ผลงานการแสดงที่ผ่านมาของ “แอ๊ด” โฉมฉาย ฉัตรวิไล ล้วนเอาอยู่ทุกแนว การันตีฝีมือกับทุกบทบาทที่ได้รับ จนเป็นที่ประจักษ์ของคนดูทุกแขนง กระทั่งวันนี้เข้าวัย 60 แต่ยัง “แจ๋ว” งานไม่เคยลดน้อย ซ้ำงานยังล้นมือ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงต้องขอตามไปดู การเดินทางของชีวิต ที่ตีคู่มากับเส้นทางบันเทิง แบบพันผูก ชนิดที่ว่า ถ้าไม่ได้ทำ อาจเป็นทุกข์เลยทีเดียว!?
เราเริ่มต้นด้วยการถามถึงงานในชีวิตประจำวัน ณ ตอนนี้ “แม่แอ๊ด” บอกไม่มีอะไรมาก มีแต่งานแสดง “ที่กำลังถ่ายทำอยู่มี ไฟล้างไฟ, แผนร้ายลงท้ายว่ารัก, สะใภ้จ้าว, ขอเป็นเจ้าสาวสักครั้งให้ชื่นใจ ทางช่อง 3 ละครที่ออนแอร์อยู่ก็มี น้ำตากามเทพ ของ GTH และที่มีประจำทุกวันอาทิตย์ทางโมเดิร์นไนท์ทีวี บ้านนี้มีรัก ณ บัดนาว ก็มีแค่นี้ ถ่ายละครกันทุกวันแทบจะไม่มีเวลานอนล่ะค่ะ (หัวเราะ)”
l ที่มาของงานล้นมือ
หนึ่งเลยพรรคพวกกันทั้งนั้นค่ะ สองคนที่จะเล่นเป็นย่า ยาย ตอนนี้เหลือน้อยมาก นอกจากแม่ ก็จะมี มี้ (พิศมัย วิไลศักดิ์) เขาเรียกว่าจะเหวี่ยงมือกัน บอกตามตรงว่าแม่ก็อยากพักนะ แต่เหมือนว่า เราก็เห็นใจผู้จัดฯ เขามีบทดีๆ มาให้เราได้เล่น ไม่ใช่แค่เดินผ่าน นั่งเท้าคาง ตำหมากอยู่เฉยๆ ก็เลยต้องเอา รับเล่นไป อีกอย่างหนึ่งคือ แม่เป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ด้วย เรามีความสุขกับการทำงาน ความเหนื่อยความยากก็หายไป อาจจะเพราะอยู่ในวงการมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนพระเจ้าให้เราเกิดมาเพื่ออยู่ตรงนี้ เรารักอาชีพนี้
l การเจียระไนเลือกรับบท
พอมีคนติดต่อมา แม่ก็จะถามว่าคาแร็กเตอร์เป็นยังไง ต้องเรียนตามตรงว่าบทที่เป็นผู้นำของครอบครัวละครไทยก็จะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ คือผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งจะมีนิสัยอย่างไรก็จะต้องถามว่าร้ายหรือดี ตลก หรืออะไรยังไง ด้วยประสบการณ์เราเองด้วย แค่เขาส่งเรื่องย่อมาให้อ่าน เราก็เข้าใจแล้ว ด้วยความที่เราอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ เล่นอะไรเราก็เล่นได้ร้าย ตลก บู๊ เราก็ได้ วิธีการเล่นเราก็จะเลือกเล่นกับทีมงานที่เรารู้สึกว่าโปรดักชั่นเขาดี บทพร้อม
l บทที่ใช่สำหรับโฉมฉาย
ทุกบทบาทเมื่อเราได้รับมาแล้ว ชอบทุกบทค่ะ และด้วยสัญชาตญาณความเป็นนักแสดง เราจะไม่อินกับคาแร็กเตอร์นั้น จนกระทั่งเอากลับบ้าน ไม่ใช่ว่าวันนี้เล่นร้ายทั้งวันเลย บางคนถามแม่ไหวไหม เป็นไงบ้าง ปวดหัวไหม แม่บอกแม่ก็เฉยๆ นะ พอคัท แม่ก็หลุด แต่ในระหว่างที่เราเล่นอยู่ ใครก็อย่ามายุ่งกับเรานะ เราก็จะอินอยู่กับบทนั้นจนกระทั่งฉากนี้เสร็จไป พอคัทก็เป็นตัวของตัวเอง เป็นอย่างงั้น เพราะถ้าเกิดเป็นดาราบางคน สมัยเก่า เคยมีนะ พอเล่นเศร้าๆ ร้องไห้กลับบ้านก็ยังไม่หาย อารมณ์ค้าง ทำไปทำมาก็อยู่ในวงการนี้ไม่ได้ เพราะชีวิตเขาเหมือนจะไม่หลุด พอคัทก็นั่งคอตก เขาอินมากเกินไป แต่แม่ไม่เป็นแบบนั้น คนอื่นแม่ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่งั้นแม่ก็คงอยู่ได้ไม่นานขนาดนี้ แล้วแม่ก็คงเข้าโรงพยาบาลประสาทไปแล้วมั้ง นักแสดงต้องรู้จักที่จะแยกแยะนะ ต้องหลุด ไม่อย่างงั้นเราก็ไม่สามารถที่จะรับบทนั้นบทนี้ต่อไปได้
l ไม่ใช่แค่ละคร แต่ยังเด่นด้านละครเวที
ถ้าช่วงไหนมีละครเวที ก็จะไม่รับละครทีวีเลยค่ะไปทุ่มให้ละครเวทีทั้งหมด โดยเฉพาะละครเวทีของคุณบอย-ถกลเกียรติ เขาจะใช้เวลาซ้อมเยอะ ต้องเอ็กเซอร์ไซส์ ท่องบท ทุกวันก็จะมีการซ้อม ทำกิจกรรมหลายๆ อย่างเพราะฉะนั้นแม่ก็จะทุ่มเทให้ โดยที่แม่จะไม่รับละครทีวี.เลย เป็นเวลา 5-6 เดือน ซึ่งของคุณบอยเขาจะบอกล่วงหน้า ให้เราได้เตรียมตัวเป็นปี ถ้าเขาจะมีสักเรื่องที่จะทำ แต่ ณ เวลานี้ก็คงจะเพลาๆ ละครเวทีไป เพราะว่าหนึ่งด้วยสังขาร เวลาที่เราออนสเตจอยู่บนเวทีแล้วอะไรเกิดขึ้นเราก็ไม่รู้ อย่างแม่รู้ตัวเองไงว่าตัวเองอายุก็เยอะแล้ว เวลาเขาให้เราเล่นก็ไม่ใช่ว่าให้เราเล่นสบายๆ ไง ก็จะให้ทั้งร้อง เต้นเต็มที่ มีพลังอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่าง แม้ว่าเราจะเอ็กเซอร์ไซส์ เวิร์กช็อปจนกระทั่งร่างกายเราแข็งแรง แต่มันจะสดๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เกิดวูบขึ้นมา โดยที่เราต้องแก้ปัญหา ณ เวลานั้น ตอนนั้นทำไงล่ะ(เคยเกิดขึ้นไหมคะ?) มีนะ ขนาดว่าเราซ้อมทุกวัน เราเล่นทุกวัน บางทีเล่นๆ อยู่เหมือนเราแฮงก์ไปเฉยๆ เฮ้ยต่อไปเราต้องพูดอะไรวะเนี่ย มันก็มีนะแบบนี้ แล้วสุดท้ายมันก็แวบเข้ามาด้วยจังหวะ ไทม์มิ่ง ดนตรี หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มาให้คิวเรากลายเป็นเหมือนความเคยชิน บางทีเราคิดว่าเอ๊ะเราจำไม่ได้ แต่พอถึงเวลาต้องพูดมันก็ออกมาเอง เหมือนเราร้องเพลงพอทำนองมาปากก็พูดไปเอง บางทีนั่งว่างๆ แม่ก็จะคิดว่าเฮ้ยถ้า ณ เวลาเราออนสเตจกลางเวที เราจำไม่ได้ล่ะจะทำยังไง ไม่มีใครจะมาแก้ปัญหาหรือช่วยเราได้แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นอกจากจะทำร้ายตัวเราเองแล้ว ยังทำร้ายคนอื่นด้วย ซึ่งก็ไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอกค่ะ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ เราจะทำยังไงเพื่อไม่ให้ท่านผู้ชมรู้
l การเดินทางของชีวิตควบคู่กับวงการบันเทิงที่ผูกพัน
รู้เลยว่าพระเจ้าเบื้องบนเขากำหนดให้เราอยู่ตรงนี้ เพราะเมื่อสมัยที่แม่ยังเด็กๆ อยู่ในวงการบันเทิง เมื่อก่อนมนุษย์เขาไม่ยอมรับกัน เขาหาว่าพวกเราเต้นกินรำกิน เขาดูถูกเรา ในระหว่างที่เขาชื่นชมยินดี เขาดูความบันเทิงจากพวกเรา แต่เขากลับดูถูกเรา ข่าวดี ข่าวร้าย อะไรต่อมิอะไรเราเป็นคนมีชื่อเสียง พอมีอะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะประณาม สมมุตินะ ถ้าเกิดมีใครสักคนเลิกกับสามี แล้วมีสามีใหม่ เป็นดาราที่มีชื่อเสียง คนข้างนอกก็จะประฌาม แต่ลองคิดดูด้วยความยุติธรรมว่าจริงๆ คนข้างนอกเปลี่ยนสามีสามคนยังมีเลย แต่ใครจะไปสนใจเขาล่ะ เขาไม่ใช่คนมีชื่อเสียง วันหนึ่งหนีสามีคนนี้ไปมีชู้ ใครจะเอามาขึ้นหน้าหนึ่ง ถ้าเขาไม่ใช่ดารา แต่พอเป็นดาราที่มีชื่อเสียง ขึ้นหน้าหนึ่ง นอกใจสามีไปมีชู้ หนังสือพิมพ์นี่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย กลายเป็นว่านี่ไงพวกเต้นกินรำกินก็เป็นอย่างงี้แหละ เขาลืมคิดไปว่าเฮ้ย 100 คน จะมีสักกี่คนที่เขามีชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วๆ ไป แต่เผอิญเขาเป็นคนมีชื่อเสียง คนก็เลยเอาเขาไปหยิบยก เอาเขาขึ้นมาตั้ง สังคมนักแสดงเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนนะ ยิ่งถ้ามีข่าวเลิกกับสามี ไปมีสามีใหม่ ทุกคนอยากบอกให้นักข่าวรู้ เพื่อตัวเองจะได้มีชื่อเสียง และไม่เอ้าท์ไปจากวงการ เพื่อตัวเองจะได้เป็นคนที่นักข่าวเอามาเขียนถึงอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้ค่านิยมเป็นแบบนี้ แต่เมื่อก่อนนี้ถ้าใครเป็นแบบนี้นะ ส่วนใหญ่นักข่าวจะพยายามอัปเปหิเอาพวกที่นิสัยไม่ดีหรือมีแบ๊กกราวนด์ที่ไม่ดีออกไป นักข่าวจะช่วยเหลือกัน พยายามคลีนเอาคนที่เป็นนักแสดง เป็นศิลปิน ดารา ที่ประวัติดีๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ กลายเป็นว่าใครมีเรื่องไม่ดียิ่งชอบ แต่สมัยก่อนนะ ดูถูกพวกเราว่าเต้นกินรำกิน สมัยนี้ใครๆ ก็อยากจะเข้าวงการ
l งานชิ้นโบแดง
บอกตามตรงเลยนะคะ ทุกเรื่องที่แม่รับ แม่ทำ แม่ถือว่าเป็นงานชิ้นโบแดงของแม่ตลอด คือจะไม่มีเรื่องไหนที่แม่รู้สึกว่า เออเรื่องนี้นะ เป็นเรื่องที่ทำให้ฉันมีชื่อเสียงมากมาย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ออกมาสัก 10 ตอนจาก 25 ตอน แต่ทุกตอนที่เราออกไป เราก็ต้องทำ และเล่นอย่างสุดความสามารถ ให้เป็นชิ้นโบแดงของเราทุกชิ้น ไม่อย่างงั้นแล้วเราก็คงจะไม่รับเล่น ถ้าเกิดไปเล่น สักแต่ว่าเล่นๆ เดี๋ยวก็ผ่านไป และส่วนใหญ่แม่จะไม่ค่อยรับเชิญด้วย นอกเสียจากว่า รับเชิญแล้วเป็นบทที่มีความหมายจริงๆ เป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง ซึ่งก็น้อยเรื่องที่แม่จะรับ แต่ถ้าบทน้อยจริงๆ แม่ก็จะบอกตรงๆ เลยว่า ถ้าแบบนี้ก็ไม่ต้องมาให้แม่เล่นเลย เพราะเราก็มีความรู้สึกว่าเวลาเราเล่น ก็อยากจะทุ่มเทให้เต็มที่ บางทีตอนสองตอนให้ออกมาตีบทยังไม่ทันแตกเลย ให้ตายก่อนละ ก็ไม่ใช่ หรือนอกจากว่า เขาจะบอกว่านี่ต้องเป็นตัวแม่นะ ต้องคาแร็กเตอร์นี้ เราก็โอเคเล่นให้ เพราฉะนั้นไม่ว่าจะน้อยหรือมาก แม่ก็เรียนตามตรงเลยว่าทุกเรื่องทุกชิ้นคือชิ้นโบแดงของแม่ แม่ไม่เคยคิดว่าอันนี้ช่างมันเถอะ บทน้อยก็เล่นๆ ไป หรือเฮ้ยบริษัทนี้โปรดักชั่นไม่ดีก็เล่นๆ ให้เสร็จๆ ไป แม่ไม่เคย คือเราอยู่มาถึงหัวหงอกขนาดนี้แล้ว จะทำงานอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยๆ เขาไม่รักเรา ก็อย่าให้เขาเกลียดเรา อย่างน้อยๆ เขาไม่ชื่นชมฝีมือเรา ก็อย่าให้เขาถุยน้ำลายใส่ มันเป็นวิสัย เป็นประเพณีการทำงานของแม่ งานทุกชิ้นที่ออกไป เราทุ่มสุดตัวหมด แต่ก็มีข้อแม้ว่าจะออกมาดีถูกใจผู้ชมหรือเปล่านั้นอีกเรื่องหนึ่ง ให้คนดูตัดสินไป
l ยาวิเศษยามท้อใจหรือหมดแรง
ผ่านมาเยอะแล้วนะคะ มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ มีทั้งดีและไม่ดี แม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นมีหลายๆ อย่างที่เราชื่นชม เราเห็นแล้วเรามีความสุข แต่ในเวลาเดียวกันก็มีหลายๆ อย่างที่เราเห็นแล้วเราเกิดทุกข์ มีหลายๆ อย่างที่หลายๆ คนทำให้เราเกิดทุกข์ เกิดกิเลส อยู่ที่ว่าเราจะแยกแยะได้ไหม ถ้าเราทำได้ เรารู้จักว่าอันนี้ คือเหม็น อันนี้คือหอม ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเจอสิ่งที่เหม็นแล้วเราอยู่ไม่ได้ โอเคเราคิดว่าเราอยู่ไม่ได้ เราก็ออกห่างสิ่งที่มันโสโครกกสกปรกซะ ถ้าเผื่อเราไปคลุกคลีอยู่กับสิ่งที่ดีของหอมของดีเราอยู่แล้วเรามีความสุขเราก็อยู่เราก็เสพแต่สิ่งดีๆ สิ่งนั้น แม่มีความรู้สึกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐนะเราเลือกได้ เราเลือกที่จะอยู่ได้ เลือกที่จะทำได้ อยู่ที่ว่าเราอยากจะเสพอะไร เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเราคิดว่าอย่างแม่เป็นคนที่เปิดเผยชีวิตแม่ไม่เคยมีความลับ และแม่อยู่ในครรลองคือไม่ดีที่สุดแต่ก็ไม่ได้เลวที่สุด นั่นถึงจะอยู่ในสังคมได้ และอยู่แบบไม่ให้ใครมาสะกิดลูกสาวแม่ว่า แหมรู้ไหมว่าแม่แกเลวเหลือเกิน คืออย่างน้อยๆ แม่ก็มีความมั่นใจว่าลูกสาวแม่จะเดินในสังคมได้โดยที่ไม่มีใครมาชี้หน้าว่าแม่แกน่ะเลว ไอ้สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่มีใครเคยได้รับมาก่อนนะ ณ วันหนึ่งเราไปเจอสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดที่สุดเราอาจจะเจ็บปวดในระยะที่เรากำลังได้รับอยู่ แต่พอผ่านไปแล้วสิ่งเหล่านั้นจะเป็นครู แล้วทำให้เรารู้ว่าจะทำยังไงถึงจะไม่เจอสิ่งเหล่านั้นอีกหรือเมื่อเราเจอเราก็จะเจ็บปวดน้อยลง คือตัวเรานี่แหละจะเป็นครูสอน เป็นหมอ เป็นยา ให้ตัวเองรักษาใจเราเอง ไม่มีใครที่จะช่วยเราได้ นอกจากตัวเรา เพราะฉะนั้นเมื่อยามที่เราเจ็บปวด อาจจะไปซบร้องไห้กับใครก็ได้ แต่อย่างแม่เนี่ยไม่มีพ่อไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมนี่ได้ก็คือ เราต้องเข้มแข็ง ยามเราร้องไห้โอเคร้องไป แต่เราก็ต้องรู้จักที่จะหยุดร้องไห้ แล้วก็ลุกขึ้นยืนให้ได้ แม่ได้เรียนรู้มาแบบนี้ ในชีวิตของแม่ ตัวเองจะเป็นทั้งหมอและยาให้กับตัวเราเอง แล้วแม่ก็เชื่อว่าคนอื่นก็จะสามารถเป็นทั้งหมอและยาที่จะรักษาเยียวยาตัวเองได้ อย่าไปหวังพึ่งคนอื่น ใครจะมาดูแลเยียวยาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทุกอย่างก็ต้องรู้จักแยกแยะ เพราะว่าอวัยวะ 32 อย่างเรา ก็มีครบ เราก็แยกแยะได้เราจะไปอยู่กับอาจมหรือเราจะไปอยู่กับสิ่งที่มันเลิศเลอมีค่าเราก็สามารถเลือกได้ สิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่แล้วเราเป็นทุกข์ เราอยู่แล้วมีแต่ฉิบหายต้อยต่ำเราจะไปทำทำไม เราก็ต้องหนี เราจะอยู่แบบมีความสุข หรือจะอยู่แบบให้คนเขาด่าเรา ก็อยู่ที่ตัวเรา
l ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ตอนนี้อาร์ตเขาทำงานอยู่ฝ่ายข่าวบันเทิงทางช่อง one ค่ะ แม่สั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี ขยันขันแข็ง แล้วอดทนต่อสู้ ทำอะไรก็ต้องทำจริง อย่าให้ใครเขามาด่าไล่หลังได้ว่าแม่เลี้ยงไม่ดี ก็ปูพื้นฐานมาตั้งแต่เล็กแล้วล่ะค่ะ แล้วก็ให้อยู่กับแม่ในวงการตลอด เกิดมาสามเดือนแรกใส่ตะกร้าเข้ากองถ่ายละให้เขาคลุกคลีอยู่กับพวกเรา เพื่อที่จะให้เขารู้ว่าอาชีพที่แม่ทำไม่ใช่อาชีพเลวร้าย เต้นกินรำกิน เป็นพวกที่เขามั่วกิเลสมั่วกามมาร ให้เขาเห็นตั้งแต่เกิดเลย เขาถึงได้รักวงการนี้
l ความภาคภูมิใจในตัวลูกสาว
เขาเป็นคนที่ขยันเรียน แล้วเขาก็คิดเองว่าจะต้องทำให้แม่ชื่นใจ ตอนที่จะไปเอนทรานซ์เขาบอกว่ายังไงก็จะเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐให้ได้ เขาก็เลือกเอนท์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งแม่ก็ไม่เคยขวางเขา ว่าจะต้องทำอะไร ถ้าเกิดเป็นสิ่งที่ดีแม่สนับสนุน แต่แม่ขอเขาอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าหนูจะไปเอนท์ จะเอนท์ เข้าคณะไหนก็ได้ แต่แม่ขอไว้คณะเดียวคือ นิเทศศาสตร์ ไม่ได้อะไรกับคณะนี้นะ แต่ถ้าจะเรียนคณะนี้ เพื่อเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง จากประสบการณ์ของแม่ที่มีแม่สามารถสอนได้ ถ้าหนูไปเอนท์ คณะอื่นสมมุติว่าเกิดไม่ได้เข้าวงการ หนูก็ยังมีความรู้จากแขนงนี้ แขนงนั้นไปทำมาหากินนอกวงการได้ ในมุมมองของแม่ ซึ่งถ้าหนูเอนท์ เข้านิเทศศาสตร์แม่รู้ว่าเป็นยังไง เพราะเราอยู่ในวงการมาก่อนตั้งกี่สิบปี แม่สามารถที่จะสอนหนูได้ หรือแม่สามารถที่จะให้ใครมาสอนก็ได้ในวงการ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเอนท์ คณะอักษรฯ อันดับหนึ่งอักษร จุฬาฯ อันดับสอง อักษร จุฬาฯ เขาไม่เลือกอะไรเลย แล้วก็ติดอันดับหนึ่งจุฬาฯ เลย ตอนที่เขาเรียน 4 ปี เขาก็ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง ได้ทุนไปเรียนอิตาลี ด้วยความที่เขาขยัน ลูกเขาจะพูดอยู่ตลอดเวลาว่า หนูไม่เก่งหรอก แต่เขาขยัน อยากจะทำให้แม่ชื่นใจ รู้จักที่จะเลือกคณะ เรียนเอกอะไร ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของแม่ที่เลี้ยงลูกแล้วเขาเชื่อฟัง และเป็นคนดี ที่สำคัญเขากตัญญู
l ไม่ดึงลูกสาวมาเล่นละครบ้างเหรอ
ในระหว่างที่เขายังเรียนอยู่ พรรคพวกก็มีชวนเขามาเล่นนะ ไม่ว่าจะเป็นของ บรอดคาซท์ ของไก่ ของใครต่อใคร เขาก็เคยเล่นนะ เล่นตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อาศัยเล่นแป๊บๆ ผ่านไปผ่านมา อย่างว่าแหละที่แม่บอกเขาว่า อย่ามาหวังยึดติดกับวงการ ไม่มีอะไรที่เป็นสรณะที่แน่นอน ถ้าหนูเข้ามาอยู่วงการแล้ว หนูจะต้องดัง เก่ง มีคนให้หนูเล่นละคร มันไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่บอกไม่ถูก ปัจจุบันนี้ใครจะตอบแม่ได้บ้างว่าคนที่ดังขึ้นมาเพราะสวย หล่อ หรือว่าเพราะเก่ง หรือเส้นสายดีผู้จัดการดี ไม่มีอะไรเป็นคำตอบที่ชัดเจน แล้วทุกคนก็พยายามที่จะเบนเข็มเข้ามาในวงการ อยากจะมาเป็นนักแสดงอยากเข้ามาอยู่ในวงการ อยากมาอยู่เบื้องหลัง แล้วเราจะไปแข่งกับเขาทำไม เพราะฉะนั้นอยู่ในวงการนี้ อยากทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ หาความรู้ไปได้ สุดท้าย ณ ปัจจุบันนี้เขาก็ได้ทำงานอยู่เบื้องหลังในวงการนี้สมใจ ด้วยประสบการณ์และอะไรๆ ของเขา เรียกว่าหายห่วงมานานแล้วค่ะ สำหรับลูกสาวคนนี้ หนึ่งมั่นใจและแน่ใจ เพราะเราเลี้ยงลูกมากับมือ เรารู้ว่าเขาเป็นคนยังไง สุดท้ายแล้ว ณ บัดนาวนี้ เขาจะใช้ชีวิตยังไงก็แล้วแต่ แต่เขาต้องเป็นคนดีเท่านั้นเอง เขาก็รู้อยู่แล้วแหละว่านี่คือกฎเหล็กของแม่ สุดท้ายคือโชคดีที่เขาใฝ่ดี เขาเลือกที่จะอยู่ในที่ที่ดี พอคนเราเลือกที่จะอยู่ในที่ที่ดีและเป็นคนดีแล้ว เราก็ไม่ต้องห่วงแล้ว ยังไงเขาก็เป็นคนดี
l ความสุขที่แท้จริงของ แอ๊ด-โฉมฉาย
วงการบันเทิงค่ะ เราอยู่ตรงนี้เรามีความสุข เราไม่ต้องการที่จะยิ่งใหญ่ เป็นอัจฉริยะของวงการ ทุกคนต้องมายกย่องว่าเป็นเพชร ไม่ต้องนะ ณ วันหนึ่งเราไม่ทำงานเราก็ไม่ต้องไปง้อใคร เพราะเราได้สร้างฐานะ มีเงินเก็บ ไม่มีหนี้ไม่มีสิน มีชื่อเสียงพอประมาณของเรา ไม่ต้องไปขอใครกิน เพราะระยะเวลาที่เราทำงานมา เราทั้งทุกข์ ทั้งสุข ทั้งอด ทั้งอยากและมีกิน บางทีก็เหลือเฟือ บางทีก็อดอยาก ทุกอย่างเป็นครูสอนเรามาตลอด ปัจจุบันนี้ถ้าแม่หยุดงานในวงการ แม่ก็อยู่ได้อย่างมหาเศรษฐี ไม่ใช่โม้นะ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เราได้เก็บสะสมมาอย่างเพียงพอ แต่ปัจจุบันที่ยังทำอยู่ เหมือนเป็นยาอายุวัฒนะให้ตัวเราเอง ในเวลาเดียวกันลูกสาวก็เลี้ยงแม่แล้ว ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครจ้างแม่ ก็อยู่ได้เพราะเราได้เตรียมและวางแผนไว้หมดแล้ว ถ้าถามว่าตอนนี้มีทุกข์อะไรไหม แม่บอกเลยว่าถ้าอยู่เฉยๆ นั่นแหละแม่ทุกข์ (หัวเราะร่วน) ส่วนเรื่องสุขภาพตอนนี้ก็แข็งแรงดีค่ะ ตราบใดที่อยากทำงานที่เรารักอยู่ ก็ต้องดูแลตัวเอง
l เคล็ดที่ไม่ลับของการยืนหยัดในวงการ
ไม่ใช่เฉพาะแค่นักแสดงนะคะ ทุกอาชีพ เคล็ดลับไม่มีอะไรมาก แค่ทำด้วยใจรัก ไม่ว่าอาชีพไหนก็แล้วแต่ อย่าหลอกตัวเอง ถ้าเรารักอาชีพที่เราทำแล้วอะไรก็จะมีความสุขไปหมด ก้าวไปทางไหน ก็มีความสุข เหมือนแม่ ทุกครั้งที่ออกไปทำงาน หรือทุกวันที่อยู่กองถ่าย เหนื่อยไหม ก็เหนื่อยนะ แต่เป็นความเหนื่อยที่มีความสุข แล้วอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเรารักแล้ว เราต้องรักษาเวลา การเป็นนักแสดง ไม่ต้องไปดูแลโปรดักชั่นหรือคนอี่นๆ แค่ดูแลตัวเอง รับผิดชอบให้ดีที่สุด มีหน้าที่ดูบทท่องบท ถึงเวลาหน้าเซตก็ต้องผ่านไปด้วยดี เมื่อเราเลือกที่จะรับงานนี้แล้ว แบ่งเวลาให้ได้ ต้องซื่อสัตย์ต่องานค่ะ
เติมความรัก ใส่ในงาน แล้วเส้นทางจะนำ “สุข” มาสู่เรา เฉกเช่นชีวิตของ แอ๊ด-โฉมฉาย ฉัตรวิไล
กระแตน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี