ทั้งๆ ที่มีเวลาบริหารประเทศได้อย่างไร้อุปสรรคขัดขวางจากม็อบก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเหมือนรัฐบาลชุดที่ผ่านมา แต่ผลงานเกือบ 2 ปีของรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกจากจะไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมีแต่การสร้างภาพเอาตัวรอดไปวันๆ แล้ว ยังสร้างปัญหาจุดชนวนวิกฤติในบ้านเมืองมากขึ้นทุกขณะท่ามกลางความอัดอั้นของประชาชนที่เริ่มทนไม่ได้กับการบริหารที่ล้มเหลว ลุแก่อำนาจอาศัยพวกมากลากไป และที่สำคัญคือตั้งหน้าตั้งตาก่อหนี้ให้ประเทศมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยเปิดช่องทางให้มีการโกงบ้านกินเมืองอย่างมโหฬาร รวมทั้งวางแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสถาปนาระบอบทักษิณยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
รัฐบาลหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์ภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีเหนือรัฐบาล ตั้งหน้าตั้งตามุ่งแต่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับการ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทั่วประเทศ มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของประชาชนโดยปล่อยให้เผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่นับวันเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ว่าจะ “กระชากค่าครองชีพ ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้” ขณะที่ประชาชนอีกค่อนประเทศต้องทุกข์แสนสาหัสจากวิกฤติภัยแล้ง
การแก้ไขรัฐธรรมนูญหวังยึดครองประเทศและการก่อหนี้ 2 ล้านล้านบาท ที่ส่อเจตนาโกงบ้านกินเมืองครั้งมโหฬารถือเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่นอกจากถูกต่อต้านจากผู้คนในบ้านเมืองจำนวนไม่น้อยแล้วยังถูกจับตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังปล้นแผ่นดินสร้างความหายนะล่มจมอย่างย่ามใจมากขึ้นทุกขณะจนเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ
ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญระบอบทักษิณเร่งเดินหน้าแผนรวบรัดหักดิบโดยอาศัยพวกมากเพื่อแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นสำคัญที่สุดคือมาตรา 68 อันเป็นการตัดสิทธิ์ของประชาชนในการร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงในกรณีที่พบการกระทำอันเป็นการเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วกำหนดให้ประชาชนต้องยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาพฤติการณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุดถูกตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่าเป็นหน่วยงานทาสรับใช้ระบอบทักษิณ การกำหนดให้อัยการสูงสุดมีอำนาจสิทธิขาดรับเรื่องร้องเรียนเท่ากับกำจัดศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นทางหลังจากที่ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉันว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทยและพวกเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 68 ดังนั้นเมื่อกำจัดศาลรัฐธรรมนูญพ้นทางเท่ากับเปิดทางให้การผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ซึ่งค้างอยู่ในวาระที่ 3 เป็นไปอย่างสะดวกราบรื่นอันจะปูทางไปสู่การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)ร่างทรงเพื่อมารื้อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้วยกร่างใหม่ทั้งฉบับโดยมีเป้าหมายแอบแฝงสำคัญคือมุ่งลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และทำให้ได้ทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาท ที่ถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินคืนตลอดจนปูทางไปสู่แผนการสถาปนาระบอบทักษิณให้สามารถผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างไร้อุปสรรคขัดขวางซึ่งไม่ต่างอะไรจากการรัฐประหารประเทศโดยอาศัยระบบเผด็จการรัฐสภา
ส่วนประเด็นรองก็คือการแก้ไขมาตรา 190 เพื่อเปิดทางให้ระบอบทักษิณสามารถทำข้อตกลงกับประเทศต่างๆ โดยนำทรัพยากรของประเทศแลกกับผลประโยชน์ทับซ้อนที่ตัวเองจะได้รับการแก้ไขที่มาของวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้ระบอบทักษิณสถาปนา “สภาทาส” หรือ “สภาผัวเมีย”เหมือนในอดีตเพื่อยึดครองวุฒิสภาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งนี้วุฒิสภามีอำนาจสำคัญในการถอดถอนนักการเมืองและแต่งตั้งตัวแทนในองค์กรอิสระต่างๆ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากระบอบทักษิณยึดวุฒิสภาได้สำเร็จเท่ากับผูกขาดอำนาจอยู่ในกำมือจนไร้ระบบตรวจสอบถ่วงดุลอีกต่อไปอย่างสิ้นเชิง และการแก้ไขมาตรา 237 ยกเลิกโทษยุบพรรคการเมืองกรณีซื้อเสียงหรือทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในกรณีอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การเมืองถอยหลังเข้าคลองสู่ยุคธุรกิจการเมืองเฟื่องฟูโดยพรรคการเมืองไม่เกรงกลัวการถูกลงโทษด้วยยาแรง
ในเรื่อง พ.ร.บ.ก่อหนี้เงินต้น 2 ล้านล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ยอีก 3 ล้านล้านบาท ที่ลูกหลานต้องแบกรับภาระอีกชั่วลูก
ชั่วหลานไม่น้อยกว่า 50 ปี และส่อเจตนาทุจริตมโหฬารสะท้อนการลุแก่อำนาจของรัฐบาลโดยไม่สนใจว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยวิธีงบประมาณอีก 4 ฉบับ ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มอดีตส.ส.ร.ปี 2550 ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้ยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช.ให้เอาผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีทั้งชุดในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่กลุ่มสส.ฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภา(สว.)สรรหากลุ่มหนึ่งเตรียมยื่นเรื่องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทขัดต่อรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณชุดนี้ยังจุดชนวนสุมไฟก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ลุกโชนรุนแรงยิ่งขึ้นจากผลพวงการจัดฉากปาหี่สร้างภาพพูดคุยสันติภาพกับแกนนำรุ่นเก่ากลุ่มบีอาร์เอ็นโคออดิเนทที่ล้วนชราภาพและไร้บทบาทอย่างแท้จริงที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผลก็คือถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากขบวนการโจรก่อการร้ายที่เป็นฝ่ายปฏิบัติการตัวจริงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ด้วยการลอบวางระเบิดและสังหารเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและประชาชนเฉลี่ยวันละศพตลอดช่วง 1 เดือน ของการพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลนำโดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตรเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) และแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นฯรุ่นเก่านำโดย นายฮัสซัน ตอยิบ
ขณะที่ปัญหาปราสาทพระวิหารเป็นระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่งสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่า “กายไทยใจเขมร” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลการตัดสินของศาลโลกในปลายปีนี้ให้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นดินแดนไทยต้องตกเป็นของกัมพูชา คาดว่าจะมีกลุ่มพลังคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ออกมาแสดงพลังประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่เพราะที่ผ่านมารัฐบาลส่อพฤติกรรมยอมอ่อนข้อให้กัมพูชาอย่างออกหน้าออกตาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทับซ้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะได้จากฝ่ายกัมพูชา
เพราะฉะนั้นตราบใดที่รัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้ยังถูกชักใยบงการเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ปัญหาของรัฐบาลก็จะยิ่งสั่งสมพอกพูนมากขี้นเรื่อยๆ เป็นระเบิดเวลาทางการเมืองที่รอถึงจุดระเบิดซึ่งนั่นหมายถึงสัญญาณอันตรายสำหรับการดำรงอยู่ของรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณชุดนี้
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี