ไม่ว่าผลการลงมติของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ในวันที่ 7 ก.ย. จะผ่านหรือไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ตามถึงอย่างไรการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเร็วก็คงมีขึ้นในปลายปีหน้าหรืออาจยืดไปกว่านั้น หากมีการทำประชามติถามคนทั้งประเทศแล้วเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของสมาชิกสปช.กลุ่มหนึ่ง นำโดย นายไพบูลย์ นิติตะวันให้ใช้เวล 2 ปี หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศในเรื่องสำคัญๆ ให้สำเร็จแข็งแรงแล้วค่อยมีการเลือกตั้ง ซึ่งหากเป็นกรณีนี้การเลือกตั้งอาจยาวไปถึงปลายปี 2560 โน่น แต่ไม่ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นเมื่อไหร่สิ่งสำคัญคือจะต้องปฏิรูปประเทศ กำหนดกติกาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ให้บ้านเมืองกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยแบบเดิมๆ อีกเป็นอันขาด
คำถามก็คือแล้วจะปฏิรูปอะไรให้สำเร็จก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง คำตอบซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่จะต้องปฏิรูปก็คือ กำหนดกติกาที่เข้มข้นเด็ดขาดในการขจัดการทุจริตและซื้อเสียงทุกรูปแบบไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ด้วยการกำหนดบทลงโทษพรรคการเมือง นักการเมือง ตลอดจนข้าราชการที่ทุจริตหรือปล่อยให้มีการทุจริตเลือกตั้งซึ่งถือเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยด้วยโทษที่รุนแรงทั้งทางอาญาและทางการเมืองโดยโทษทางการเมืองต้องห้ามนักการเมืองที่ทุจริต ห้ามมีตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต ส่วนโทษทางอาญาควรกำหนดโทษติดคุกอย่างต่ำ 20 ปีขึ้นไป เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว
ที่ผ่านมาพรรคธุรกิจการเมืองใช้กลโกงการเลือกตั้งที่แนบเนียนและสลับซับซ้อนมากขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจตั้งแต่ในส่วนกลางลงไปและฝ่ายปกครองตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดลงไป รวมทั้งนักการเมืองระดับท้องถิ่นมักจะแอบอิงฝ่ายการเมือง ซึ่งหากเจ้าหน้าที่รัฐทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริตตรงไปตรงมาการทุจริตก็ยากที่จะเกิดขึ้น แต่ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐบางคนบางพวกถึงกับทำตัวเป็นหัวคะแนนทุจริตเลือกตั้งเสียเองหรือหลับตาปล่อยให้มีการโกงเลือกตั้งเพราะฉะนั้นต้องมีการกำหนดโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตเลือกตั้งหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันการทุจริตไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมต้องรับโทษทางอาญา รวมทั้งโทษทางวินัยที่รุนแรงมากขี้นถึงขั้นไล่ออกจากราชการหากพบความผิดชัดเจน
บทลงโทษรุนแรงต่อการทุจริตเลือกตั้งยังควรครอบคลุมถึงการซื้อเสียงล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า “ตกเขียว”หรือซื้อเสียงทางอ้อมด้วยการใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือผ่านโครงการประชานิยม หรืองบประมาณแผ่นดินที่แสดงเจตนาแน่ชัดเพื่อสร้างคะแนนนิยมอย่างไม่สมเหตุสมผลและไม่คำนึงถึงความเสียหายร้ายแรงที่เกิดกับประเทศซึ่งโครงการรับจำนำข้าวคือหนึ่งในตัวอย่างโครงการประชานิยมอันเลวร้าย
และเพื่อให้การพิจารณาคดีเกี่ยวกับการทุจริตเลือกตั้งเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพก็ควรมีศาลเลือกตั้งเป็นการเฉพาะ
นี่แค่หนึ่งในภารกิจสำคัญของการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งเพราะการทุจริตเลือกตั้งคือต้นเหตุของธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมแบบไทยๆ อันเป็นต้นตอชนวนสุมไฟแตกแยกในชาติอย่างลึกซึ้งรุนแรงตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากการออกมาแสดงพลังของมวลมหาประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งหากไม่ปฏิรูปให้สำเร็จปล่อยให้กลุ่มนักธุรกิจการเมืองอันชั่วร้ายครองเมือง เท่ากับการยึดอำนาจของคสช.และการปฏิรูปประเทศล้มเหลวเสียของสิ้นเชิง
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี