นับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันชี้ชะตาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ในวันที่ 6 ก.ย.นี้ ว่าจะลงมติรับหรือไม่รับร่างท่ามกลางข้อถกเถียงในข้อดีข้อเสีย 3 ประเด็นระเบิดเวลาในร่างรัฐธรรมนูญ
ประเด็นระเบิดเวลาลูกแรกในร่างรัฐธรรมนูญก็คือบทบัญญัติในมาตรา 260 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ(คปป.)รวม 23 คน ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ นายกฯ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมาจากผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกาซึ่งจะเลือกกันเองประเภทละ 1 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกจำนวนไม่เกิน 11 คนที่แต่งตั้งตามมติรัฐสภาจากผู้เชี่ยวชาญในการปฏิรูปด้านต่างๆ และการสร้างความปรองดอง
ทั้งนี้คปป.จะมีอำนาจบทบาทก็ต่อเมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถคลี่คลายวิกฤติของประเทศที่มาถึงทางตันกลายเป็นรัฐล้มเหลว เมื่อนั้นคปป.สามารถใช้อำนาจแทนฝ่ายบริหารคือรัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติคือรัฐสภาโดยมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการคลี่คลายวิกฤติชาติให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งข้อดีก็คือจะเป็นทางออกคลี่คลายวิกฤติชาติโดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญเหมือนที่ผ่านมา
แต่ข้อเสียของ คปป.จนเกิดกระแสต่อต้านก็คือถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของคสช. และเป็นองค์กรรัฐซ้อนรัฐที่มีอำนาจพิเศษเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ประเด็นระเบิดเวลาลูกที่สองที่เป็นข้อถกเถียงในร่างรัฐธรรมนูญก็คือบทบัญญัติที่เปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรด้วยเสียง2 ใน 3 ของสส.ทั้งหมดเลือกคนนอกซึ่งไม่ได้เป็น สส.มาดำรงตำแหน่งนายกฯได้ซึ่งประเด็นนี้ฝ่ายที่สนับสนุนชี้ให้เห็นข้อดีว่าเพื่อเป็นการเปิดรูหายใจในยามที่บ้านเมืองถึงทางตันหรือพรรคการเมืองขัดแย้งอย่างหนักในการสรรหานายกฯจนมีแนวโน้มว่าหากบริหารบ้านเมืองต่อไปจะนำไปสู่วิกฤติ ซึ่งหากมีนายกฯคนกลางซึ่งสองฝ่ายยอมรับอาจเป็นช่องทางออกนำพาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้
แต่ฝ่ายที่ต่อต้านประเด็นนี้ชี้ข้อเสียว่าเป็นการปูทางสืบทอดอำนาจของคสช. สอดรับแผนตั้งรัฐบาลเพื่อความปรองดองหรือรัฐบาลแห่งชาติ ด้วยการให้สองพรรคใหญ่คู่ขัดแย้งคือพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์จับมือตั้งรัฐบาลเพื่อความปรองดองโดยมีคนนอกซึ่งเป็นร่างทรงของคสช.เป็นนายกฯ
ส่วนประเด็นระเบิดเวลาลูกที่สามในร่างรัฐธรรมนูญก็คือ บทบัญญัติที่ให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.)มีจำนวนไม่เกิน 200 คนโดยมาจากการเลือกตั้ง 77 จังหวัด จังหวัดละ1 คน และมาจากการสรรหา 123 คน ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนในประเด็นนี้ให้เหตุผลว่า เพราะในอดีตมีบทเรียนมาแล้วจากปัญหาสว.ที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งกลายเป็นร่างทรงของพรรคการเมืองไม่ต่างอะไรจากสส. อีกทั้งบ้านเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านยังจำเป็นต้องมีสว.ที่มาจากการสรรหาเพื่อประคับประคองถ่วงดุลฝ่ายการเมืองไม่ให้ใช้อำนาจเลวร้ายตามใจชอบ
ขณะที่ฝ่ายคัดค้านบทบัญญัติประเด็นนี้ชี้ว่า การกำหนดให้สว.มาจากการสรรหาเท่ากับถอยหลังเข้าคลองขัดกับหลักประชาธิปไตย
ฉะนั้นคงต้องวัดใจที่ประชุมสปช.ในวันที่ 6 ก.ย.นี้ ว่าจะผ่านร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากผ่านก็ต้องมีการทำประชามติซึ่งประชาชนทั่วประเทศจะเป็นผู้ชี้ขาดว่าเห็นด้วยหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศฉบับนี้
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี