโยชน์จากการถูกคสช.และรัฐบาลดำเนินการตามกฎหมายเหล่านี้ย่อมจะต้องรวมหัวกันรุมเจาะยางมุ่งโค่นล้มคสช.และรัฐบาลให้พ้นจากอำนาจโดยเร็วที่สุด
สำหรับคดีที่เตรียมลงโทษข้าราชการระดับสูงกว่า 100 ราย ที่ทุจริตประพฤติมิชอบซึ่ง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม รับหน้าที่ในการรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยมีรายงานข่าวระบุว่าข้าราชการระดับสูงที่อยู่ในข่ายถูกลงดาบเชือด อาทิ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
ปัญหาที่น่าวิตกก็คือบรรดาข้าราชการระดับสูงที่มีพฤติการณ์ทุจริตประพฤติมิชอบที่กำลังจะถูกลงโทษจำนวนไม่น้อยยังรับราชการอยู่และได้สร้างเครือข่ายเส้นสายของตัวเองไว้ในระบบราชการ ยังไม่รวมข้าราชการที่ขายตัวยอมเป็นทาสรับใช้ระบอบทักษิณที่มีอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ซึ่งข้าราชการกังฉินเหล่านี้พร้อมที่จะวางยาบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาล หรือเกียร์ว่างเพราะเชื่อว่าในไม่ช้าคสช.และรัฐบาลก็ต้องพ้นจากอำนาจตามโรดแมปที่ประกาศไว้
ขณะที่บรรดาข้าราชการทั่วไปแม้จะไม่มีชะนักปักหลังแต่ก็อาจถือคติรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีทำตัวลู่ตามลมไม่กล้าทำตามคำสั่งของคสช.และรัฐบาลอย่างเต็มที่โดยเฉพาะตำรวจ เนื่องจากไม่อยากเสี่ยงเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณ เพราะหากอำนาจรัฐเปลี่ยนมือมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลชุดใหม่ตัวเองอาจถูกเช็คบิลเอาคืน
สำหรับระบอบทักษิณซึ่งหลังการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคสช.ตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้วทำให้เครือข่ายฐานอำนาจอิทธิพลระบอบทักษิณถูกรุกไล่อย่างหนักในทุกแนวรบ
และที่สำคัญคือการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีโทษคดีทุจริต ถูกดำเนินคดีฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ส่อรู้เห็นเป็นใจกับมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกจากถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะต้องติดคุกและถูกฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายชดใช้เงินแก่แผ่นดินเป็นมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ระบอบทักษิณต้องสู้แบบเลือดเข้าตา
สัญญาณการสู้แบบเลือดเข้าตาด้วยวิธีการเดียวกับที่ระบอบทักษิณเคยใช้ในเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมป่วนเมืองเมื่อปี 2553 ยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อจุดชนวนสงครามกลางเมืองนำไปสู่เหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองอย่างเต็มรูปแบบกำลังจะถูกนำมาใช้อีกภายใต้อำนาจยุคคสช.
จึงไม่แปลกที่เกิดเหตุลอบก่อการร้ายวางระเบิดที่บริเวณห้างสยามพารกอนเมื่อต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ตามด้วยการปาระเบิดหน้าศาลอาญา และล่าสุดคือการลอบระเบิดคาร์บอมบ์ที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก รวมทั้งเผาสหกรณ์โค-ออป ซึ่งสองเหตุการณ์หลังเกิดในจ.สุราษฎร์ธานีและเกิดเหตุร้ายในเวลาไล่เลี่ยกัน และจากการจับกุม นายนรินทร์ อ่ำหนองบัว หรือ “เอ็ม เสื้อแดง” ได้ที่จ.นนทบุรีหลังโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คก่อนเกิดเหตุร้ายที่ จ.สุราษฎร์ธานีเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่า “คืนนี้จัดหนักที่สุราษฎร์ธานี” แสดงให้เห็นถึงขบวนการใหญ่ที่มีการวางแผนก่อการร้ายเป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ การที่ฝ่ายทหารจับกุม นายมหาหิน ขุนทอง หนึ่งในผู้ต้องหาปาระเบิดที่ศาลอาญาซึ่งรับสารภาพว่าขบวนการระบอบทักษิณเตรียมก่อการร้ายด้วยระเบิด 100 จุดทั่วประเทศ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความระส่ำระสายทั้งประเทศหวังดึงสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงแก้ปัญหาทางการเมืองของไทย แสดงให้เห็นว่าระบอบทักษิณวางแผนจ้องก่อการร้ายครั้งใหญ่ซึ่งยังไม่บรรลุเป้าหมาย
เพราะฉะนั้นแนวโน้มการรวมหัวกันของเหล่ามารร้ายที่มีชนักปักหลังทั้งระบอบทักษิณเหล่าข้าราชการกังฉิน รวมทั้งเหล่านายทุนผู้มีอิทธิพลที่รุกป่าถือเป็นศึกหนักท้าทายคสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งไม่มีทางเลือกนอกจากเดินหน้าจัดระเบียบปฏิรูปประเทศให้สะอาด สงบเรียบร้อยและเจริญรุ่งเรือง ด้วยการขจัดเหล่ามารร้ายอย่างเด็ดขาดจริงจังและรวดเร็ว ซึ่งไม่มีอะไรที่เกินความสามารถหากคสช.และรัฐบาลมีความหนักแน่นรวมทั้งมุ่งมั่นทำเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี