ขณะที่ศึกยกสุดท้ายงวดใกล้เข้ามาทุกขณะท่ามกลางความหวั่นวิตกจากทุกฝ่ายว่าจะเกิดการเผชิญหน้าขั้นแตกหักจนนำไปสู่การนองเลือดระหว่างมวลมหาปาะชาชนภายใต้การนำของกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) กับรัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษ์ ชินวัตร ซึ่งมีม็อบเสื้อแดงภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดงและกองกำลังใต้ดินติดอาวุธที่เคลื่อนไหวคู่ขนานเป็นเครื่องมือในการทำศึกแตกหักกับ กปปส.ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นสภาพการทำหน้าที่นายกฯกรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายหรือกรณีหากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว แต่ขณะที่สถานการณ์มีนับถอยหลังใกล้ถึงจุดแตกหักก็เกิดการเคลี่อนไหว
จุดประการเสนอทางออกเพื่อผ่าทางตัน
ที่น่าประหลาดใจก็คือการออกเปิดประเด็นของนายชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ นายโภคิน พลกุล ซึ่งอยู่ในทีมมือกฏหมายของพรรคเพื่อไทย กลับออกมาเสนอแนวคิดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทูลเกล้าฯขอพระบรมราชวินิจฉัยตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะจากกรณีโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือป.ป.ช.ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทั้ง นายชัยเกษม
และนายโภคิน รวมทั้งบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยต่างออกมาต่อต้านแนวคิดการใช้มาตรา 7 อันเป็นข้อเสนอของมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) โดยอ้างว่าทำไม่ได้และเป็นแนวทางนอกรัฐธรรมนูญ
และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือแม้แต่ นายใหญ่นักโทษหนีคุก ก็ออกมาส่งสัญญาณการให้อภัยกันและสนับสนุนแนวคิดมาตรา 7 จนถูกตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการเล่นบทตีสองหน้าของ นายใหญ่นักโทษหนีคุก ในภาวะที่รัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณกำลังจนตรอก
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตุว่า การเสนอแนวคิดมาตรา 7 ของ นายชัยเกษม และ นายโภคิน เป็นเพียงการโยนหินถามทางและซ่อนเล่ห์แอบแฝงเพื่ออาศัยมาตรา 7 แก้เกมของมวลมหาประชาชน กปปส. โดยยังคงรักษาอำนาจของรัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณ ขณะเดียวกันก็เป็นการปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญอย่างสิ้นเชิงโดยส่อเจตนาอาศัยสถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือซึ่งไม่ต่างอะไรจากการดึงฟ้าลงต่ำ
ทั้งนี้ แนวคิดมาตรา 7 ของ นายชัยเกษม และ นายโภคิน แตกต่างจากแนวทางอันเป็นสาระสำคัญกับมวลมหาประชาชนกปปส.อย่างสิ้นเชิง เพราะข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชน กปปส. เห็นว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องสิ้นสภาพการทำหน้าที่นายกฯจนเกิด”สุญญกาศ”ทางการเมือง จนต้องใช้มาตรา 7 สรรหานายกฯเฉพาะกาลที่เป็นกลางเพื่อมาวางแนวทางปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ โดยผู้ที่ทำหน้าที่สนองพระบรมราชโองการก็คือประธานวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาที่จะต้องประชุมวุฒิสภาเพื่อสรรหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นนายกฯเฉพาะกาลเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯโปร่งเกล้าแต่งตั้ง
แต่ในกรณีข้อเสนอของนายชัยเกษมนั้นถูกตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการผลักภาระปัญหาร้อนแรงทางการเมืองทั้งมวลไปให้สถาบันเบื้องสูงทรงวินิจฉัย ซึ่งไม่ว่าจะทรงวินิจฉัยออกมาด้านใดอย่างไรล้วนเป็นผลลบต่อสถาบันทั้งสิ้น ขณะเดียวกันยังแฝงเล่ห์ปฏิเสธอำนาจคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกันศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.)ถึงกับบังอาจเหิมเกริมออกแถลงการณ์ตอกย้ำส่อเจตนาดึงฟ้าลงต่ำและไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญตามแนวคิดของนายชัยเกษม ด้วยการเรียกร้องให้รัฐบาลทรราชหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์ทูลเกล้าฯขอพระบรมราชวินิจฉัยว่ารัฐบาลทรราชหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์ยังสามารถอยู่ในอำนาจต่อไปหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลสิ้นสภาพ
ด้านคณะรัฐบุคคลอาวุโสที่นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ได้จุดประกายแนวคิดและทำเรื่องเสนอต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยเห็นว่าขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองได้มาถึงจุดวิกฤติที่จะต้องหาทางออกคลี่คลายวิกฤติโดยเร็วโดยไม่จำเป็นต้องรอการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญหรือป.ป.ช. โดยบุคคลที่จะทำหน้าที่คลี่คลายวิกฤติชาติขณะนี้ก็คือประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ด้วยการเรียกประชุมผู้นำส่วนราชการทั้งผู้นำกองทัพ ผู้นำศาล และผู้นำสังคมทุกกลุ่มมาร่วมหาทางออกให้ชาติแล้วร่างพระบรมราชโองการนำขึ้นทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อให้ทรงพระปรมาภิไธย โดยประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ ซึ่งแนวทางพึ่งพระบารมีในทำนองเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ อาทิ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปี 2535
อย่างไรก็ตามแนวคิดของคณะรัฐบุคคลถูกต่อต้านอย่างหนักจากพรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง ที่โจมตีคณะรัฐบุคคลและ พล.อ.เปรม อย่างแข็งกร้าว
พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ และเป็นนายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์อันเป็นการส่งสัญญาณที่มีนัยยะทางการเมืองอย่างน่าจับตาโดยกล่าวว่า
ขอให้อดใจรอดูสักนิดและสุดท้ายปัญหาของบ้านเมืองต้องจบหลังขัดแย้งมานานหลายปีแล้ว
สัญญาณจากนายทหารคนสนิทของประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษทำให้คาดว่า วิกฤติการณ์ของประเทศกำลังใกล้จะปิดฉากลงในไม่ช้านี้โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยการสิ้นสภาพนายกฯรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะที่นักสังเกตุการณ์ทางการเมืองประเมินว่า ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ในที่สุดแล้วนายกฯและรัฐบาลที่เป็นกลางเพื่อเข้าสะสางปัญหาของประเทศมีแนวโน้มที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี