จากพระเอกแถวหน้า พล ตัณฑเสถียร เลือกที่จะหันเหชีวิต ไปทุ่มเทให้กับการทำอาหารอย่างเต็มตัว อะไรคือจุดเปลี่ยน? และบทบาทหน้าที่ในวันนี้ของเขาคืออะไร? “สตาร์เรโทร” วันนี้ขอพาคุณผู้อ่านไปเปิดมุมมองการใช้ชีวิตของอดีตพระเอกคนดัง พล ตัณฑเสถียร
ห่างหายจากวงการบันเทิง
ระยะหลังมานี้ผมหันไปทุ่มเทกับการทำอาหารอย่างจริงจัง ตอนนี้นอกจากเป็นพ่อครัว และเปิดร้านอาหารแล้ว ผมยังสอนทำอาหาร ถ่ายรายการ เป็นนักโภชนาการอาหาร และยังทำงานเกี่ยวกับอาหารอีกหลายๆ ด้าน ทำให้ไม่สามารถปลีกเวลาไปทุ่มเทให้กับละครได้ครับ หลังจากละครเรื่องล่าสุดเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วผมก็ห่างจากละครไปเลย
คิดถึงงานแสดง
ถามว่ายังคิดถึงการแสดงอยู่ไหม ผมตอบได้เลยว่ายังคิดถึงแน่นอนครับ เพราะเราเป็นนักแสดงทุกคนรู้จักผมในฐานะนักแสดงมาตลอดเราอยู่ในวงการนี้มานาน แต่ด้วยเวลาที่ไม่ลงตัว เพราะอย่างที่บอก ผมทำงานหลายอย่าง ทำให้ไม่สามารถหาคิวไปแสดงละครได้ บวกกับปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างเลยทำให้ยังไม่สามารถรับเล่นละครได้ครับ แต่ยังยืนยันว่ายังคิดถึงการแสดงอยู่ครับ
ผมคิดว่าถ้ามีบทบาทที่ดี และเหมาะสม หรือว่าถ้ามีบทที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นตัวตนของผมจริงๆ เสนอเข้ามาแล้วผมสามารถจัดสรรเวลาให้เข้าที่เข้าทางได้รับรองว่าผมจะกลับมาเล่นละครแน่นอนครับ แต่บางครั้งบทบาทที่เสนอมาให้ผม
ยังไม่โอเคครับ เคยมีเสนอบทของ รปภ. มา ผมเลยคิดว่ายังไม่รับเล่นดีกว่าครับ
เป็นคนเพื่อนไม่เยอะ
ยอมรับว่าผมไม่ค่อยมีเพื่อน ตั้งแต่อยู่ในวงการบันเทิงมาเป็นระยะเวลานาน หรือออกมาทำอาชีพเกี่ยวกับอาหารก็จะไม่ค่อยมีเพื่อนครับ ถือว่าสังคมของผมแคบมาก สาเหตุอาจมาจากการที่เราทุ่มเทให้กับงาน เป็นมนุษย์ที่ทำงานอยู่บนโต๊ะทำงานตลอด เลยไม่ค่อยมีเวลา
ชอบช่วยคนดี
พูดแบบไม่สร้างภาพเลยนะครับ ผมชอบช่วยคนดีครับ เพราะในชีวิตของผมเคยถูกคนอื่นช่วยเหลือมาก่อน ฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสก็ควรจะเผื่อแผ่ความช่วยเหลือให้คนรอบๆ ข้างที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงแต่สำหรับผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งคุณได้สิ่งดีๆ มาแล้วคุณไม่ให้สิ่งนั้นตอบวันหนึ่งชีวิตคุณจะไม่มีใครให้ต่อ ชีวิตเราถ้าเราเจอคนที่ดีกับเรา เราก็ต้องดีกับคนอื่นต่อแล้วชีวิตก็จะถูกแวดล้อมด้วยคนดีครับ
หันมาทานมังสวิรัติ
ผมทานมังสวิรัติมานานแล้วครับ แต่ด้วยความที่เราอยู่ในวงการนี้ดังนั้นเมื่อมีร้านอาหารเชิญไปทาน ก็ทานหมดเลย ไม่ว่าจะเนื้อม้าเนื้อกวาง เนื้อลูกเจี๊ยบ (หัวเราะ) สารพัดเนื้อ เพราะมันเป็นหน้าที่และอาชีพครับ แต่ผมจะไม่ฆ่าสัตว์เป็นๆ ครับ
เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น
ส่วนตัวเป็นคนเชื่อเรื่องนี้ครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยเปิดร้านได้ 3 เดือนต้องปิดไปเพราะเจอสิ่งที่มองไม่เห็นมากมาย ทั้งคนกระโดดตึกลงมาเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา ก๊อกน้ำเปิดเองได้ และอีกสารพัด ด้วยความที่เราเชื่อ เราเลยไหว้ แล้วคิดว่าจะให้ทำยังไง อยากให้ผมทำยังไง ในวันที่ท้อ และตัดสินใจจะเลิก ปรากฏลูกค้าเต็มร้าน แต่พออีกวันลูกค้าหายไปหมด มันคือของที่มองไม่เห็นครับ เลยตัดสินใจปิดครับ
มุมมองต่อการทำงาน
ถ้างานที่ทำไม่ว่าจะงานด้านไหนก็ตาม ทำให้เราทุกข์ก็อย่าทำดีกว่าครับ คนเราต้องหางานที่อยากตื่นขึ้นมาเพื่ออาบน้ำไปทำงาน เราต้องวัดตั้งแต่ตอนนั้นครับ เวลาผมมาทำงานผมนั่งรถไฟฟ้ามาช่วงที่รถแน่นๆ นั่งมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านมา ผมมีความสุขที่จะทำแบบนี้ครับ "ผมเชื่อว่าของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มี 2 มุม 2 ด้านเสมอ อย่างสมมุติคนหนึ่งบอกร้อนอีกคนอาจจะบอกเย็นก็ได้ ผมคิดว่าแล้วแต่มุมมองการใช้ชีวิตของแต่ละคน มันไม่มีใครผิดหรือถูกครับมันแล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมองยังไงมากกว่าคนเรามีประสบการณ์เหมือนกันได้ ชอบดูหนังเรื่องเดียวกัน กินอาหารเหมือนกันได้ ฉะนั้นมันไม่มีอะไรชี้วัดว่าผิดหรือถูกครับ"
เรื่องของความรัก
ตอนนี้ผมมีคนที่รักและรู้ใจอยู่แล้วครับ แต่ไม่ใช่แฟนนะครับ ผมคุยกับคนนี้มาตลอดชีวิต ผมแค่รู้สึกว่าเราได้ดูแลซึ่งกันและกันแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ มันเป็นความรู้สึกที่ดีที่ต่างฝ่ายต่างห่วงใยซึ่งกันและกันครับ
ตั้งชื่อร้านใหม่ว่า Wicked
ผมชอบการออกเสียงของคำว่า Wicked ผมว่ามันออกเสียงน่ารักดี แล้วผมเคยรับนิตยสารแล้วเห็นคอลัมน์อาหารมีชื่อนี้ เลยเอามาปรับมุมมองเป็นมุมมองของเรา ที่เราต้องการจะสื่อใหม่ ผมคิดว่า ชื่อมันน่ารักเหมาะกับร้านครับ (เห็นว่าลงทุนถึง10 ล้าน?) ไม่ใช่ 10 ล้านครับ มากกว่านั้นเยอะ(หัวเราะ) ผมเข้าใจครับว่าถ้าจะไปอยู่ในโลเกชั่นดีๆราคาก็จะเป็นประมาณนี้ เพียงแต่ในตัวเงินมันมีรายละเอียดต่างๆ แตกย่อยอีกเยอะครับ
เปิดร้านใหม่ แต่ไม่มีงานแกรนด์โอเพ่นนิ่ง
ผมเป็นคนเชื่อว่ามาร์เก็ตติ้งของร้านอาหาร คือการไม่ทำมาร์เก็ตติ้ง ผมเชื่อว่าคนเราชอบอะไรที่เป็นการซุบซิบ คือการบอกต่อ ปากต่อปากว่าร้านนี้อร่อย ร้านนั้นอร่อยมากกว่า แล้วสมัยนี้การทำร้านอาหารเหนื่อยมาก เหนื่อยกับคน เดี๋ยวนี้คนใจร้อนมาก มาทำงานวันเดียวแล้วเขาไม่โอเค วันต่อไปเขาก็ไม่มาอีกเลย ถ้าสมมุติว่าเราประกาศไปว่าจะเปิดร้านวันนี้ๆ คนก็จะพากันมาที่ร้านแล้วพอหลังจากสัปดาห์ต่อไปคนจะพากันหายไป ดังนั้นเลยมีความคิดว่าอยากให้คนซึมซับไปเรื่อยๆ ค่อยๆ มา แล้วเราควบคุมอยู่จะดีกว่าครับ ผมคิดว่านี่คือความงามของร้านอาหารที่ต้องใช้การบอกต่อ แล้วมันก็จะตรงกลุ่มเป้าหมาย ถ้าสมมุติเราแจกใบปลิวแบบทั่วๆ ไป 20 ใบ อาจจะตรงกลุ่มสัก5 ใบ แต่ถ้าเราทำแบบนี้มันจะตรงกลุ่มลูกค้ามากกว่าครับ
ทำตลาดนัดของตัวเอง
ผมทำตลาดนัดมาปีกว่าแล้ว เป็นตลาดนัด Spring Epicurean Market วันอาทิตย์ ตลาดนัดอาหารดีๆ เพื่อสุขภาพดีๆ ครับ แต่กลุ่มคนที่สนใจมาเดินส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติครับ พ่อค้าแม่ค้าก็จะมีคนไทยน้อยมาก ทุกวันนี้ผมยังคิดว่าทำไมคนไทยถึงไม่มา เดินเข้าไปในตลาดเจอแต่ภาษาอังกฤษ พ่อค้า-แม่ค้าก็พูดภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าเพราะคนไทยยังไม่เข้าใจถึงสุขภาพและของที่ดีอย่างแท้จริง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากของธรรมชาติ และของดีครับ
ฝากถึงแฟนๆ
ผมต้องขอบคุณแฟนๆที่ยังคงคิดถึงผมเสมอต้องขอบคุณจริงๆครับ และก็ขอฝากร้านทั้งร้าน Wicked Siam Square One ชั้น 5 และร้านสปริงแอนด์ซัมเมอร์ สุขุมวิท 49 แล้วก็รายการพลพรรคนักปรุง ทุกวันพุธ และพฤหัสบดี ทางช่อง โมเดิร์นไนน์ ทีวี ด้วยครับ
พรหมปภา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี