ขึ้นชื่อว่าเป็นงานในวงการบันเทิง คงเป็นหนึ่งในอาชีพที่หลายคนอยากจะก้าวเข้ามาทำ เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ทำให้ชีวิตเราอยู่อย่างสุขสบายได้ แต่สำหรับ บี-ปิติภัทร์ สารสิน เธอกลับเลือกที่จะเลิกงานในวงการบันเทิงเพื่อไป
เริ่มต้นงานประจำ นั่งทำงานออฟฟิศ แม้ในเวลานั้นเธอกำลังได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยก็ตาม ด้วยเหตุผลอะไร ทำไมเธอถึงตัดสินใจเช่นนั้น “สตาร์เรทโทร” สัปดาห์นี้ ได้พบกับเธอที่กำลังสนุกกับอาชีพใหม่จึงไม่พลาดที่จะล้วงคำตอบของเธอมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
ตารางชีวิต ณ ปัจจุบัน
ตอนนี้นอกจากทำหน้าที่แม่บ้านแล้วก็มีธุรกิจเล็กๆ คือขายน้ำพริกแม่ลูกอ่อนค่ะทำกับเอ๋-พรทิพย์ เป็นน้ำพริกโฮมเมด เริ่มมาจากการที่เรากินแล้วอร่อย เราทำกันเองแล้วกินเองอร่อย เลยอยากจะให้คนอื่นได้กินด้วย แล้วกระแสตอบรับดีค่ะ บีก็พยายามทำน้ำพริกอื่นออกมา แต่ก็สู้ออริจินัล (ดั้งเดิม) ไม่ได้ (การทำน้ำพริกขายกับงานประจำที่วางมือ?) คนละแบบกันนะคะ สำหรับบีอาจจะดูไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะพอบีเลิกจากการเป็นนักแสดง บีก็มาทำงานที่เป็นงานประจำ บีทำอยู่เมืองไทยประกันชีวิต ดูแลลูกค้า ไม่ได้เป็นเซลส์แต่อยู่ฝ่าย CRM ซึ่งเราก็จะพบเจอคนเยอะมาก เพราะเป็นสินค้าแมส(เป็นที่สนใจในวงกว้าง) เพราะฉะนั้นเราก็พอจะเข้าใจลูกค้าอยู่พอมาเจอแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้ยุ่งยาก แต่หลังจากที่มีลูก ก็หยุดทำตรงนั้นไปค่ะ
หันหลังให้วงการ
คนอื่นมองยังไงบีไม่รู้นะ แต่ว่าในความรู้สึกของบี บีแค่รู้สึกว่าชีวิตคนเรามีให้เราเลือกอยู่เสมอ มันอาจจะอยู่ในเวลาที่ไม่ได้เหมาะเจาะมาก แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างจะลำบาก ซึ่งการเลือกเลิกเป็นนักแสดงของบีก็เพราะว่าตั้งแต่เรียนจบมา บีไม่ได้ทำอาชีพอะไรเลย นอกจากการเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย..เราจะยังไงดี เราจะยังคงทำอาชีพนี้ต่อไป เป็นดารา แล้วเขาอาจจะลดบทบาทเราไปเรื่อยๆ ถ้าถึงวันหนึ่ง ที่เราไม่มีงานทำแล้ว เราจะทำอะไรล่ะ หรือว่าเราจะหยุดไปตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่เรายังพอมีชื่อเสียงอยู่ แล้วก็ไปหางานทำ งานที่เราก็ยังพอจะเลือกทำได้ เพราะว่าเราก็ยังมีชื่อเสียงอยู่ดีกว่าไหม บีคิดอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นจนกระทั่งเล่นละครเรื่องสุดท้าย เรื่อง “ลอดลายมังกร” ของเอ็กแซ็กท์ และเป็นช่วงเวลาที่บีคบกับพี่ดุ๋ง (พาที สารสิน-สามี) แล้วบีก็ปรึกษาเขา ซึ่งเขาจะเป็นคนที่แบบ เฮ้ย..ยูทำได้ยูทำได้นะ คือยูสามารถทำงานประจำ งานที่เป็นแบบเรียลจ๊อบได้อยู่แล้ว เพราะตอนนั้นบีไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้ ด้วยเราไม่เคยทำอะไรเลย แต่เคยมีคนบอกเสมอว่า คนเป็นดาราจะทำงานประจำไม่ไหวหรอก เพราะว่าคนละแบบกัน โน่นนั่นนี่ บีก็ไม่มั่นใจสิ กลัว แต่พอมาได้ความมั่นใจจากพี่ดุ๋ง บีบอกตัวเองเลยนะว่าละครเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายสำหรับบีแล้วหลังจากนั้นก็ไปสมัครงานที่เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นงานแรกในชีวิต แน่นอนอยู่แล้วเงินเดือนเริ่มต้นบีดีหน่อย อย่างเมื่อก่อนเงินเดือนขั้นต่ำ จบปริญญาตรีก็จะหมื่นกว่าบาท แต่บีเริ่มทำงานตอนที่มีชื่อเสียงอยู่บีก็สามารถเรียกเงินเดือนได้ 4-5 หมื่นบาท ก็ยังโอเค แต่ถ้าเงินเท่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นดาราต่อเดือน เราก็ต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะ ปรับตัวทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องของการใช้ชีวิต โอ้ยหลายๆ อย่างมากช่วงแรกๆ ก็ต้องปรับตัวและก็เหนื่อยเหมือนกันนะ
งานออฟฟิศ คือ การเริ่มต้น
สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ อุ้ย!ทำไมจะต้องมาทำแบบนี้ เหนื่อยจะตาย แต่สำหรับบีบีอยากจะมีอาชีพที่เป็นอาชีพจริงจัง อยากมีเรซูเม่ที่เขียนว่าเป็นอาชีพอะไร ตำแหน่งอะไร บีอยากกรอกตรงช่องนั้นให้มันชัดเจนไปเลยว่าเป็นอาชีพนี้นะตำแหน่งอะไรก็ว่าไป บีโอเคกว่า แล้วอย่างที่บีบอกว่าบีเริ่มต้นการทำงานเมื่ออายุ 20 กว่าๆ จนเกือบจะ30 ในขณะที่คนอื่นเริ่มต้นการทำงานเมื่อ 22-23 คนที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรี ถ้าวันหนึ่งบีต้องไปเป็นลูกน้องคนที่เขาอายุน้อยกว่า แล้วคนที่รับไม่ได้เอง ก็คือตัวบีเอง เพราะฉะนั้นคนอื่นเขาก็ไปตามสเต็ปเขา เรียนจบปริญญาตรี ทำงาน แล้วตำแหน่งเขาก็ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่สำหรับบีต้องวิ่ง บีจะต้องทำยังไงก็ได้ให้บีเป็นหัวหน้าคนที่เป็นรุ่นน้องๆ กว่า
อาชีพดาราต่อยอดสู่งานประจำ
ดีมากๆ เลยค่ะ เพราะเหมือนเป็นประตูที่เปิดให้ทุกคนอยากที่จะเข้ามาหาเรา คนอยากจะดีล(ติดต่อ)งานด้วย อ๋อ…คนนี้เหรอมาๆ โอเคๆ แต่พอถึงการทำงานจริงๆ สิ่งที่จะวัดผลการทำงานของเราก็คือ เนื้องานจริงๆ เพราะฉะนั้นบีก็ทำของบีมาเรื่อยๆ วิ่งๆ คนอื่นก็เดินๆ มา บีก็ต้องวิ่งๆๆ ตอนนั้นทำตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ แต่มีคนเดียวในฝ่ายทำทุกหน้าที่ ก็ทำอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ประมาณ 9 เดือน แล้วก็ย้ายไปทำที่เมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งอยู่ที่โน่นก็เหมือนกัน คนอื่นเขาก็เดินทำปกติ แต่บีต้องวิ่ง ต้องสร้างผลงาน เหมือนเริ่มต้นใหม่อีกที ก็ทำในตำแหน่งผู้อำนวยการ ไวท์ เพรสซิเดนท์ แฮปปี้ไหม? บีตอบได้เลยว่าแฮปปี้กับการทำงานประจำมากๆ และบีก็รู้สึกว่าการเลือกการทำงานของบีเป็นสิ่งที่เราเลือกถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่ามันอาจจะเหนื่อยและหนักในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเราตั้งใจทำกับมันจริงๆ และเราก็มั่นใจว่าเราจะทำมันได้ บีว่ามันโอเค (คิดถึงการแสดง งานในวงการไหม?) ก็คิดถึงค่ะ แต่ก็อย่างที่บอก คนเราไม่ได้สิ่งที่ตัวเองชอบไปซะทุกอย่าง มีคนมาสัมภาษณ์ก็คิดถึงนะ แต่คือเราคิดว่าจะไม่แฟร์กับบริษัทที่บีทำอยู่ ถ้าบีไปเล่นละครหรือทำอย่างอื่นที่นอกเหนือจากงานประจำ เขาอุตส่าห์ให้บีรับผิดชอบหน้าที่อย่างงี้แล้ว แต่บีจะต้องแบ่งส่วนหนึ่งไปทำงานการแสดงเพื่ออะไร เพื่อตัวเอง มันไม่แฟร์กับบริษัทนะ บีมองแบบนั้น หรือถ้าวันหนึ่งบริษัทบอกว่า เฮ้ยยูไปทำเถอะ เพื่อดึงชื่อเสียงบริษัท อันนั้นโอเค เราทำ แล้วอีกอย่างหนึ่งบีว่าเดี๋ยวนี้มีดาราเกิดใหม่เยอะมากๆ ให้บีไปโป๊เหรอ บีก็ไม่ไหวแล้วนะ (หัวเราะ) ให้บีไปเล่นเป็นแม่เหรอ แล้วตอนนั้นบีก็ยังไม่ได้แต่งงานนะ บีก็เลยคิดว่า หยุดแค่นี้ดีกว่า (มีผู้จัดติดต่อบ้างไหม?) มีค่ะเยอะเลย แต่เราก็ปฏิเสธเขาไปว่าไม่สะดวกค่ะ บังเอิญทำงานประจำแล้ว
ขุมทรัพย์จากวงการบันเทิง
วงการบันเทิงให้อะไรกับบีเยอะมาก ให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมาก สมมุติว่าบีทำงานตั้งแต่อายุ 15 การทำงานในวงการบันเทิงให้ความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเด็กอายุ 15 ควรจะได้ บีจะกินอะไร ซื้ออะไร บีสามารถที่จะซื้อได้เพราะบีมีเงินของบีเอง บีซื้อบ้านได้ ซื้อรถได้ บีว่าวงการบันเทิงให้ประโยชน์กับบีเยอะมาก นั่นคืออย่างแรก อย่างที่สองคือให้ประสบการณ์ในเรื่องของผู้คน รู้ว่าคนนี้เป็นยังไง คนนั้นเป็นแบบไหน บีว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มมาก
ผลงานที่ชื่นชอบของตัวเอง
บีชอบเป็นพิธีกรมากกว่าการเป็นนักแสดงนะเอาจริงๆ บีชอบงานวีเจ การเล่นละครของบีมาจากการฟลุคมากกว่า ช่วงแรกๆ ที่ทำก็เริ่มจากการเป็นวีเจมาก่อน ทำพิธีกรรายการเพลงอยู่ที่ RS และบีก็มองว่า บีทำรายการเพลงเยอะมากๆ บีก็อยากจะทำรายการแบบอื่นบ้าง แล้วส่วนใหญ่ที่เขาเอาคนมาทำพิธีกรเขาก็จะเอาพวกดารา บีก็เลยคิดว่างั้นเราต้องไปเล่นละครเพื่อเป็นดาราแล้วล่ะ เพื่อที่จะให้เขาเลือกบี ได้มาทำอย่างอื่นนอกจากการเป็นแค่พีธีกรรายการเพลงบ้าง ซึ่งหลังจากนั้นกลายเป็นว่าคนจำบีได้ในฐานะดารานักแสดงมากกว่า แต่บีไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะในขณะที่บีเป็นดารา บีก็ยังมีงานพิธีกรอยู่บ้างก็โอเค
ชีวิตเดินทางมาถึงทางเลือกอีกครั้ง
โอ้โหตอนนั้นอาชีพกำลังแบบว่าโอเคเลยนะ การงานก็รุ่งเลย แต่พอถึงเวลามีลูก บวกกับบีก็มีลูกตอนอายุเยอะแล้ว ก็เลยอยากจะดูแลเขาอย่างดี อย่าง “น้องดีดี” (เด็กชายภาพีร์ สารสิน) ตอนแรกเขาเป็นแฝด แล้วอยู่ๆ น้องอีกคนเขาก็หยุดหายใจไป
บีก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะบีก็ไม่แน่ใจว่าบีใช้งานตัวเองเยอะเกินไปหรือเปล่า เราก็ทำงานไปโดยที่เราไม่ได้รู้ ก็เลยรู้สึกว่าบีต้องดูแลลูกบีให้ดี บีก็เลยคิดว่าต้องพักงานตรงนั้นไว้ก่อน ถามว่ารักการทำงานไหม รักมาก รักบริษัทไหม รักมาก แต่ชีวิตเราก็ต้องเลือกไง ก็เลยเลือกที่จะมาเป็นแม่บ้าน บทบาทก็เปลี่ยนไปเลย เหมือนเขียนหนังสือเล่มใหม่ เพราะว่าไม่เคยมีลูก ไม่เคยเป็นแม่บ้าน แล้วจะทำยังไงล่ะ ชีวิตมันว่าง เลยต้องหากิจกรรมทำ ไปเล่นโยคะ ออกกำลังกาย เตรียมตัวทำโน่นทำนี่เพื่อรอรับลูกคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา เมื่อวันหนึ่งลูกเกิดมาก็เหมือนเป็นหนังสือเล่มใหม่ที่ต้องอ่านและเรียนรู้ไปพร้อมกับอีกหนึ่งชีวิต คราวนี้ก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ การเลี้ยงลูก เวลาที่เราให้ลูกเต็มที่กับเวลาที่เราไปทำงานแล้วทิ้งลูกอยู่กับใครก็ตามมันต่างกันมากนะ เวลาเราอยู่กับลูกเราได้เห็นพัฒนาการของลูกตลอดเวลา
สนุกที่ได้เรียนรู้
คนแรกนะ ลูกเพิ่งเกิดมา เราก็ไม่เคยมีลูก เป็นประสบการณ์ที่ต่างคนต่างเรียนรู้กัน เหนื่อยไหมก็มีบ้างแต่ไม่ได้หนัก แฮปปี้ มีความสุขที่ได้เลี้ยงลูก ได้เห็นพัฒนาการของเขา คือนึกออกไหม เขาอยู่ในท้องเราตั้งนาน พอเขาออกมาเป็นคนเราเห็นแล้วมันน่ารักอ่ะ เราได้เห็นเขาทุกวัน เวลาที่เขาทำอะไรใหม่ๆ เราก็จะรู้สึกว่า เออ ตื่นเต้นกับเขานะ แล้วบอกกับตัวเองเสมออยู่แล้วว่า จะเป็นคุณแม่ที่มีความสุข (แล้วตอนนี้ก็ท้องอีกคน?) ใช่ค่ะ เหมือนเป็นการสะกดจิตตัวเอง และบอกตัวเองไว้เสมอว่า เราจะเป็นคุณแม่ที่มีความสุข เราจะเป็นคุณแม่ที่ไม่รู้สึกเหนื่อยกับการเลี้ยงลูก สนุก แฮปปี้กับการท้อง เพราะฉะนั้นลูกคนนี้ก็เหมือนเป็นลูกคนที่เฝ้ารอคอย ตั้งใจอยากจะมี และเหตุผลเดียวเลยคือ อยากให้ดีดีมีเพื่อน มีน้อง คนที่จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเขาไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว ตั้งใจไว้แบบนั้น คนนี้ก็เป็นผู้หญิงค่ะ แล้วก็คงปิดอู่ละ เนื่องด้วยหลายๆ อย่าง อายุด้วย เดี๋ยวเลี้ยงไม่ไหว กว่าจะเห็นลูกประสบความสำเร็จในชีวิตพ่อแม่ก็คงจะแก่มากๆ แล้ว (หัวเราะ)
การเลี้ยงลูกสไตล์แม่บี
ไม่เข้มงวด แต่แอบดุนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่โอ้โห..จะต้องเข้มงวดทุกอย่าง อะไรที่ปล่อยผ่านได้ ก็คือปล่อยผ่านไป ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กเอาแต่ใจ เพราะด้วยความที่ว่าพี่ดุ๋งก็จะเป็นคนตามใจ แล้วไหนจะ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ลุง ป้า น้า อา ทุกคนก็จะต้องตามใจหลานอยู่แล้ว บวกกับคุณพ่อก็จะเป็นคนสปอยด์ด้วย เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีใครดุ เลยกลายเป็นแม่ แต่ก็ไม่ถึงกับดุมาก คือคอยห้ามคอยเตือนเขา ซึ่งน้องดีดีจะติดคุณพ่อมาก อาจจะเป็นเพราะที่บ้านมีแต่ผู้หญิง แล้วแบบคุณพ่อเป็นผู้ชาย คุณพ่อเล่นสนุก เขาก็จะชอบอยู่กับคุณพ่อ ทำทุกอย่างที่พ่อทำ แต่ถ้าสุดท้ายถ้าหิวความต้องการพื้นฐานของเขาก็จะเป็นบีมากกว่า แต่กับบีคงเล่นไม่สนุกเท่าพ่อ
ที่มาของชื่อน้องดีดี
มีสามเหตุผลคือ 1.พ่อชื่อ ดุ๋ง แม่ชื่อ บี ก็กลายเป็น “ดี” 2.DD เป็นตัวย่อของ นกแอร์ และ 3.ดีดี คือ เป็นการบอกเขาว่าให้เขาเป็นคนดีนะ เป็นการย้ำเตือนเขา ดีดีนะ
ทางออกยามมีเรื่องเครียด
เมื่อก่อนก็ร้องไห้ค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งการร้องไห้ก็คือการบำบัดนะ ไม่มีใครเหนื่อยท้อใจแล้วเก็บไว้ๆ คงเป็นโรคประสาทอ่ะ บีเหนื่อยบีท้อใจบีร้องไห้ หลังจากนั้นก็ไปคุยกับคนที่เขาให้กำลังใจเรา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แฟน พ่อแม่ เป็นญาติหรือใครก็ตามที่เขาพร้อม และคอยจะให้กำลังใจเรา แต่ ณ วันนี้เมื่อเป็นแม่คนแล้ว เหนื่อยหรือท้อใจเมื่อไหร่ มองขึ้นมาเห็นหน้าลูกก็หาย คนละแบบนะ เปลี่ยนไปเลย
ดูแลร่างกายให้ผ่องใสยังไงบ้าง
บีว่าอยู่ที่ความคิดนะ ถ้าเรากินคลีน (ของปราศจากสารพิษ) ออกกำลังกายทุกวัน แต่ถ้าไปหมกมุ่นมากเกินไปบีว่าทำยังไงก็ไม่ดีหรอก คือถ้าเราเปลี่ยนความคิดว่า ออกกำลังกายก็โอเค สำคัญคือขอให้คิดแล้วตัวเองมีความสุข คิดบวกเท่านั้นก็โอเคแล้วนะบีว่า ทุกอย่างต้องดีออกมาจากข้างใน ก็มีบ้างที่บางทีรู้สึกว่า อือหือ เหี่ยวเฉา แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาพลิกตัวเองว่าเฮ้ย ไม่ได้เว้ย จะเศร้าไปทำไม หัวเราะดีกว่า
วางอนาคตตัวเองจากนี้ต่อไป
เป็นแม่ที่ดี เป็นภรรยาที่ดี เลี้ยงลูกให้ลูกเป็นคนที่ดีของสังคม ลูกก็ไม่จำเป็นต้อง โอ้โห!!ท็อปที่หนึ่ง แต่แค่เป็นคนดีของสังคม ไม่มีใครมาทำร้าย หรือไม่ไปทำร้ายใคร แค่นั้นเอง ส่วนสามีก็ดูแลเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง นี่คือหน้าที่ของบีตอนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่บีต้องทำและควรจะทำด้วย เพราะบีไม่ได้ทำงานแล้ว บีไม่ได้ต้องการเงินหรืออะไรแล้ว ตอนนี้ก็ดูแลกันไป
มุมหวานของชีวิตสามี-ภรรยา
ไม่ใช่คู่ที่สวีทหวานกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ อยู่กันเป็นทั้งสามีและเพื่อน มีอะไรก็คุยเล่นขำๆ ตลกๆ ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา อยู่บ้านก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ห้องเดียวกัน นั่งเก้าอี้ติดกัน นั่งจับมือกุมมือตลอดเวลา(เรื่องเซอร์ไพรส์?) มีบ้าง คือจริงๆ ไม่ใช่โมเม้นต์ที่หวานอะไรนะ เป็นสิ่งที่เราอยากทำให้เขามีความสุขมากกว่า เพราะเวลาเห็นเขามีความสุขเราก็มีความสุขไปด้วย อย่างล่าสุดวันเกิดที่ผ่านมาบีก็ชวนเพื่อนๆ ที่สนิทเขามาเซอร์ไพรส์วันเกิดให้เขา
ทริปครอบครัว
วางแผนตลอดเวลาค่ะ (หัวเราะ) แม้กระทั่งตอนนี้ที่ท้องอยู่ก็ไปค่ะ แล้วก็ยังคิดว่าถ้าคลอดลูกคนนี้เสร็จ สิ้นปีก็จะไป เพราะว่ายังไงล่ะ ในเมื่อเรามีลูกแล้ว เราจำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องทิ้งความเป็นตัวของตัวเองเหรอ ไม่ใช่นะ มีลูกก็ไปได้นะ ลูกก็ยังอยู่ในไลฟ์สไตล์เราได้เพราะเขาก็โตพอที่จะไปกับเราได้แล้ว ถ้าบีไปเที่ยวโดยที่ไม่มีลูก บีก็ไม่มีความสุข (เคยห่างลูกนานสุดแค่ไหน?) 3 วันค่ะ คือไปอเมริกา แต่สมัยนี้เนอะเราอยู่ในโลกของดิจิตอลมีเทคโนโลยีล้ำมาก แล้วเราก็จะเฟสไทม์คุยกับลูกตลอดเวลาได้ เดี๋ยวนี้วิวัฒนาการก้าวล้ำมาก ก็เลยรู้สึกไม่ห่างหรือหายไปไหน แต่คิดถึงนะ คิดถึงมากด้วยอยากจับ อยากหอม
โอกาสที่จะหวนคืนงานในวงการ
พิธีกร อาจจะมีบ้างแต่ขอให้ลูกโตกว่านี้สักหน่อย เล่นละคร นี่คงไม่ไหว บีอยากจะเลี้ยงลูกมากกว่า บีให้ความสำคัญอันนี้และบีก็ไม่ได้อยากมากถึงขนาดนั้น ถ้าจะให้กลับไปเล่นละครอีกครั้งบีว่าต้องมีบทที่ดีมากๆ เลยแหละที่จะสามารถดึงบีออกจาก
การเลี้ยงลูกได้ หรือ ถ้าเป็นละครเทิดพระเกียรติเพื่อในหลวงอันนี้ก็น่าสนใจ
ส่งต่อประสบการณ์การเป็นนักแสดง
บีก็จะสอนอย่างที่บีเคยประสบพบเจอมาว่า สมมุติว่าวันหนึ่งที่น้องไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์ดังหรือว่าอาจจะเล่นละครที่เป็นตัวไม่ใช่ตัวเปรี้ยงมาก แล้ววันหนึ่งที่นักแสดงเยอะๆ มากขึ้น มันอาจจะถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจว่าเราจะไปทางเลือกไหน เราจะมาทำงานประจำดีหรือเปล่า หรือว่าเราจะยังคงทำอาชีพนี้ต่อไป ถ้าให้บีบอก บีว่าเราควรจะเลือกในช่วงเวลาที่เราสามารถเลือกได้ ดีกว่าให้คนอื่นมาเลือกเรา
ทางเลือกของชีวิตจะเป็นเช่นไร จะดีหรือร้าย จะสุขหรือทุกข์ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา จงใช้สติพิจารณาให้รอบคอบเพื่อการตัดสินใจ แล้วจงยอมรับผลของมันให้ได้ แม้ถ้าวันหนึ่งมันอาจจะไม่ได้สมหวังอย่างที่เราตั้งเป้าเอาไว้ก็ตาม ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ
กระแตน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี