หัวใจอันเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของชาติบ้านเมืองช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก็คือการที่จะต้องปฏิรูปประเทศให้สำเร็จพ้นจากวังวนวงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองและเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยอันเป็นต้นตอของวิกฤติชาติบ้านเมืองตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งของการปฏิรูปจัดระเบียบประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งการปฏิรูปประเทศนั้นคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.)พยายามเดินหน้าทันทีหลังจากที่เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ปีที่แล้ว เริ่มจากการกวาดล้างจับกุมขบวนการก่อการร้ายที่เป็นกองกำลังใต้ดินของระบอบทักษิณ พร้อมทั้งยึดอาวุธสงครามร้ายแรงได้จำนวนมากทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยสร้างความสุขให้ประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนและประชาคมโลกได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้คสช.ยังพยายามเริ่มต้นทำความสะอาดสังคมด้วยการล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งในหมู่นักการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้าที่เป็นทาสรับใช้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งรวมหัวกันโกงชาติปล้นแผ่นดินจนย่อยยับ โดยคสช.ผลักดันให้คดีใหญ่เกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบที่สำคัญ อาทิ โครงการรับจำนำข้าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างบรรทัดฐานว่า คนที่ทำผิดกฎหมายทำลายชาติบ้านเมืองไม่ว่าใหญ่แค่ไหนก็ต้องรับโทษ
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด นอกจากจะถูกดำเนินคดีอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ส่อรู้เห็นเป็นใจให้เกิดมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความหายนะล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาทแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังเตรียมฟ้องทางแพ่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท
ขณะที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวมทั้งข้าราชการและพ่อค้าที่ใกล้ชิดตระกูลชินวัตรอีกเกือบ 20 คน นอกจากถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาร่วมกันทุจริตการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีที่สร้างความเสียหายแก่รัฐมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ยังถูกกระทรวงการคลังเตรียมฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทเช่นกัน
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ยังอาศัยมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเป็นเครื่องมือในการโยกย้ายล้างบางบรรดาข้าราชการที่มีพฤติกรรมส่อทุจริตประพฤติมิชอบนับร้อยคนเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูและถ่ายเลือดล้างข้าราชการที่เลวให้พ้นจากอำนาจหน้าที่และผลักดันข้าราชการที่ดีเข้ามามีอำนาจแทน
คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ ยังอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 เป็นเครื่องมือจัดระเบียบแก้ปัญหาสำคัญของประเทศในหลายเรื่องซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งล้มเหลวและทิ้งปัญหาหมักหมมไว้มากมาย อาทิ การดำเนินการกับพวกอิทธิพลรุกป่าสงวนแห่งชาติ ขบวนการค้ามนุษย์ การทำประมงเถื่อนขบวนการมาเฟียทุกรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม 1 ปีที่ผ่านมา คสช.และรัฐบาลเฉพาะกาลยังไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนมากนักถึงการปฏิรูปประเทศเชิงโครงสร้าง อาทิ การปฏิรูปเพื่อขจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเข้มข้นเด็ดขาด การปฏิรูปการเลือกตั้งให้โปร่งใสเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การปฏิรูปพรรคการเมืองให้พ้นจากการครอบงำของนักธุรกิจการเมืองที่พยายามผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศ การปฏิรูปโครงสร้างและอำนาจของตำรวจ การปฏิรูปความเหลื่อมล้ำทางสังคม
แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าการปฏิรูปประเทศแบบขุดรากถอนโคนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและต้องใช้เวลาหลายปี ซึ่งระยะเวลาในอำนาจของคสช.และรัฐบาลที่เหลืออยู่อีกราว 1 ปี อาจจะไม่สามารถทำได้สำเร็จ และด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 26 คนที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน และ นายวันชัย สอนศิริ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญเข้าชื่อกันเสนอแนวคิดให้ทำประชามติว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการกำหนดในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญมีประกาศใช้แล้วให้รอการเลือกตั้งไว้ 2 ปีเพื่อปฏิรูปประเทศในช่วงวิกฤติแห่งการเปลี่ยนผ่านให้สำเร็จก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงการต่ออายุคสช.และรัฐบาลไปโดยปริยาย
ทั้งนี้สมาชิกสปช.ทั้ง 26 คน เห็นว่าการเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคณะรักษาความสงบแห่ชาติ(คสช.)ตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และการบริหารประเทศของรัฐบาลเฉพาะกาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่เพราะสามารถใช้อำนาจพิเศษแก้ปัญหาของชาติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันร่างรัฐธรรมนูญที่ยกร่างอยู่ในขณะนี้ยังมีข้อขัดแย้งอยู่มาก หากมีการเลือกตั้งทั่วไปตามแผนที่กำหนดไว้ในต้นปีหน้าก็เสี่ยงที่ประเทศจะกลับไปสู่วิกฤติแบบเดิมๆ และที่สำคัญขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะชะงักงันต้องการการแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาดต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตามข้อเสนอของ 26 สปช.ถูกคัดค้านจากบรรดาพรรคการเมืองที่โจมตีว่าเป็นแผนสืบทอดอำนาจของคสช.และรัฐบาล โดยยืนยันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแมปที่วางไว้ในปีหน้า
จากผลสำรวจปฏิกิริยาของประชาชนโดยสำนักวิจัย(โพลล์) สำนักต่างๆ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สะท้อนความเห็นประชาชนอย่างชัดเจนว่ายังศรัทธาเชื่อมั่นในคสช.และรัฐบาลเฉพาะกาลในภาพรวมและไม่อยากให้บ้านเมืองกลับไปสู่วงจรอุบาทว์อันเลวร้ายทางการเมืองอีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดข้อโต้แย้งในสังคมในประเด็นเรื่องการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก 2 ปี ตามข้อเสนอของกลุ่ม 26 สปช. ทางออกก็น่าจะทำประชามติให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ทั้งนี้ก่อนทำประชามติคสช.และรัฐบาลควรจะต้องสร้างผลงานและความศรัทธาให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่าหากอยู่ในอำนาจต่อไปอีก 2 ปีแล้ว จะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้การปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เป็นจริงไม่เสียของ
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี