โอกาสดีสัปดาห์นี้ สตาร์เรทโทร ได้นั่งคุยกับนักแสดงคุณภาพมากความสามารถ “เอ๋” กษมา นิสัยพันธุ์ ผู้ชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแทบจะทุกตำแหน่งในวงการบันเทิง แต่จะมีบทบาทไหนบนเส้นทางนี้ ที่ใช่สำหรับตัวเขา รวมไปถึงชีวิตครอบครัวที่หลายคนไม่ค่อยทราบความเป็นไป วันนี้ “เอ๋” กษมา พร้อมเปิดใจให้เราฟังแบบหมดเปลือกค่ะ
ความฝันในวัยเด็ก
เด็กๆ อยากเป็นทหารมาก เพราะพ่อผมเป็นนายพล พี่ชายก็เป็นทหาร หลานชายก็เป็นนายทหาร แต่ผมเป็นไม่ได้เพราะเป็นหืดหอบหนักมาก พ่อก็ไม่สนับสนุน
กำเนิด เอ๋-กษมา บนเส้นทางบันเทิง
คุณแม่ดูทีวี.ครับ แล้วเห็นประกาศรับสมัครนักเรียนการแสดงของไทยทีวีสีช่อง 3 ก็บอกลองไปสมัครสิ เด็กๆ เห็นลูกชอบเล่นสิงห์ทะเลทราย อยู่บ้านก็ฝันหวานไปวันๆ เลยส่งให้ไปสมัครคนสมัครประมาณ 2-3 หมื่นคน คัดให้เหลือ 45 คน ต้องเรียกว่า ฟลุค คือเราได้คนที่ 46 ทุกคนก็คิดว่าไม่ได้แล้ว แต่อาจารย์สดใส เห็นแล้วสงสาร เลยเรียกมานั่งคุย และก็เพิ่งรู้ว่า ลักษณะของผมไปตรงกับคาแร็กเตอร์ที่อาจารย์เขาชอบ เป็นปีที่เขาจะทำเรื่อง คำพิพากษา บทที่เล่นแล้วอาจารย์สดใสชอบคือ เล่นเป็น หมาขนฟู สมัยก่อนบ้านผมเลี้ยงหมา อาจารย์บอกว่าอยากให้เล่นเป็นหมาผมก็เล่น คนในห้องก็ชอบปรบมือกันใหญ่และต้องบอกว่าที่เล่นบทนี้ได้ เพราะเราสังเกต เราอยู่กับหมาตลอด ทำให้ได้เห็นทุกอย่าง
มาเป็นนักแสดงเรื่องแรกคือ คำพิพากษา พ.ศ.2526 หลังจากนั้นก็เล่นละครมาตลอด เป็นพระเอก แต่พอถึงจุดจุดหนึ่ง ด้วยความที่พระเอกสมัยก่อน จะเป็นลูกคุณหนู เล่นนิ่งๆ ผมเป็นคนไม่นิ่ง รู้สึกอึดอัด เหมือนไม่ได้เล่นอะไร เลยขอเปลี่ยนมาเป็นตัวรอง คือ เป็นตัวเอกแทนที่จะเป็นพระเอก เป็นตัวที่เล่าเรื่อง ดำเนินเรื่อง ได้เล่น เจ้าสาวของอานนท์ แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง
นักเรียนการแสดง
ผมเรียนการแสดงมาโดยตรง เป็นนักเรียนการแสดงของช่อง 3 รุ่นที่ 4 พอรุ่นที่ 5 ผมก็เริ่มทำหน้าที่สอน ตอนนั้นมี บุ๋ม-รัญญา, ชุดาภา จันทเขตต์, เก๋-มณีรัตน์ สอนรุ่น 5 6 7 แล้วก็หยุด เพราะว่าไม่มีเวลา เล่นละครอย่างเดียวอยู่ประมาณ 10 กว่าปี หลังจากนั้นถึงค่อยเริ่มมาอยู่เบื้องหลัง เริ่มจากเป็นแอ๊กติ้งโค้ช แล้วก็ไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของพี่ดุล-อดุลย์ ต่อด้วยผู้ช่วยผู้กำกับของพ่ออี๊ด- สุประวัติ, พี่นะ-ชนะ คราประยูร คือจากอยู่ RSก็มาอยู่ ทีวีซีน มาสเตอร์วัน แล้วก็ได้ทำงานเบื้องหลัง เริ่มจากผู้ช่วย 3 ค่อยๆ ขึ้น 2 ขึ้น 1
เหตุที่คิดทำเบื้องหลัง
รู้สึกว่า ตันแล้วครับ เราเล่นมาเกือบทุกอย่างแล้ว ใบ้ พิการ ตำรวจ ทหาร บทที่หลายๆ คนอยากเล่น ผมได้เล่นมาหมดแล้ว แม้กระทั่งตอนที่อายุประมาณ 25-26 ก็ได้เล่นเป็นเด็กอายุ 18 ผมก็เลยรู้สึกว่า ตันแล้ว เลยเริ่มศึกษาเบื้องหลัง เรียนรู้จากพ่ออี๊ด อาดุลย์ ผู้กำกับใหญ่ๆ ซึ่งผู้กำกับแต่ละคนก็จะมีเอกลักษณ์ความสามารถในตัวที่ไม่เหมือนกัน อย่างพ่ออี๊ดเขาจะเก่งเรื่อง คอเมดี้ การเล่าเรื่อง การแอ๊กติ้ง ส่วนอาดุลย์ก็เล่าเรื่องด้วยภาพพี่นะ ก็จะเป็นในเรื่องของการเล่าเรื่องด้วยบทละครจริงๆ เป็นความละเอียดในการทำมาก เป็นมนุษย์ละเอียด แกละเอียดแล้วมันใช่ พอมาอยู่ ทีวีซีนกับ มาสเตอร์วัน เขาก็จะเน้นเรื่องภาษามาก คำควบกล้ำ ร.เรือ ล.ลิง เราจะยึดมั่นตรงนี้มาก แม้กระทั่งฉากที่ยากที่สุดเราก็ต้องยอมเทคใหม่ เพื่อไม่ให้พระเอกหรือนางเอกหลุดออกไป ร้องไห้พูดไม่รู้เรื่องก็ต้องเอาใหม่ ต้องพูดให้รู้เรื่อง ผมก็จะได้ความละเอียดจากตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราก็จะได้งานจากผู้กำกับหลายๆ คน เอามาปรับเป็นเทคนิคของตัวเอง
ความดังเมื่อครั้งเป็นพระเอกละคร
ผมไม่ค่อยรู้สึกนะ แต่เวลาออกไปไหนจะมีคนเรียก ไอ้ฟัก จากเรื่อง คำพิพากษา จริงๆ ในการตีความรุ่นหนึ่งเขาตีความว่า ไอ้ฟักไม่ได้รักสมทรง แต่ว่าพอได้เห็นสรีระของผู้หญิง คือจริงๆ มันอยากบวช พอกลับมาจากเกณฑ์ทหารมันเห็นพ่อเอาเมียมาอยู่ในบ้าน แต่ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเป็นความสุขของพ่อ พอพ่อตายก็เลยต้องดูแลคนที่เปรียบเสมือนแม่เลี้ยงต่อ ชาวบ้านไม่เข้าใจ ก็คิดว่าสองคนนี้อยู่บ้านเดียวกัน เป็นผัวเมียกัน ก็แค่นั้นเอง นี่คือการตีความ พอสมัยใหม่มาก็ตีความใหม่ออกแนวอีโรติกอย่างที่เราเห็นๆ กัน ซึ่งก็แล้วแต่การตีความ เพราะฉะนั้นละครก็จะออกมาในคนละรูปแบบ ทุกวันนี้คนที่อายุ 40 อัพ ก็ยังเรียกผมไอ้ฟักอยู่นะ
งานที่ชอบที่สุด
ผมชอบการเป็นผู้กำกับการแสดงนะ แต่จริงๆ แล้วผู้ช่วยผู้กำกับสนุกกว่า เพราะคุณได้เตรียมงานทุกอย่าง ตอนที่ผมทำผู้ช่วยไม่ว่าจะช่วยพ่ออี๊ด หรือพี่นะ ผมได้เตรียมงานแทนผู้กำกับเกือบทั้งหมด แต่การเคาะงานหน้ามอนิเตอร์มุมมองอะไรต่างๆ ซึ่งคนเราไม่มีใครมองไลน์ละครได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าก็จะมีความใกล้กันเท่านั้นเอง บางทีเราชอบแต่ผู้กำกับไม่ชอบ หรือผู้กำกับชอบแต่เราไม่ชอบ แต่สุดท้ายก็ต้องตามผู้กำกับ
เหนื่อยหรือยังกับงานในวงการนี้
ยังไม่เหนื่อยครับ คงทำไปถึงตาย ถ้ากำกับฯไม่ไหว ก็คงหันมาเล่น เพราะทุกวันนี้ เราก็จะเห็นนักแสดงสูงอายุที่ยังเล่นดีๆ ทำงานอยู่ แล้วเราก็จะรู้สึกเสียดายว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนพวกนี้ไม่ค่อยมี เพราะปัจจุบันละครจะเป็นเรื่องวัยรุ่นซะส่วนใหญ่ ซึ่งวัยผู้ใหญ่ก็มีอีกเยอะที่เขาพร้อมจะทำงานแล้วก็สนุกกับงาน
เคยคิดทำงานด้านอื่นบ้างไหม
เคยคิดครับ ว่าทำไมเราไม่ทำสวน ว่างๆ แล้วค่อยมาเล่นละคร แต่ช่วงทำสวนก็คงยากนะ ชีวิตต้องตื่นเช้า แล้วผมนอนดึกมาจนเกิดความเคยชิน เป็นคนจับจดด้วย ไม่ชอบทำงานหนัก ทุกคนก็มักจะคิดว่างานการแสดงนี่สบาย แต่ไม่ใช่ คือเราต้องเตรียมตัว ทุกอย่างพลิกผันได้ตลอด กินอยู่ สถานที่หลับนอน เดินทางสมัยก่อน ผมเดินทางเยอะมาก และเป็นคนที่ไม่นั่งรถกองถ่ายด้วย ชอบขับรถไปเอง ก็จะใช้ชีวิตในกองถ่ายมาตลอด
ชีวิตครอบครัวที่น่ารัก
กับดี้-ปัทมา ปานทอง เป็นแม่ลูกกัน (หัวเราะ) จริงๆ เป็นแฟนกันมา 18 ปี แล้วครับ ตั้งแต่สมัยที่ผมคิดจับงานเบื้องหลังใหม่ๆ เล่นละครเรื่องเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ปิ๊งกันในกองหรอก คือมีเหตุการณ์ว่าตอนนั้นดี้ไปได้งานทำละครที่เกี่ยวกับสารคดี มีทั้งหมด 52 เทป1 ปี เต็ม เขาทำไม่เป็น เลยมาคุยกับผม ก็อยู่ในกองว่างๆ เลยสอนเขาไป แต่อานิสงส์คือ โอ-วรุฒ ไปถ่ายละครกัน นัดโอ 9 โมง โอยังไม่มา พอมีเวลาก็นั่งคุยงานกัน ปรึกษากัน โอมาบ่ายสาม ก็คุยตั้งแต่เช้าจนได้ข้อสรุป เขาก็ไปติดต่อดำเนินการ ปรากฏไม่ผ่าน ดี้เลยบอกว่าไม่เอาแล้ว ยกให้พี่เอ๋เลยแล้วกัน ยกงานให้เลย ผมก็เฮ้ยไม่ได้นะ ในเมื่อคุณเป็นคนที่รู้จักกับเจ้าของงานนี้ แล้วเขามั่นใจให้คุณทำ จะมายกให้ผมได้งานคนเดียวไม่ได้ งั้นมาทำด้วยกัน หุ้นกันเปิดบริษัท ทำแล้วผมสอนให้ ผมรู้จักตากล้อง ห้องถ่ายภาพการตัดต่อ กระบวนการต่างๆ คือผมก็ทำงานเบื้องหลังมาประมาณหนึ่งแล้ว ดี้มีงาน ผมมีข้อมูลการทำ ก็เลยร่วมกันจบงานนี้ได้กำไรกันมา 30,000 บาท ถือว่าน้อยนะ แต่ได้ประสบการณ์มาเยอะมาก
ชอบคุณดี้เพราะอะไร
ได้เห็นชีวิตครอบครัวเขา ตอนนั้นเขาเลิกกับแฟน แล้วมาอยู่ที่บ้านแม่ ผมก็ไม่เคยมีครอบครัว โสดมาตลอด ผมก็ใช้บ้านผมเป็นออฟฟิศ เช้าออกไปรับดี้ เพื่อออกมาทำงานตลอด ก็จะได้เห็นชีวิตครอบครัวของเขา เราก็สงสาร ผมเลยตัดสินใจพาดี้มาอยู่ที่บ้านผม แล้วก็นั่งคุยกัน ได้ข้อสรุปว่า เราจะอยู่ด้วยกันนะ เราจะดูแลน้องพลอยไปด้วยกัน ความรักเกิดจากความสงสาร ดี้ก็รู้สึกว่าสงสารผม ที่โอ้โห..เป็นห่วงเขาเหลือเกิน อันนี้เราก็มองในมุมของตัวเราที่ว่าเราก็เห็นแก่ตัวนิดๆ ว่าเออ..ถ้าเราอยู่กับเขาแล้วมีความสุข เราจะไปอยู่กับคนอื่นทำไม แรกๆ คุยกันว่าจะแต่งงานหรือเปล่า จะมีลูกไหม เขาก็ถามเราว่าอยากแต่งงานมีลูกไหม ผมก็บอกไม่ใช่ ผมต้องถามฝ่ายหญิงสิ ผมก็เฉยๆ ตกลงไม่แต่ง ก็อยู่ด้วยกันไป ส่วนเรื่องลูกก็คุยกัน จะมีไหม ผมก็บอกว่า ผมไม่อยากมีมีลูกคนเดียวเราก็เลี้ยงเขาให้เต็มที่ดีที่สุด แต่น้องพลอยไม่เคยไม่รู้ เขารู้ เรียกลุงมาตลอด จนโตขึ้นประมาณ 5 ขวบเขาก็เรียกแด๊ดดี๋ กลายเป็นว่าคนก็คิดว่าน้องพลอยเป็นลูกผมกับดี้ น้องพลอยอยู่กับผมตั้งแต่ 3 ขวบ ซึ่งช่วงนั้นน้องพลอยก็เล่นละครด้วย ดี้ไปส่ง ผมไปรับ สักพักเขาก็เลิกไป หันไปตั้งใจเรียน แล้วผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาพุ่งเป้าถึงขนาดนั้นและมีการวางแผนตัวเองเยอะมาก ตรงนั้นก็เป็นการดูแลของแม่กับลูก ส่วนผมงานหนักมากตอนนั้น ทำงานตลอด จนเขาจบมหาวิทยาลัย เป็นหมอ วันหนึ่งเขาก็พูดประมาณว่า เขาจะจบแล้วนะเหลืออีก 4-5 ปีจะจบแล้ว เขาพูดเหมือนอยากให้เราเลิกทำงานเบื้องหลัง แต่ให้เล่นละคร น้องพลอยก็บอกว่าหยุดเถอะเขาเลี้ยงเองได้ ผมก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนนะ ให้ชีวิตอยู่ในรูทีนก่อนไหม เขาก็โอเค และพอถึงวันหนึ่งจริงๆ ที่เราไม่ไหว เหนื่อยแล้ว ลูกสนับสนุนด้วย เมียก็บอกว่าแล้วแต่ ก็เลยตัดสินใจหยุดงานเบื้องหลังไป เมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ
ช่วงดิ่งลงเหวของชีวิต
ก่อนที่จะมาเจอกับดี้ เพระนิสัยของเราด้วยแหละ นักแสดงจะมีช่วงที่ไม่มีงาน ช่วงนั้นรู้สึกว่าเราได้ใช้ชีวิตที่เกินกว่ารายได้ของเรา ปกติชีวิตก็มีทั้งดีและร้ายหลังจากวันนั้นมา เราก็จะเข้าใจว่า เออ..โอกาสที่เราจะไปใช้ชีวิตเกินจากที่เรามี คงไม่มีแล้ว เพราะเราเข็ดกับสิ่งที่เป็นไป ช่วงนั้นใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ 2-3 ปี สู้จนเงินเก็บหมด สมบัติเก่ากินหมดแล้วด้วยก็มานั่งคุยกัน รวบรวมรถซีตรอง ออดี้ขายหมด เหลือกระบะ กับ เซลูน่า ส่วนบ้านที่ต้องผ่อนเดือนละ 3-4 หมื่นก็เลิกผ่อน ขายเลย ยอมขาดทุน แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตที่ถูกลง ตอนนั้นก็ใช้แค่โนเกีย 3310 ชีวิตก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเดิม มีงานเบื้องหลังเริ่มเข้ามา รายได้ก็ไม่ได้สูงกว่าคนอื่น ค่อยๆ เก็บสะสมมาเรื่อยๆ ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ เลยเอาเงินไปซื้อบ้าน ซื้อรถหรูติดหรู ทุกวันนี้นะบ้านชั้นเดียวอยู่กันสามคนก็มีความสุขแล้ว (อะไรช่วยให้คิดได้?) นั่งคุยกันพ่อแม่ลูกครับตัดสินใจกันว่าจะทำยังไง ภรรยาคิดได้กลับสู่จุดเดิมก็มีความสุขกันตามประสาครอบครัว
ความสุขภายในครอบครัว
คนอื่นมองว่าเรามีความสุขมากนะ แล้วจริงๆ เราก็มีความสุขอย่างที่เห็นนี่แหละ(หัวเราะ) แต่ก็มีเรื่องทะเลาะกันเป็นปกติอยู่แล้วครับเมื่อเราทะเลาะกัน จะเป็นแบบนี้นะ เอางี้ดีกว่าคุณทะเลาะกันเสร็จปุ๊บนิ่งไปเลยนะ แล้วอีกแป๊บหนึ่งค่อยกลับมาคุยกัน แต่ไม่คุยเรื่องนั้นอีกนะ ไม่ต้องมาหาใครผิดใครถูกช่างมัน ไม่ต้องมานั่งขอโทษ ให้ศักดิ์ศรีแต่ละคนไป สมัยก่อนตกลงกันว่าทะเลาะอะไรกันก็แล้วแต่ เช้าตื่นมาต้องคุยกัน แต่คุยเรื่องอื่นล่ะนะ อันนี้ผมจำมาจากพี่แดงกับอากำธร ที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ แล้วเราฟังมา รู้สึกว่าเออ..ดีนะ ห้ามโกรธกันข้ามคืน
ความคาดหวังในตัวลูกสาว
ตอนนี้เขาอายุ 22 ปี แล้ว เรียนแพทย์ จุฬาฯ ปี 4 เหลืออีก 2 ปีจะจบ เขาเป็นคนวางแพลนให้เองนะว่า เขาจะเรียนเซนต์โยฯ ตั้งแต่ตอนเขาจบอนุบาล พอจบเซนต์โยฯ ก็จะไปเรียนสาธิตปทุมวัน ต่อเตรียมอุดมฯแล้วก็อยากเรียนจุฬาฯ เขาวางแผนของเขาเองหมด ขยันมาก ถามว่าไม่อยากเข้ามาในวงการบันเทิงเหรอเขาบอกว่าไม่เอาแล้ว ขอเลือกทางนี้ดีกว่า ซึ่งผมกับดี้ไม่ได้บังคับอะไร แล้วแต่เขา เราซับพอร์ตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรียนอะไร อีกอย่างน้องพลอยเป็นคนไม่ฟุ้งเฟ้อ ตอนเด็กๆ เคยซื้อโทรศัพท์ให้ 12,500 บาท ใช้ได้อาทิตย์หนึ่งหาย ซึ่งเขาก็คงรู้สึกว่ากว่าจะได้มา พอหายก็เลยไม่อยากจะโฟกัสละ เลือกใช้โทรศัพท์ธรรมดา แต่หลังๆ ก็เปลี่ยนให้ เพราะเขาใช้งานกับโทรศัพท์เยอะ ไม่ห่วงแล้วลูกสาวคนนี้ เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่เขาไตร่ตรองแล้ว จะมีเตือนก็เป็นเรื่องวินัยบางอย่างเท่านั้นเอง
เทคนิคในฐานะคนผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน
อย่างที่นักแสดงรุ่นเก่าๆ ได้กล่าวไว้ครับคุณไม่ต้องคิดอะไรมาก คุณแค่รักในอาชีพและเคารพ คุณก็จะอยู่ในอาชีพนี้ทำงานกับอาชีพนี้ได้อีกยาวนาน อย่าดูถูกอาชีพตัวเองแค่นั้นเอง ให้รู้สึกว่าอาชีพเรามีค่าเรารัก แล้วเราก็เคารพที่จะพัฒนา อย่าไปเอาเปรียบอาชีพของตัวเอง คุณต้องมองคนอื่นด้วย
คิวงานที่แน่นเอี๊ยด
ตอนนี้กับทางช่อง 3 มีละคร วัยแสบสาแหรกขาดส่วนกับทางช่อง One มีเรื่อง ดวงเพชฌฆาต แล้วก็มีของ คุณเป็ด เชิญยิ้ม ที่จ้างไปกำกับฯ เรื่อง มนต์รักสองฝั่งคลอง ลงช่องพีพีทีวี คือจะมีทั้งงานกำกับฯ งานแสดง ส่วนแอ๊กติ้งโค้ชช่วงนี้ไม่ได้สอนเลยครับ เว้นช่วงมาหลายปีเหมือนกัน เพราะหลังจากขึ้นมาเป็นโปรดิวซ์แล้ว ก็แทบจะไม่ได้กลับไปสอนอีกเลย เพราะการสอนต้องใช้เวลาเยอะ ไม่ใช่ว่าวันนี้เราไปแล้วจะไปสอนเขาได้เลย เราต้องเจอเขา หาข้อบกพร่อง ตีปัญหา แล้วต้องกลับมาเตรียมการบ้าน หลายขั้นตอน ไม่ได้ง่ายนะ ไม่ใช่แค่เอาวิชาเราไปบอกให้เขาทำ
วางอนาคตให้กับตัวเอง
ผมก็จะรับจ้างอยู่แบบนี้ ถ้ายังไม่มีอะไรใหม่ๆ เข้ามา ผมก็จะรับจ้างกำกับการแสดง เล่นละคร ไปจนกว่าจะทำไม่ได้ เพราะผมมีความรู้สึกว่าเราเองก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เพราะผมก็จะดูหนัง ดูละคร ซีรี่ส์ฝรั่ง มีไอเดียในการคิด เราอยู่เบื้องหลังต้องมีการคิดตลอด ไม่ใช่ว่าแค่นี้พอละ ซึ่งไม่ได้นะ ต้องดูเพื่อความก้าวหน้าไปตลอด
ผมถือว่าผมผ่านจุดที่สูงสุดของชีวิตมาแล้ว มันก็จะคงอยู่ต่อไป เพียงแต่ว่าเราไม่ได้อยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่อยากที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแบบนี้ตลอดไป เพราะฉะนั้นเราคิดว่านี่คือสิ่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดแล้ว คือการใช้ชีวิตให้มีความสุข มีเมียดี มีลูกดี มีครอบครัวดี
ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา ของผู้ชายที่ชื่อ “เอ๋” กษมา นิสัยพันธุ์ จริงๆ ค่ะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี