วาระแห่งชาติอันเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของการยึดอำนาจเพื่อปฏิรูปประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็คือการนำพาประเทศให้พ้นจากกัปดักแห่งความแตกแยกและสร้างความปรองดองในชาติหลังจากที่ก่อวิกฤติบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองมานานกว่า 10 ปี เพื่อให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบสุขและเดินหน้าพัฒนาประเทศได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)กลุ่มหนึ่งนำโดย ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง ของสปช. พยายามผลักดันแนวคิดจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติหรือข้อเสนอของ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนเดือนพฤษภาคม 2525 ในฐานะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองที่เสนอให้การปรับคณะรัฐมนตรีประยุทธ์ 2 ที่จะมีขึ้นโดยดึงบุคคลจาก 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งภาคเอกชนร่วมคณะรัฐมนตรีเพื่อสร้างความปรองดอง
นอกจากแนวคิดจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติแล้ว สปช.ยังพยายามผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมความผิดแก่ผู้ได้รับผลกระทบทางการเมืองทุกกลุ่มทุกสีตั้งแต่ปี 2548 ถึง 2557 โดยเฉพาะในส่วนของมวลชนที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองเพื่อความปรองดอง โดยแบ่งการนิรโทษกรรมออกเป็น 2 ขั้นตอนคือขั้นตอนแรกเป็นการนิรโทษกรรมเฉพาะในส่วนของผู้ชุมนุม แต่จะไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีอาญาร้ายแรงหรือคดีความมั่นคง หรือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยการจวบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ส่วนขั้นตอนที่สองก็คือการนิรโทษกรรมอย่างสมบูรณ์แบบทั้งผู้บงการสั่งการจนเกิดวิกฤติทางการเมืองและครอบคลุมคดีทุกประเภทซึ่งรวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งหนีโทษจำคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลและมีคดีติดตัวมากมาย ซึ่งแนวคิดในประเด็นหลังของสปช.ถือเป็นระเบิดเวลาที่อันตรายและอ่อนไหวมากเพราะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยยุครัฐบาลชุดที่แล้วเป็นชนวนระเบิดเวลาที่ทำให้ประชาชนเกือบ 10 ล้านคน ออกมาแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อขับไล่รัฐบาลจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม แนวคิดจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อความปรองดองถูกปฏิเสธจาก 2 พรรคใหญ่โดย น.ส.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งตกเป็นข่าวว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลแห่งชาติ และมีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับพรรคเพื่อไทยออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง พร้อมย้ำว่าตัวเองเติบโตจากการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยจึงต้องรักษาจุดยืนไม่ร่วมรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งแนวคิดจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อสร้างความปรองดองนั้นสายไปแล้วนับตั้งแต่คสช.เข้ายึดอำนาจเมื่อปีที่แล้วซึ่งขัดหลักรัฐบาลแห่งชาติตามระบอบประชาธิปไตย
บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดงยังแสดงท่าทีปฏิเสธรัฐบาลแห่งชาติ ขณะเดียวกันกดดันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็วที่สุดเพราะระบอบทักษิณหวังอาศัยการเลือกตั้งกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
การที่พรรคเพื่อไทยปฏิเสธการตั้งรัฐบาลแห่งชาติก็เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของขบวนการเครือข่ายระบอบทักษิณไม่ได้รับการตอบสนองจากคสช.นั่นคือ ข้อต่อรองให้ลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อจะได้กลับประเทศอย่างเท่ๆโดยไม่ต้องรับโทษจำคุก รวมทั้งการลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับคนตระกูลชินวัตรโดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ที่กำลังเผชิญวิบากกรรมอันเลวร้ายจากพิษคดีโครงการรับจำนำข้าว ตลอดจนบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. แสดงจุดยืนชัดเจนมาตลอดว่า อยากเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดองเสียที แต่ก็ต้องยึดหลักกฎหมายโดยผู้ที่ทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งนั่นหมายถึงต้องแยกระหว่างเรื่องการสร้างความปรองดองกับการยึดหลักกฎหมายออกจากกันและล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าจะไม่มีการทาบทามนักการเมืองเข้าร่วมรัฐบาลอย่างเด็ดขาดเพราะขณะนี้ไม่ใช่เวลาของนักการเมือง
สำหรับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายนิพิฏฐอินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคหลายคนแสดงท่าทีว่า รัฐบาลแห่งชาติเพื่อความปรองดองคงยากที่จะเป็นจริงเพราะจุดยืนและนโยบายทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยแตกต่างกันสิ้นเชิง อีกทั้งต้องเข้าใจว่าการดึงตัวแทนพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่มาร่วมรัฐบาลเป็นคนละเรื่องกับการสร้างความปรองดอง เพราะการปรองดองอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ต้องยอมรับความจริงแล้วหาข้อสรุปก่อนว่าต้นตอแห่งความขัดแย้งเกิดจากอะไรและจะยุติความขัดแย้งนั้นได้อย่างไรโดยใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นตัวชี้ขาด แต่ปัญหาก็คือคนที่ทำผิดไม่ยอมรับผิดและยอมรับกระบวนการยุติธรรมทำให้การปรองดองไม่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นการสร้างความปรองดองจึงถือเป็นโจทก์แสนยากสำหรับคสช.โดยเฉพาะตัวแปรสำคัญคือระบอบทักษิณซึ่งตราบใดที่ยังไม่มีการลบล้างโทษความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและคนตระกูลชินตราบนั้นการตีรวนป่วนเมืองก็ยังจะดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันหากคสช. ยอมตามเป้าหมายที่แท้จริงของระบอบทักษิณแทนที่จะนำไปสู่ความปรองดองตรงกันข้ามอาจกลายเป็นชนวนสร้างความแตกแยกในชาติให้ลุกโชนรุนแรงกว่าที่ผ่านมา
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี