กับนักแสดงเรื่องขอเป็นเจ้าสาวฯ
จากงานแสดงเบื้องหน้า ที่พร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไปเพราะเงิน และไม่ใช่สิ่งที่ชอบเลยสักนิด แต่กลับเป็นสิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุด ด้วยความสามารถ บวกกับความตั้งใจ และพรสวรรค์ บัดนี้กลายเป็นอาชีพที่เธอรักโดยไม่รู้ตัว ต่อด้วยการเป็นแอ๊กติ้งโค้ช ผู้ที่มาช่วยเสริมทัพให้ละครสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และอีกก้าวสำคัญกับการเป็นผู้กำกับการแสดง “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้พาท่านไปรู้จักตัวตนของสาวเก่ง “บุ๋ม-รัญญา ศิยานนท์”
l ก่อนเป็นนักแสดงเจ้าบทบาท
จริงๆ ไม่ชอบ ไม่อยากเป็นดาราเลยนะคะ อยากเป็นพยาบาล แต่ว่าแม่ให้หยุดเรียนปีหนึ่ง ก็น้อยใจเสียใจ แล้วแม่ก็บอกว่าโรงเรียนการแสดงช่อง 3 เขาเปิดสอนฟรี อยากให้เราไปเรียน ย้ำนะคะว่าเรียนฟรีไม่เสียเลยสักบาท แต่ใจเราไม่อยากไปเรียนเลย เพราะว่าเราไม่ได้อยากเป็นดารา จะให้ไปเรียนทำไม ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็เลยไปค่ะ แล้วพอดีว่าได้ตังค์ด้วย เพราะว่าจะมีโมเดลลิ่งติดต่อให้ไปงานนู่นนี่นั่น อีเว้นท์ถ่ายแบบเดินแบบ เมื่อ 30 ปีที่แล้วได้วันละพัน นี่ไม่น้อยนะคะ เราก็เลยไปหลังจากนั้นก็เรียนต่อไปเรื่อยๆ
ได้เล่นเป็นตัวประกอบของ “พี่จิ๋ม- มยุรฉัตร” ของ “แม่แดง-รัตนาภรณ์”, “พี่ตุ้ย- วรยุทธ” หลายคณะมากค่ะ ที่เป็นผู้จัดของช่อง แล้วเขาคงเห็นมั้งคะว่าเราเล่นได้ แต่ก็ยังไม่ได้ชอบนะ แค่รู้สึกว่าได้ตังค์(หัวเราะ) เป็นอาชีพที่ได้เงินเร็วและง่าย เราก็เอาเงินไปให้แม่ให้น้อง แล้วชีวิตเราไม่ได้ง่ายเลย คือลำบาก ต้องเช่าบ้านอยู่ เลยรู้สึกว่างานนี้มันได้เงิน เลยทำ และอยากทำให้มันได้ดี เพื่อที่จะได้เงิน แล้วตั้งแต่นั้นมาก็เล่นมาเรื่อยๆ จนถึงขั้นแอดวานซ์และเรียนรวมกับรุ่นอื่นๆ จนมีอยู่วันหนึ่ง “พี่ไก่-วรายุฑ”
เขาจะเปิดละครเรื่อง “นางเอก” อีก 2 อาทิตย์จะเปิดกล้อง แต่ตอนนั้นเราไม่ค่อยชอบพี่ไก่นะมีความรู้สึกว่าเขาเหวี่ยงๆ ไม่อยากเล่นเลย (ยิ้ม) แต่ก็โอเค เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของนักเรียนการแสดงช่อง 3 ที่ถึงเวลาเราจะต้องไปเล่นละคร แล้วก็ต้องมาเล่าให้ครูในโรงเรียนฟังว่าเราไปเล่นเป็นตัวนี้ๆ แล้วเป็นเป้เป็นยังไง ปรากฏว่ารับบทนางเอก ชื่อเรื่องก็นางเอกด้วย ตกใจมาก ขึ้นมาหาครูใหญ่ (อาจารย์สดใส พันธุมโกมล) บอกครูว่า “ครูขาเป็นนางเอก หนูไม่เล่นได้ไหม หนูกลัวมากเลย หนูไม่อยากเล่น” (หัวเราะ)ก็บ่นๆไปค่ะ ซึ่งครูก็บอกว่าไม่ได้ เธอต้องเล่น แล้วทำไมถึงจะไม่เล่นล่ะ มีคนอยากจะได้บทนี้เยอะแยะ ก็เลยโอเคเล่น
เรื่อง “นางเอก” เป็นพระ-นางคู่กับ “พี่เล็ก- วิวัฒน์” แต่เรื่องนี้นักแสดงเยอะมาก มีทั้ง “พี่จุ๋ม- อุทุมพร” ซึ่งเป็นนางเอกที่ดังมากตอนนั้น “พี่ตุ่ม-ชลิต”, “อากำธร สุวรรณปิยะศิริ”, “พี่หมู-สมภพ”, “พี่ตุ๊ก-ดวงตา” ทุกคนดังมาก เราก็เครียด จำบทไม่ได้ ปากคอสั่น ถ่ายวันแรกแค่ 2 ฉาก เดินขึ้นบันไดไม่มีบทพูด ปรากฏว่าเราเดินตกบันได ของตก แบบเล่นไม่ได้เลย กลัวไปหมด เลยกลับไปที่โรงเรียนให้ครูซ้อมการแสดงให้ใหม่ แล้วก็กลับมาเล่นจนจบ แล้วหลังจากนั้นชีวิตก็มาจนถึงวันนี้ค่ะ
l ผลงานแจ้งเกิด
เรื่อง “นางเอก” เลยค่ะ และได้เป็นนางเอกของพี่ไก่อยู่ประมาณ 2-3 เรื่อง ไปเล่นรัชฟิล์มก็ยังเป็นนางเอกอยู่ เล่นนางเอกสลับกับนางร้ายไปเรื่อย บางทีก็เล่นเป็นตัวตลก เราไม่ได้ยึดติดกับบทนางเอก พี่ไก่สอนมาอย่างนี้ แล้วบุ๋มเองก็ไม่ได้นึกเลยว่าฉันจะต้องเป็นนางเอก แต่นึกแค่ว่ามันเป็นอาชีพ ที่เล่นละครเรื่องไหนจะต้องทำงานเรื่องนั้น แล้วก็ต้องได้รายได้ คือทำทุกอย่าง บทไหนก็เล่น หนังก็เล่นด้วยค่ะ ของไฟว์สตาร์ เล่นของ “อารุจน์ รณภพ” นั่นก็ดังอีกเหมือนกัน เล่นเป็นบทคนใช้ที่ได้กับเจ้านาย คือ “พี่แซม-ยุรนันท์” เรื่อง “ดงดอกไม้”
l กับความคิดที่ไม่อยากเป็นดารา
ถึงตอนนี้ลืมไปเลยค่ะ เพราะความที่เป็นอาชีพ และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีขึ้นมีการพัฒนาการในเรื่องของการแสดงตลอดเวลาและเราเพิ่งรู้ว่าเราชอบการแสดง เพราะเราทำได้เยอะมาก อาจจะเป็นพรสวรรค์ด้วยนะคะ ยิ่งได้ไปเล่นละครเวที ยิ่งเสริมประสบการณ์ให้เราเข้าไปอีก เลยรู้สึกว่าเราคงทำอาชีพอื่นไม่ได้แล้วล่ะนอกจากทำอาชีพนี้
l มีวันนี้เพราะแรงผลักดันจากแม่
แม่บอกว่าเขาเห็นอยู่แล้ว ว่าเราทำได้ เพราะเวลาอยู่โรงเรียน เราก็ได้เล่นละครได้ช่วยเขาคิดและทำอะไรมากมาย อย่างละครสั้นๆ ที่โรงเรียน หรือคิดท่าเต้น เวลาแม่ไปทอดกฐินที่วัดแล้วอยากมีการแสดง เราก็เอาเพลงมาฟังและช่วยคิดท่าเต้น และเอาเด็กๆ ในชุมชนแถวนั้นมาช่วยกันเต้น พากันนั่งรถกระบะไปโชว์ที่งานวัดแม่เขาเห็นตั้งแต่เด็ก
l ผลงานละครที่ประทับใจ
น่าจะเป็นเรื่องนางเอกนี่แหละค่ะ เพราะว่าเป็นจุดเริ่มต้น และบทดีด้วย บทดีมาก คือนางเอ๊กนางเอกจริงๆ และได้เล่นทุกอย่างได้เล่นดนตรี เล่นกีตาร์ และร้องเพลง ได้เล่นเป็นนางเอกที่เป็นดารา ได้เล่นบทที่ถูกฉีดยาแล้วเป็นบ้า เรื่องมันเยอะมากสำหรับตัวละครตัวนี้ค่ะ
l ความชอบระหว่างบทนางเอก กับนางร้าย
ชอบเล่นบทร้ายค่ะ มันไม่เหนื่อย (แต่ต้องปล่อยพลังเยอะนะคะ?) ไม่เหนื่อยค่ะ รู้สึกว่าได้ปลดปล่อย รู้สึกมีความสุขมากเวลาเล่นบทร้ายๆ หมั่นเขี้ยวดี ถ้าเล่นบทเรียบร้อยจะรู้สึกว่ารำคาญตัวเอง อย่างตอนที่เล่นเรื่อง “เลือดสามสี”เล่นเป็นแม่ “ไชยา มิตรชัย” ซึ่งหงุดหงิดมากไม่อยากเล่น เพราะว่าจะต้องเล่นเป็นคนตาบอด ชีวิตรันทดหดหู่ ซึ่งเหนื่อยมาก อึดอัด พักหลังมานี่เลยรับแต่บทปรี๊ดๆ มีความรู้สึกว่าชัดในความเป็นตัวเอง
l จากเบื้องหน้าสู่งานเบื้องหลัง
บุ๋มเริ่มจากการเป็นแอ๊กติ้งโค้ชค่ะโดย “พี่จิ๋ม-มยุรฉัตร” ส่งเด็กมาให้ช่วยดู คือ “แอฟ-ทักษอร” และ “ลดา เองชวะเดชาศิลป์” ตอนนั้นพี่จิ๋มจะทำเรื่องริษยา นานมากแล้วค่ะ เกือบ 20 ปีแล้ว นั่นคืองานแรกที่ทำ พอเริ่มงานนั้นปุ๊บก็เหมือนมีมาเรื่อยๆ แล้วสมัยนั้นจะมีดาราเพิ่มเข้ามาเยอะแยะ นักแสดงส่วนใหญ่จะเล่นละครไม่เป็น บางทีผู้กำกับอาจจะดูแอ๊กติ้งไม่ทั่ว เขาก็เลยเอาแอ๊กติ้งโค้ชเข้าไปช่วย เลยเริ่มมีอาชีพแอ๊กติ้งโค้ชประจำกองต่างๆ ทำมาเรื่อยๆ และที่หนักๆเลยคือมาทำให้กับกองพี่ไก่ แทบทุกเรื่องเลย (เหนื่อยไหม ?) ไม่เหนื่อยเลยค่ะ ชอบที่สุด เพราะหนึ่งเราได้เปรียบคนอื่น เพราะเราเรียนมาสองเราเป็นนักแสดง เราจะเข้าใจวิถีของนักแสดงด้วยกันว่าเขาอยากรู้แบบไหน และอธิบายแบบไหนให้เขาเข้าใจมากที่สุด ก็เลยชอบ
l ก้าวขึ้นเป็นผู้กำกับการแสดง
เป็นสิ่งที่ไม่อยากเป็นอีกเหมือนกันค่ะ เรื่องแรก “คุณแม่จำแลง” ที่ “ชาคริต แย้มนาม”เล่นเป็นผู้หญิง ซึ่ง “แม่หนู-สรวงสุดา ชลลัมพี” เป็นคนผลักดันให้มากำกับ คือก่อนหน้านั้นเขาทำเรื่อง “สวัสดีคุณครู” แล้วบุ๋มไปแอ๊กติ้งโค้ชให้ ถูกใจกันมาก เลยชวนให้มากำกับ แต่เราก็ปฏิเสธตลอด เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องไฟ เรื่องกล้องอะไรเลย แต่แม่หนูบอกว่าไม่ต้องกลัวให้เราทำแอ๊กติ้งอย่างเดียว เหมือนที่ทำเนี่ยแหละ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น กำกับเรื่องแรกบุ๋มร้องไห้ทุกวันเลย เชื่อไหมคะ ลาออกจากแม่หนูทุกวัน มันเหนื่อยมาก และกดดันทุกอย่าง เป็นงานโปรดักชั่นที่เราต้องรับผิดชอบ มีเด็ก มีสลิง ชาคริตต้องแต่งเป็นหญิง คือมีทุกอย่างที่ยากๆ โอ้โห! ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะเหนื่อยขนาดนี้ กลับบ้านไปเหมือนโดนต่อย แรงหมด บุ๋มบอกกับตัวเองทุกวันว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวในชีวิตที่กำกับ (แต่แล้วยังคงกำกับมาเรื่อยๆ ?) ไม่ถึง 10 เรื่องนะคะ ทำน้อยมาก
บุ๋มกับอาจารย์สดใส
l มาดผู้กำกับในแบบของบุ๋ม
ไม่มีค่ะ เราเป็นในแบบเรา แบบนี้เลย (คนจะมองว่าจริงจัง ?) ใช่ค่ะ เป็นคนที่จริงจัง เรื่องงานนะคะ เพราะว่าทุกคนควรจริงจังเรื่องงานแต่ไม่ได้ซีเรียส เครียด ถ้ามองตัวเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชอบทำทุกอย่างด้วยความสุข สดชื่น ไว และรู้สึกว่าตัวเองต้องเป๊ะพอสมควร คือทุกฝ่ายจะต้องมีการประชุม เราจะค่อนข้างละเอียด เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้กำกับที่เยอะ (หัวเราะ) เรื่องเครียดก็คงเป็นปกติของผู้กำกับ เพราะว่าทุกคนก็ต้องการที่จะให้งานออกมาดี มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่เราจะทำๆ ไปให้มันเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นงานของเรา หรืองานของคนอื่นเราก็จะต้องทำให้มันเป็นงานของเราให้ได้ เรารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นองค์ประกอบที่จะต้องทำร่วมกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราไปในทิศทางเดียวกัน มันก็จะออกมาดีจริงๆ
l ครูพักลักจำการคนต้นแบบ
บุ๋มจะเอาความรู้ ที่เราได้เรียนมาจากครูบาอาจารย์ทั้งหมด ตั้งแต่ “อาจารย์สดใส พันธุมโกมล”, “อาจารย์ Hans” ซึ่งสอนทางด้านบุคลิกภาพคาแร็กเตอร์ แล้วก็ความเชื่อ รวมทั้งอาจารย์ทุกคนที่สอน ตอนนั้นจะบอกว่าเราไม่ได้เมมโมรี่นะ แต่ตอนนี้เราจำได้แล้ว พอมาเป็นนักแสดงก็เจอ “อาอดุลย์ ดุลยรัตน์” เรื่องแรกจะใช้การดูสังเกตและก็จำมา คนที่ละเอียดมากๆ จำความละเอียดของเขาได้ก็คือ “พี่นะ-ชนะ คราประยูร” เพราะจะโดนบ่อยมากในความไม่ละเอียดของเรา เวลาเป็นนักแสดง “อ่านบทหรือเปล่า ทำไมไม่พูดตามบทที่เขาเขียน ทำไมไม่ตีความ ทำไมไม่อ่านว่าบทมาจากไหนและกำลังจะไปไหน ทำไมต้องให้คนมาบอก” แล้ว “พี่ดุล- อดุลย์ บุญบุตร” ก็จะเป็นอะไรที่ภาพสวยเขาจะมีมุมกล้องมุมภาพ บุ๋มพยายามไปดู แต่ว่าเราก็โง่ๆเซ่อๆ อยู่นะคะ เรื่องภาพ เพราะว่าเราไม่ค่อยรู้เรื่องมุมกล้อง เราจะมีแอ๊กติ้งเป็นหลัก ส่วน “อาชู-ชูศักดิ์ สุธีรธรรม” ก็จะทำให้ยากเป็นง่าย คือบางอย่างที่มันยากเกินไป นักแสดงทำงานยาก เสี่ยงเกินไป เราก็ปรับให้มันง่ายขึ้น อย่าง “แม่หนู-สรวงสุดา” ก็จะเล่าอะไรกระชับฉับไวมาก เราจะเอาของหลายๆ คน มารวมกัน
l ผลงานการกำกับฯที่ประทับใจ
เรื่องล่าสุดที่เพิ่งจบไปค่ะ “ขอเป็นเจ้าสาวสักครั้งให้ชื่นใจ” ทุกอย่างดีหมดเลย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เจอนักแสดง ผู้จัดฯที่แบบเป็นลูกเจ้านาย นึกว่าเขาจะเอาแต่ใจตัวเอง แต่เขาแมนมาก เจอโปรดิวเซอร์ที่น่ารัก เจอทีมอาร์ตที่มุ่งมั่นที่สุด ทำงานง่ายมาก เจอนักแสดงที่ทุ่มเททุกคน เจอฝ่ายเสื้อผ้าที่ทุ่มเท ตีความกับเราจริงๆ มานั่งอ่านบทด้วยกัน เจอคนเขียนบทที่เขายอมแก้บทให้เรา เพื่อที่เราจะได้ทำงานง่ายขึ้นเจอผู้ช่วย1-2 ที่ทำงานคลิกกัน แต่เรื่องนี้บุ๋มเปลี่ยนผู้ช่วย 1 ไป 4 คนนะคะ ยังคงเป็นผู้กำกับที่ไม่มีผู้ช่วย เพราะว่าเรารู้ว่าเราเยอะ แต่เรามีความรู้สึกว่าคนที่จะเป็นผู้ช่วยเรา วันหนึ่งเขาจะขึ้นมาเป็นผู้กำกับ แล้วเขาจะเข้าใจเรา ว่าทำไมเราถึงไล่บี้เขาอยู่คนเดียว...เรื่องรักปาฏิหาริย์ ต้องบอกว่าเป็นละครที่บุ๋มรัก รู้สึกสวยงาม เรื่องดีเพลงเพราะ บุ๋มเป็นคนชอบถ่ายละครต่างจังหวัด รู้สึกว่าได้รีแล็กซ์เป็นช่วงชีวิตที่สบาย...ส่วนเรื่องเรตติ้งก็น่าจะเป็นเรื่องมารยาริษยา เพราะว่าแรงที่สุด แซ่บ แต่ถ้าโดยรวมแล้วเรารักละครทุกเรื่องที่เราทำนะเพราะว่าเราไม่ได้มีผลงานเยอะ อยู่มา 30 ปี เพิ่งได้มากำกับละครและกำกับไม่ถึง 10 เรื่อง เริ่มกำกับละครตอนปี’50 ตกปีละประมาณเรื่อง เพราะว่าไม่สามารถรับคู่กันได้ และขณะที่กำกับละครก็ไม่สามารถที่จะรับเล่นละครได้ค่ะ
บุ๋มกับคุณแม่
l นักแสดงที่ได้กำกับแล้วเกิดความประทับใจ
ประทับใจมาก คือ “เกรท-วรินทร” เพราะรู้สึกว่าเขามีความทุ่มเทตั้งใจ เชื่อและศรัทธาในเรา เขาพร้อมที่จะเปิดใจรับตัวละครตัวนี้ที่เราบรีฟด้วยกัน เกรทเป็นเด็กที่เราเจอกันมาตั้งแต่เขาธรรมดามากๆ แล้วพอวันนี้เราเห็นเขาเติบโตและพัฒนาทุกอย่างทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและอินเนอร์ นี่แหละคือนักแสดงที่เราอยากเห็นการเจริญเติบโตและการพัฒนาของเขา
l สิ่งที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ
ตอนนี้เหรอคะ ไม่อยากทำอะไรแล้ว (หัวเราะ) บุ๋มเคยพูดว่าละครเรื่อง “เจ้าบ้านเจ้าเรือน”เป็นความฝันสุดท้ายของบุ๋ม คือหมายถึงว่าจากนี้ไปถ้าไม่ได้กำกับละคร หรือว่าไม่มีใครจ้างให้กำกับแล้ว บุ๋มก็ไม่แคร์ ไม่ใช่ว่าเราอิ่มแล้วนะคะรู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนไปเป็นนักแสดงบ้าง รู้สึกโหยหาการแสดง อยากจะกลับไปเล่นละครบ้าง อยากจะไปเต็มที่กับการแสดงละครจริงๆ ไปเป็นนักแสดงที่ไปฟังคนอื่นเขาบรีฟบ้าง เก็บกดมาก อยากปล่อยของ ตอนนี้มีละครติดต่อเข้ามาให้ไปกำกับเยอะ แต่ก็ปฏิเสธไปทั้งหมด ตอนเป็นนักแสดงก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครจ้างเรานะ เพียงแต่เราอยากจะมาทำเบื้องหลังเอง โดยรับค่าตัวน้อยมาก เป็นคนอื่นคงไม่ทำ เพราะว่าเราต้องเลี้ยงชีพใช่ไหม แต่เราไม่สน เรามีความรู้สึกว่าเราจะได้เรียนรู้ และเราก็ลงทุน อยากไปรีชาร์จตัวเองบ้าง คือเราทำงานเหมือนเดิมทุกวัน แม้ว่าตัวละครจะเปลี่ยน แต่เราอยากพลิกไปอีกด้านหนึ่งไปฟังคนอื่นไปมองคนอื่น แล้วเราจะได้รู้ว่าถ้าเรากลับมาเป็นผู้กำกับอีกครั้ง เราจะได้มีไฟมากขึ้นการมองด้านเดียวนานๆ มันอาจจะขาดตกบกพร่องไปก็ได้ค่ะ
ตอนนี้กำลังจีบพี่ไก่อยู่ว่าอยากให้ทำละครรีเมคของตัวเองสักเรื่องได้ไหม คืออยากให้พี่ไก่ทำเรื่อง “นางเอก” บุ๋มอยากกลับมากำกับเรื่องนี้ที่ตัวเองเคยเล่น แต่พี่ไก่ยังเงียบๆ อยู่ค่ะเพราะว่าไม่เคยทำรีเมคละครของตัวเองเลย ส่วนตัวเองคงจะเป็นนักแสดง ทำการแสดงเป็นแอ๊กติ้งโค้ช ไปเรื่อยๆ จริงๆ ก็อยากร้องเพลงนะเคยเป็นนักร้องเหมือนกัน คือมันก็เป็นกระแสที่เขาเอานักแสดงมาเป็นนักร้อง ดาราทุกคนไปเป็นนักร้องกันหมด เราก็ได้ออกอัลบั้มเดียว และไม่ดังด้วย เราก็ไม่เสียใจนะ เพราะรู้สึกว่าเพลงไม่เหมาะกับเรา และหนึ่งสิ่งที่ยังคาใจเป็นแผลในใจที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่เล่นอีกแล้วคือละครเวทีมิวสิคัล เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดี เคยเล่นบัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคัล แล้วก็แม่นาค เดอะมิวสิคัล แล้วหลอนมาก เลยรู้สึกว่าไม่เอาอีกแล้ว มีแต่นักร้องเล่น แต่เราไม่ใช่ กลัวว่าจะทำละครเขาพัง (บทบาทในฝันที่อยากจะเล่น ?) อยากเล่นบทเย็นๆ เยือกๆ อำมหิต แต่ว่าไม่มีใครรู้ คือแบบที่คนเห็นภายนอกว่าเมตตา แต่จริงๆ แล้วเลือดเย็นมาก โรคจิต เชื่อหรือยังคะว่าบุ๋มเก็บกดอยากเล่นละคร(หัวเราะ)
l เรื่องของการมีเหย้ามีเรือน
อย่าถามถึงเรื่องเหย้าเรือนกันในตอนอายุ 47 เลยค่ะ (หัวเราะร่วน) คือเราก็อยู่กับแม่ หลานแล้วก็พี่น้อง มีบ้างที่เหงา แต่ว่าเราก็ไม่เคยไม่มีแฟนไงคะ ที่ผ่านมาในชีวิตมีแฟนมาตลอด เป็นผู้ชายบ้าง เป็นทอมบ้าง แต่ก็จะมีช่วงที่บุ๋มเคยรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวไม่ได้ ก็เลยต้องมีแฟนมาตลอด เลิกกับคนนี้กระโดดเกาะคนนู้น เพราะว่ากลัวเหงา แต่ว่าวันหนึ่งเราก็ได้บอกกับตัวเองว่าเอาล่ะการมีแฟนแล้วเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ มันต้องมีอะไรผิดสักอย่าง แต่คิดว่าเป็นเรามากกว่า ลองไม่มีดูไหม ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ค่อยมี ก็ 2 ปีแล้วที่ไม่มีแฟน ยังรู้สึกชอบผู้ชายเคยชอบคนนั้นคนนี้ แต่ว่าพอไปแล้วมันไปไม่ถึง (แต่ ณ ปัจจุบันนี้เราได้ไปอัพเดทสเตตัสหัวใจของเธอมาแล้ว เห็นว่ากำลังมีรีเรชั่นชิฟกับหนุ่มรุ่นน้องที่เธอเองก็ยังไม่พร้อมจะเปิดตัว...ว้าวววว)
บุ๋มเป็นคนเพื่อนเยอะด้วยค่ะ คือไม่รู้จะขอบคุณอะไรดี บุ๋มมีกัลยาณมิตรมากมายอยู่รอบตัวมีเพื่อนทุกกลุ่ม ทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เพื่อนทำบุญ เพื่อนทำงาน เพื่อนคุยกันสาระไม่สาระ เพื่อนแก่ เพื่อนลูกน้อง ทุกคนเป็นเพื่อนได้หมด แล้วบุ๋มเป็นคนไม่มีวรรณะ ไม่แบ่งชั้นใครก็เป็นเพื่อนกับเราได้ แล้วพอวันหนึ่งเรารู้สึกว่าตรงนี้มันคือมิตรภาพที่ดี มันไม่ต้องตีความอะไรแล้ว (คุณแม่บ่นอยากอุ้มหลานไหม?) อยากมาก อยากให้แต่งงาน เพราะว่าเราเป็นคนเดียวในบ้านที่ไม่ได้แต่งงาน แม่เขาก็เป็นห่วง บางทีนั่งๆ ดูทีวี. เขาก็จะถามแล้ว ว่าเหงาไหม เราก็บอกว่ามาอยู่กับแม่แล้วไงไม่เหงา และเพื่อนก็มีเยอะต่อคิวกินข้าวทุกวันเลยเนี่ย และคุณแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ แต่เป็นคนอึดมาก อารมณ์ดี มีความสุข ชอบทำกับข้าว
พี่ไก่ บุ๋ม ติ๊ก กองละครเจ้าบ้านเจ้าเรือน
l ฝากแง่คิดถึงคนรุ่นใหม่
ปีนี้เป็นปีที่ 30 ที่พี่ไก่ปั้นบุ๋ม (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2528) และบุ๋มก็ได้มากำกับละครพี่ไก่ บุ๋มไม่มีแง่คิดที่ดีนะ แต่บุ๋มมีแง่คิดของตัวเองได้ไหมคะ สำหรับชีวิตบุ๋มการทำงานในวงการบันเทิงเชื่อว่าหัวใจสำคัญที่สุด คือ หัวใจที่รักในการทำงาน เมื่อหัวใจเรารักแล้ว เราจะทุ่มเทและมีวินัยในการทำงาน แล้วเราจะเผื่อแผ่ความรักในการทำงานนั้นไปสู่คนอื่นด้วย บุ๋มเชื่อว่าอาชีพนี้เราต้องทำให้มันเป็นอาชีพ เราอย่าทำเพื่อให้มีชื่อเสียง เพราะถ้าเราทำมันได้ไม่ดี ความมีชื่อเสียงก็จะหายไปในที่สุด ถึงแม้ว่าบุ๋มจะไม่ได้ดังระเบิดเถิดเทิง เป็นพลุแตกตลอดระยะเวลา 30 ปี แต่เชื่อว่าทุกครั้งที่บุ๋มเดินไปไหน คนจะจำบุ๋มได้ จำว่าเรากำกับละครเรื่องนี้ แค่คนเดียว ก็ทำให้เรามีความสุขได้ เพราะฉะนั้นความสุขเหล่านี้ เงินซื้อไม่ได้ค่ะ ชื่อเสียงก็แลกไม่ได้ ทุกวันนี้ยังมีคนทักเราในบทบาทการแสดงอยู่ ถ้าเป็นรุ่นที่แก่กว่าเรา ก็จะทักเรื่อง “นางเอก” และ “ทรายล้อมมุก” แต่ถ้าไปต่างจังหวัด จะทักเรื่อง “ดาวพระศุกร์” เพราะเป็นแม่มารศรีตัวร้าย ผลงานกำกับที่คนพูดถึงคือ “มารยาริษยา” แค่นี้บุ๋มก็สุขใจแล้วค่ะ
แม้จะสวมหมวกหลายใบ แต่เพราะทำด้วยหัวใจ จึงทำให้ผลงานทุกชิ้นของเธอออกมามีคุณภาพและประสบความสำเร็จเสมอ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี