ชีวิตคนเรามีทั้งขึ้นๆ ลงๆ ตรงบ้าง ดิ่งบ้าง ปะปนกันไปตามช่วงเวลาที่ผันเปลี่ยนเวียนไปตามโลกที่ไม่มีวันหยุดหมุน เฉกเช่นเดียวกันกับ เล็ก-พอเจตน์ แก่นเพชร ที่เผชิญมาแล้วกับทุกรูปแบบ งานเบื้องหน้าหรือจะงานเบื้องหลัง เขาลิ้มลองมาหมด ความรู้และประสบการณ์มีมากล้น แต่คนอาจจะหลงลืมเขาไปบ้าง แต่ไม่เป็นไร เล็ก-พอเจตน์ จะยังคงทำงานต่อไปตามกำลังและแรงที่มีอยู่อย่างเต็มที่ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เขาเลือกและตัดสินใจแบบนี้ “สตาร์เรโทร” มีแนวคิดดีๆ จากผู้ชายคนนี้มาแชร์แบบหมดเปลือก
l เริ่มต้นเส้นทางในสายงานบันเทิง
เริ่มจากการเล่นหนัง “รอยลิขิต” ในปี พ.ศ.2520 ของ คุณแดง-จีรวรรณ กัมปนาทแสนยากร ค่าย “จิรบันเทิงฟิล์ม” รับบทพระเอกคู่กับ “สุพรรษา เนื่องภิรมย์” เป็นเรื่องแรกของสุพรรษาเหมือนกัน แล้วก็มี “อำภา ภูษิต” “สุชาติ คงเจริญ” ซึ่งก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จมากเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ล้มเหลว หลังจากนั้นคุณแดงก็ให้ไปหา “คุณรุจน์ รณภพ” ที่ “ไฟว์สตาร์” เขาก็ดูตัวแล้วก็สร้างหนังเรื่อง “บ้านทรายทอง” ได้เข้าไปเล่นเป็น “ม.ร.ว.ภารดาพัฒน์ระพี” หรือ “ชายกลาง” (นาทีที่ถูกเลือกให้รับบทชายกลาง) ตื่นเต้นครับ ตอนนั้นก็ทำเป็นหนังฟอร์มใหญ่แต่ว่าไม่ใหญ่เพราะว่าไม่มีโรงฉาย ไม่มีโปรแกรมเข้า อาจจะเพราะเราเป็นพระเอกที่ไม่เป็นที่รู้จักฉายไม่ได้เป็นเหมือนกับหนังแถมถ้าสมมุติซื้อหนังเรื่องไหนก็จะเอาเรื่องบ้านทรายทองของเราแถมเขาไป เหมือนกับว่าบังคับขายในราคาที่ต่ำ คนที่ซื้อไปก็ไปขายต่อให้กับหนังเร่ คือขายบัตรถูกๆ (แต่ก็เกือบไม่ได้เป็น ชายกลาง) ก่อนหน้าที่หนังกำลังถ่ายอยู่เนี่ยเพิ่งถ่ายไป มีคนมากระซิบให้คุณรุจน์เปลี่ยนตัวพระเอกว่าไม่เอาผมนะ เพราะตอนนั้นเราไม่ได้ดังยังโนเนมอยู่เลย แต่คุณรุจน์ก็ยืนยันว่าจะเอาผมจนได้ถ่ายภาค 2 ต่อทันที แล้วปรากฏว่าภาค 2 ดังกว่าภาคแรกอีก
พอหนังเข้าฉายกสถานการณ์พลิก จำได้ว่าตอนที่ฉายได้โปรแกรมแค่อาทิตย์เดียวก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหนัง ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนลอยกระทง เพราะลอยกระทงจะมีหนังดังเข้าโรง เรื่องของเราก็จำเป็นต้องหลีกทางให้หนังใหญ่เขาเข้าก่อน พอหลังจากนั้นก็ได้ฉาย วันแรกก็เกือบเต็มพอรอบที่สองเสริม เต็มเสริม เต็ม เต็ม เสริม ฉายตั้งแต่ก่อนลอยกระทงลอยกระทง จนถึงตรุษจีน ข้ามปีใหม่ไป ก็ยังไม่หยุดฉายตอนนั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเลยทันทีถือว่าแจ้งเกิดในบทชายกลางเลยก็ว่าได้ เล่นคู่กับ “จารุณี สุขสวัสดิ์” คือแจ้งเกิดกันทุกคนในเรื่องนี้รวมทั้งผู้กำกับอย่างอารุจน์ด้วยซึ่งก็เขียนบทเองอีกด้วย เป็นครั้งแรกและเรื่องแรกที่คุณรุจน์เขียนบทเองนะ ปกติจะให้คุณส. อาสนจินดา แต่เรื่องนี้มันก็มีปัญหากันนิดหน่อยเขียนบทไปแล้วก็มาแก้บท คุณส. ก็บอกว่างั้นมึงก็เอาไปเขียนเองสิ สรุปคุณรุจน์ก็เลยเขียนเอง ก็เลยได้แจ้งเกิดพร้อมกัน
l สร้างคาแร็กเตอร์ชายกลาง
ทีแรกผมก็เล่นไม่ถูกเหมือนกัน ซึ่งจริงๆก็ไม่มีอะไรนะ เป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ คุณรุจน์ก็อธิบายไปอธิบายมา เราก็เนี่ยคุณพ่อผมเอง เอาบุคลิกของคุณพ่อมาใช้ เพราะคุณพ่อสูบไปป์ เดินตัวตรง เวลาถือไม้ต้องแบบนี้นะ เพราะคุณพ่อเคยทำงานรับราชการในวัง พนักงานก.พ. สมัยก่อนอะนะ ดูจากบุคลิกคุณพ่อก็เลยอ๋อ เข้าใจ สิ่งที่คุณรุจน์พูดว่าอ๋อเป็นแบบนี้เอง เหมือนคุณพ่อเรานี่เอง ก็เลยเล่นได้ ไม่งั้นก็โดนด่าเละเลย แต่ยากตรงที่ว่าการแสดงภาพยนตร์ชีวิตต่างกันตรงที่ว่าเขากำหนดการเดิน จังหวะการพูด พูดคำนี้แล้วจะต้องเหลียวไปทางนี้ ต้องหันอย่างงั้นอย่างงี้ซึ่งคุณรุจน์เป็นคนกำหนด บล็อกเราไว้ตาม พอบล็อกไปบล็อกมาเหมือนหุ่นยนต์ งง ไปหมด เราก็ยังไม่ใหม่ๆ ด้วย เล่นยากมาก แล้วละครกับหนังก็ต่างกันมาก หนังวันหนึ่งถ่าย 3 ซีน ถือว่าเก่งมาก ส่วนละครก็ถ่ายวันหนึ่ง 10 กว่าซีน ต่างกันเยอะ ทุกคัทที่เราจำเราอยู่ในท่าไหน เวลาเขาเปลี่ยนมุมไปแล้วเราจะได้ช่วยเขาว่าเราจะต้องเล่นระยะนี้นะ เพราะเดี๋ยวถ้าเขาเอาไปตัดต่อจะได้ไม่กระโดด อ้าวตอนแรกมืออยู่แบบนี้แต่พอถ่ายอีกทีมือไปอีกทางหนึ่งซึ่งไม่ได้ ต้องรู้และคอนตินิวตัวเองพยายามจำ ซึ่งสมัยก่อนถ่ายวันนี้อีก 3 วันถึงจะได้ดูว่าที่เราเล่นไปเป็นยังไง เพราะกว่าจะเข้าห้องตัดนู่นนั่นนี่ ผิดพลาดก็ต้องไปซ่อมใหม่ถึงต้องมีหลายเทค คือต่อให้เล่นดียังไงก็ต้องเทคเผื่อไว้แล้วก็จะต้อง Insert มากๆ Insert เพื่อกันข้อผิดพลาด ถ้าผิดตรงนี้ก็จะได้เอาหน้านี้มาใส่ ก็ดีเป็นการคอนตินิว
l ยุคโด่งดัง เปรี้ยงปร้าง “บ้านทรายทอง”
ไม่ถึงขนาดนั้น เพราะผมต้องถ่ายภาคต่อซึ่งคุณรุจน์เขาไม่ได้บอกใคร เพียงแต่บอกว่าห้ามผมไปพูดกับใครนะ เพราะนี่คือความลับ บ้านพิษณุโลกที่เรายืมถ่าย ถ้าคุณรุจน์ไม่ได้เขียนบทเอง เราก็ไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาค 2 ล่วงหน้า นี่เขาเขียนบทเอง ก็เลยได้แอบถ่ายล่วงหน้า เพราะเดี๋ยวคราวหน้า จะได้ไม่ต้องมายืมบ้านละ เจาะถ่ายฉากสำคัญๆ ไว้หมดเลย (เหมือนอารุจน์เล็งเห็นหรือเปล่าว่าหนังจะต้องดังแน่นอน?) คือคุณก.สุรางคนางค์ เจ้าของบทประพันธ์ วันนั้นทำเสร็จก็มาขอดู แกก็บอกว่านี่แหละคือพระเอก- นางเอก ในจินตนาการ เรื่องราวก็ใช้ได้ ส่วนมากที่ไม่ยอมให้คนเอาไปทำก็เพราะว่าไปเปลี่ยนบทให้เสียแต่คุณรุจน์ทำดีทำได้ตรงตามเป้าหมายที่เขาชอบ
l ผลงานหลังจากนั้น
ก็เล่นหนังมาเรื่อยๆ “เคหาสน์สีแดง” “คุณหญิงพวงแข” “นางสาวโพระดก” ส่วนใหญ่จะเป็นของคุณก.สุรางคนางค์ แต่มี 2 เรื่องของ คุณก.สุรางคนางค์ที่ผมอยากจะทำ ก็มีเรื่อง “ปิ่นไพร” กับ “กุหลาบแดง”อยากจะทำอยู่ในใจมานานแล้ว ซึ่งไม่เคยสร้างเลยเพราะเขาไม่ให้ใคร แต่ถ้าจะให้เขาก็คงให้ผม แล้วคุณก.เขาสิ้นไปแล้ว ผมเคยเอาบทประพันธ์ของคุณก.สุรางคนางค์ มาสร้างเรื่อง “หนึ่งแรงอธิษฐาน” ก็เอาเปิ้ลมาเล่น ผมก็เป็นผู้กำกับ
l ประสบการณ์จากการสร้าง และ เล่นภาพยนตร์
เล่นมา 100 กว่าเรื่อง ประทับใจทุกเรื่อง เพราะผมก็ตั้งใจเล่นทุกเรื่อง นอกจากบางเรื่องที่เขาไม่ตั้งใจสร้างแล้วก็สร้างไม่จบก็มีเยอะจะด้วยเหตุหรือความจำเป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่างเรื่อง “ไทรโศก” คนสร้างเขาก็สร้าง ไม่ได้จ่ายค่าตัว ผมก็ออกให้พอถ่ายจบเอาหนังมาให้ผม ผมก็บอกว่า ผมไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ผมฉายดูก็ไม่ได้ ผมก็บอกว่าเอาไปฉายแล้วเอาเงินมาให้ผมเถอะ เขาก็เอาไปขาย กลายเป็นว่าคนที่เป็นซื้อก็กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างไป แล้วเงินก็ไม่ได้คืน เล่นเองด้วย ค่าตัวก็ไม่ได้ แถมควักจ่ายให้คนอื่นอีก
l หันมาเอาดีด้านการเล่นละครบ้าง
มีอยู่ช่วงหนึ่งผมเบื่อหนีจากวงการไป ติดต่อไม่ได้ แล้วก็กลับมาเล่นละครของช่อง 7 ปีพ.ศ. 2528“มัสยา” (ช่วงที่หยุดและหายจากวงการไป) ประมาณ 10 ปีได้ ตอนนั้นก็ไปทำไร่ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายหนีความวุ่นวายไป เบื่ออ่ะ มันไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง วันหนึ่งก็มีแต่คนโน้นลากไปคนนี้ลากมา ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ลูกเต้าก็ต้องปิดบังใครรู้ไม่ได้ว่ามีลูก เมีย และลูกก็ต้องแยกย้ายกันอยู่ ครอบครัวก็ต้องแตกแยก ( ชีวิตครอบครัวตอนนี้?) มีลูกกับภรรยาคนแรก 1 คน ตอนนี้ก็อยู่กับแฟนที่สระบุรีมีหมา 13 ตัว อายุห่างกัน 10 กว่าปี
l คู่ขวัญในละคร
ไม่มีคู่ คือพอมาเล่นละครไม่ได้เป็นพระเอกแล้ว แต่จะเป็นตัวเอกหรือตัวสำคัญของเรื่อง หรือเป็นตัวเริ่มดำเนินเรื่อง อย่างเรื่อง “ญาติกา” “ศิลามณี”เป็น เจ้าแสนหลวง ผู้สำเร็จราชการ เจ้าเมืองเจ้ากษัตริย์ เป็นทุกอย่างสารพัด เป็นทุกอย่าง
l นางเอกที่ร่วมงานด้วยประทับใจใครเป็นพิเศษ
“เปิ้ล-จารุณี” เพราะร่วมงานด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ เปิ้ลเป็นคนที่มีวินัย เข้าใจถึงอกเขาอกเรา เพื่อนนักแสดงด้วยกัน คนอื่นก็จะเป็นเอาแต่ใจตัวซะมากกว่า ต้องพะเน้าพะนอเอาแต่ใจส่วนมากจะเป็นแบบนั้น ส่วนมากที่เห็นมานะ
l ผู้กำกับที่ประทับใจ
ทุกคน เพราะว่าเราเสียอีกที่ต้องน้อมเข้าไปหาผู้กำกับ เข้าไปรู้จิตใจของผู้กำกับ ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร เขาต้องการอะไรแค่ไหน เหมือนเราปรุงก๋วยเตี๋ยว เขาต้องการรุนแรงหน่อย เอ๊ะหรืออันนี้ต้องออกเปรี้ยวหน่อย หรือน่าจะให้มันออกตลกๆ หน่อยๆ อารมณ์พวกนี้มันละเอียดอ่อนตามผู้กำกับ เพราะว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งในฉากนั้นไม่ใช่คนคนเดียว มีคนอื่นด้วยมันก็ต้องกลมกลืนกัน ดาราก็เป็นเหมือนอาหารที่พร้อมจะให้ผู้กำกับที่เปรียบเสมือนพ่อครัวปรุงแต่ง เราจะไปถือผู้กำกับว่าเป็นรุ่นน้อง รุ่นเด็กกว่า ไม่ใช่
l หลากหลายบทบาทที่ได้รับ
เราไม่ยึดติดว่าเราต้องเป็นพระเอก เราจะไปเล่นคู่กับใครก็ได้ ซึ่งตอนนั้นเขาไม่ยอมเล่นกัน แต่เรารับทุกอย่างเลยทำให้เราได้เป็นพระเอกอยู่ได้ไม่นาน คือเราเล่นละครก็อยากจะเล่นทุกบทบาท ผมเคยไปเล่นเป็นผู้ร้ายเรื่อง “พยัคฆ์ร้าย 191” พลิกบทบาท
เลยตอนนั้น ส่วนเรื่องที่ประทับใจมาก เรื่อง “ค่าน้ำนม”เป็นเรื่องที่โดนตำหนิว่า เล่นหนังอยู่ดีๆ ไปโกนหัวทำไมเพราะในเรื่อง ค่าน้ำนมในเรื่องต้องบวช ก็เลยถือโอกาสบวชจริงเลย ซึ้งในบทมาก ตอนที่บวชเรื่องนี้หนังที่เขาติดต่อมาทั้งหมด 10 กว่าเรื่อง ถอนออกไป 9 เรื่อง หัวล้านแล้วต้องใส่วิกเขาไม่เอา เขาบอกว่าคนที่ดวงดีๆ แล้วไปโกนหัวเนี่ยทำให้เสีย แต่ถ้าคนดวงไม่ดีแล้วโกนหัวดี ตอนนั้นก็กำลังดังอยู่จริงๆ พอมาโกนหัวปุ๊บดับเลย ก็ไม่รู้นะ จองคิวไว้แล้วขอคิวไว้ล่ะยกเลิกหมดเลย (เสียใจไหมคะ) ไม่เสียใจนะ เราจะเสียใจไปทำไมเราตัดสินใจและเราพอใจที่จะทำหรือจะเรียกว่าเป็นช่วงที่เราอิ่มตัวอยู่แล้ว ไม่สนใจ ก็ปล่อยแล้วแต่เรื่อยๆ
l วัยที่เปลี่ยนไปเมื่อหวนกลับเข้าวงการอีกครั้ง
ผมเข้ามาแสดงหนัง ละคร ตอนอายุ 29 ปี ก็ค่อนข้างเข้ามาช้าและอายุเริ่มมากล่ะ แต่มันตามบทตามเนื้อเรื่องนะ บทชายกลางต้องเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้นจริงตามท้องเรื่องพอดีเป๊ะ หน้าตาอะไรหลายๆ อย่าง เปิ้ล เรียนมัธยมปลาย ซึ่งชีวิตจริงเขาก็เรียนมัธยมปลายอยู่ แล้วเวลามากองถ่ายผมก็ติว สอนหนังสือให้เขาจะไปสอบมันพอดีอ่ะ เวลาแต่งตัวไพรเวทเปิ้ลกับผมก็จะพอดีกันแต่เวลาคนอื่นเอามาทำพอแต่งตัวไพรเวทปุ๊บ มันแก่กว่าผู้ชาย
l การก้าวเข้าวงการบันเทิงเป็นเรื่อง บังเอิญ หรือ ตั้งใจ
ตั้งใจ อยากเข้า พยายามจะเข้า เคยไปสมัครกับ “คุณเปี๊ยก โปสเตอร์” แล้วก็ไม่ได้ เขาไม่รับ ตอนนั้นเขาทำเรื่อง “วัยอลวน” ผมก็ไปลงชื่อที่หนองแขมแต่ก็ไม่ติด เป็น “คุณไพโรจน์ สังวริบุตร” ที่ได้เล่น พอเจตน์ ก็หายไป ไม่ได้สนใจ ไปทำงานของผม แล้วก็จะสร้างหนังเอง ให้เขาเขียนบทให้ กำลังจะสร้างหนังเองแล้วคนที่เขาจะทำหนังให้กับผมเขาก็เอาไปฝากให้กับคุณแดง ก็เลยได้เล่น “รอยลิขิต”
l หนังที่สร้างเอง
“แรงอธิษฐาน” มี “อุ้ย-เกรียงไกร” กับ
“เปิ้ล-จารุณี” นำแสดง ก็ถือว่าโอเคได้นิดหน่อย 70% เรื่องเดียวแล้วก็จบเลย คุณรุจน์เขาอยากให้ทำ หลังๆ เลยขอเป็นแค่นักแสดงพอละ เหมือนมันไม่ใช่ตัวเราก็เลยไม่อยากจะทำ คือถ้าเราต้องไปเป็นผู้กำกับ แล้วเราเป็นคนอารมณ์ร้อนหรือถ้ามีอารมณ์ที่ไม่ดีก็จะโมโหก็เลยตั้งใจไว้ว่าต่อไปนี้เป็นนักแสดงดีกว่า อย่าไปเป็นเป็นผู้กำกับเลย แต่รู้และสนใจ ดูหนังนี่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องนะ หนังฝรั่งนั่งดูเนี่ยผมไม่ได้รู้ว่าเรื่องอะไรต้องถามเพื่อนว่าเรื่องมันถึงไหนล่ะอะไรยังไง แต่ผมดูฉาก ดูแสง ดูการวางอะไรยังไง ชอบดูแบบนั้นมากกว่า แต่จะดูตัวละครเรื่องราวบ้างเป็นบางช็อต โอ้โห! เรื่องนี้เป็นอย่างงี้นะ แสงมันจะออกมาแบบนี้ ศึกษาชอบดูพวกนี้มากกว่า
l การทำงานสมัยก่อนและสมัยนี้
เดี๋ยวนี้ทำงานสะดวกขึ้นเยอะ ง่ายขึ้นเพราะว่าด้วยเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องก็ดีอุปกรณ์การถ่าย มุมต่างๆ ก็ช่วยให้มันง่ายขึ้นเมื่อก่อนต้องใช้จำเอาอย่างเดียว แต่ว่ามันก็สะดวกที่ว่าตะโกนได้เลยไม่ต้องใช้เสียงไม่ต้องไปท่องบทนะ เขาบอกมาเราก็พูดตาม เขาจะใช้เสียงพากย์ แต่สมัยนี้ก็ต้องท่องบทเองอะไรเอง ซึ่งก็ไม่ยากนะ คือพอเรารู้เรื่องเข้าใจเรื่องแล้วมันก็ไปเป็นคำที่เราต้องพูดล่ะ เป็นคำของเรา ในเมื่อมันเป็นคำของเรามันก็ง่าย พอเข้าใจเนื้อเรื่องก็พูดไป อาจจะมีลูกเล่นนิดหน่อยก็ดีซะอีก
l วางอนาคตตัวเองในวงการ
ไม่มีอนาคต แค่อยากให้มีงานแสดงไปเรื่อยๆ เพราะว่านักแสดงก็คือพ่อค้า ขายตัวเองขายความสามารถในตัวแล้วถ้าเราไม่ขายก็ไม่มีรายได้ก็คือจบ ปัญหาจะเกิดถ้าไม่มีงานปุ๊บหัวใจก็จะทำงานไม่ปกติ พอหัวใจทำงานไม่ปกติโรคก็จะมารุม แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาตัว มันก็เลยเป็นเรื่องที่น่าสังเวชแล้วก็น่าสงสารว่าถ้าเราจะไปเข้าใจ สมมุติว่าไม่มีประกันสังคม ไม่มีบำนาญ บางคนเข้าใจว่าดารารวย มันไม่ใช่ อย่าไปมองผิวเผิน อย่างไอ้เสื้อที่ใส่เนี่ยก็ของกองถ่ายเขา สมัยก่อนสิเสื้อผ้าของผมเอามาเอง
เฮ้ยมีเสื้อผ้ามา 5 ชุดนะ เราต้องเตรียมไป หาเองทำเองเมื่อก่อนอย่างงี้จริงๆ แต่งหน้า ทำผม มีกระเป๋าเอง แต่เดี๋ยวนี้สบายมาถึงกองถ่ายเขาก็มีให้เสร็จ เมื่อก่อนต้องคอยดูแลทรงผมอะไรๆ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้ว
l สุขภาพร่างกายตอนนี้
ปกติ ไม่มีอะไร แต่ช่วงนี้น้ำหนักก็ลดลงไปเฉยๆ อาอายุ 66 ปี ก็ยังจะยืนยันว่าจะยังคงเล่นหนังเล่นละครสร้างสรรค์ผลงานต่อไปจนกว่าจะหมดแรง ใครเรียกใช้บริการก็ไปหมดเล่นได้ทุกที่กลัวจะไม่เรียก มากน้อยรับหมด แต่ก็ให้คุ้มนะ
l ทุกวันนี้มีอะไรต้องห่วงหรือกังวลไหม
หมา 13 ตัว กลัวหมาไม่มีข้าวกิน(หัวเราะ) หรือถ้ามีใครคนอื่นเอาไปเลี้ยงแล้วจะไม่รักมันเหมือนที่เรารักมัน แฟนเขาก็ชอบ ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่สระบุรี อยู่กับธรรมชาติ หลังบ้านเป็นบึงน้ำ อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เมื่อก่อนเคยเลี้ยงวัวอยู่สระบุรี ทำฟาร์มวัวแต่เลี้ยงไม่ไหวก็เลยเลิก ถวายให้ในหลวงท่านไปแล้วก็เลยหาซื้อบ้านอยู่บั้นปลายชีวิต แต่ปัญหาคือไม่มีเงินผ่อนมันจะยึด มันไม่มีหนังละครเล่น และกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันก็คือ ตีห้าจะตื่นมาฟังวิทยุ รายการเปิดใจใส่ธรรมะ AM 594 ถึงหกโมงเช้าขาดไม่ได้เลยคือฟังธรรมะ เพราะว่าเขาจะเปิดโอกาสให้เราพูดคุยซักถามได้ อะไรที่เราไม่รู้เราก็โทร.ไปผมเคยโทร.ไปนะเขาจะสอนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน อยากให้ลองฟังดูครับอาจารย์สัญชัย พรหมฤาษี แล้วหลังจากนั้นก็มานั่งกินกาแฟโปรยข้าวให้นกตามรั้วตามเสาบ้าน แล้วนกพิราบจะมากิน
l ฝากแง่คิดให้ลูกหลาน
ก็ให้ตั้งใจทำงานอาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่บริสุทธิ์ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ขอให้ซื่อสัตย์แล้วเราก็จะสบายเท่านั้นเอง
สุภาษิตที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน”คือ “การมีความซื่อสัตย์จะทำให้คนเชื่อใจ ไม่มีวันอดตายแต่หากเป็นคนที่มีนิสัยคดโกง แม้จะมีคนให้ผลประโยชน์แต่เมื่อไปโกงแล้วเขาจับได้ ก็จะไม่คบค้าสมาคมด้วย ในที่สุดก็จะทุกข์ยาก” นี่แหละความจริงที่ทุกคนควรพึงตระหนักและมีไว้ดำรงชีพ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี