คนส่วนใหญ่รู้จักเขาในชื่อ โต ซิลลี่ฟูลส์ (Silly Fools) อดีตนักร้องนำวงออลเทอร์นาทิฟร็อกที่โด่งดังช่วงปี พ.ศ.2540 วันนี้เขาเลือกที่จะหยุด หันหลังให้กับวงการ เพื่อเดินทางสายใหม่ ทางที่เขาเชื่อและมั่นใจกับการเป็น “โต” วีรชน ศรัทธายิ่ง ในทุกการกระทำ
l “โต” สมัยเด็ก
คุณแม่เล่าว่าผมโดนครูที่โรงเรียนทักเสมอว่า ชอบนั่งคนเดียว แล้วก็เหม่อคิดอะไรไม่รู้คนเดียว ผมว่าทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นอยู่บ้างนะ(หัวเราะ) นั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ สมองไม่ค่อยได้หยุด เท่าที่ผมจำได้คือเป็นวัยเด็กที่สนุกมีความสุข เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป มีซนมีเรียบร้อยตามสถานการณ์ ถ้าจะเงียบก็คือขี้เกียจพูดมากกว่า(หัวเราะ) เวลาซน ก็จะมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบเล่นอะไรแปลกๆ กัน ที่เด็กปกติเขาไม่ค่อยเล่นกัน อย่างพื้นไม่ลื่น ก็ไปเอาแฟบมาสาดพื้น แล้วเอาไม้กระดานมาสไลด์เล่นกัน อันนี้ตอน 7-8 ขวบนะครับ คุณแม่ผมชอบให้แอ๊กทีฟ แล้วพื้นฐานการเรียนเมืองนอก เขาจะสอนให้เด็กมีกิจกรรม เขาจะไม่เน้นการเรียน จนกว่าจะ 8-9 ขวบ ซึ่งช่วงนั้นผมจะอยู่ที่ต่างประเทศ เขาก็จะให้เล่น ยิ่งเล่น เด็กยิ่งสร้างสรรค์
l เรียนรู้และเติบโตในหลายวัฒนธรรม
ผมเกิดที่กรุงเทพฯ แล้วก็ไปโตเมืองนอก แล้วก็กลับมาเมืองไทย แล้วไฮสคูลก็ไปเมืองนอกอีกกลับมาไทยช่วงมหา’ลัย เรียนที่เอแบค จนจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจและการโฆษณา แล้วก็ยาวเลยครับ ครั้งแรกที่ไปเมืองนอกคือไปอเมริกา ไปต่อที่ซาอุฯ ตามครอบครัวไปครับ เพราะคุณพ่อเป็นแพทย์ของกษัตริย์ซาอุฯ แล้วก็มีไปฝึกที่อเมริกา ส่วนตอนไฮสคูลไปเรียนที่เทือกเขาหิมาลัย ประเทศอินเดีย อันนี้ผมเลือกไปเอง
ผมกับพี่น้องแตกต่างกันเลยครับ เพราะผมเป็นคนชอบลองของ ลองผิด ลองถูก ผมมีน้องสาวคนหนึ่ง เขาจะเป๊ะมาก เป็นหนอนหนังสือ เรียนเก่ง จบเกียรตินิยม ผมจะรู้สึกว่าการเรียนเสียเวลา ประสบการณ์สำคัญกว่าน้องชายก็จะเป็นอีกอย่าง เขาจะพูดเก่ง เน้นทางโลกคือสามพี่น้องคนละแนวเลย แต่ว่าลุยๆ เหมือนกันเพียงแต่ลุยคนละทาง คนละสายครับ ผมจะไปทางปรัชญา คิดไกล คิดลึกมากกว่า น้องสาวผมเขาจะไปทางด้านเศรษฐศาสตร์ น้องชายจะเป็นทางโลก เขาจะเก่งเรื่องค้าขาย เรื่องการดิวกับคน คนละวิชั่นกันครับ แต่ทุกคนกล้าหมด เพราะคุณแม่เลี้ยงมาให้กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะชน
l เริ่มเข้าสู่เส้นทางสายดนตรี
งานเพลงมาเริ่มตอนผมอยู่มหา’ลัยปี 2-3 ครับ ผมชอบเพลงอยู่แล้ว ตั้งแต่ ป.6ชอบที่จะแต่งเพลง แต่งทำนอง คือการเลี้ยงของแม่ผมชอบให้ใช้ความคิดมาก กลับบ้านแม่ผมจะให้เขียนเรียงความ 1 หน้ากระดาษทุกวัน การจินตนาการสำหรับผมเลยเหมือนกับเป็นนิสัยไปเลย ชอบแต่ง ชอบเขียน จนมาเรื่องเพลงผมคิดว่าตอนนั้นวงการเพลงไทยค่อนข้างล้าหลังมาก เลยตัดสินใจทำเอง ทำสิ่งที่ผมคิดว่ามีมาตรฐานที่ดีกว่า หลังจากนั้นก็ทำคู่กับการเรียนมาเรื่อย พอเป็นวง ผมก็ไปเล่นงานกลางคืน เป็นเมทัลบาร์แบบจริงจัง หลังจากนั้นเริ่มคิดทำงานของตัวเอง แทนไปเล่นเพลง coverจากนั้นก็เอางานไปเสนอค่ายเพลง(เลี้ยงตัวเองได้แล้ว ตั้งแต่เรียนมหา’ลัย?) ไม่นะครับได้เงินน้อยมาก แต่อยากจะเล่น เพราะว่ามีเรื่องของศักดิ์ศรี แล้วก็กระแส ส่วนรายได้ แค่ค่าแท็กซี่ไปทำงานก็หมดแล้วครับ
l ความเห็นจากทางบ้าน
พ่อผมไม่เห็นด้วยครับ พ่อผมเป็นหมอ แม่ผมเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน ผมก็ทำเพลงไปเรื่อย มีความสุขที่ได้ทำ ได้พัฒนาฝีมือของตัวเอง
l ยุคทองของการเป็น โต ซิลลี่ ฟูลส์
ผมไม่ได้คิดว่าเป็นยุคทองหรืออะไร ผมแค่ทำในสิ่งที่อยากทำ และผมก็พูดตั้งแต่วันแรกๆ ของการให้สัมภาษณ์แล้วว่า ถ้าผมเบื่อ ผมก็เลิก ผมหมดความสนใจ ผมก็จะเลิก ที่ผมทำ เพราะว่าชอบ และเมื่อผมได้ความรู้ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ รู้จักชีวิตมากขึ้น ผมก็เลิก แค่นั้นครับไม่ได้หมายความว่าผมต้องการจะแสดงให้โลกรู้ว่าผมมีความสามารถหรือเป็นยุคทองอะไร แต่ถ้าถามว่าดีไหม ดีครับ มีเงินใช้เยอะดี (หัวเราะ) และก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องของเงิน จะใช้ทำอะไรก็ได้ ผมเป็นคนที่ไม่ได้ฟุ่มเฟือย ไม่มีเล่นยามั่วสุม เพราะผมพอใจในตัวเอง ไม่ต้องมีของพวกนั้นมาทำให้ตัวเองรู้สึกดี ผมจะสนุกกับการพาครอบครัวไปเที่ยว ซื้อของให้ครอบครัว กำจัดหนี้สินให้ครอบครัว จะได้ไม่ต้องมีเรื่องคิดมาก ขอแค่ให้สภาพจิตใจมีความนิ่ง ผมซื้อตรงนี้มากกว่าครับ ผมเป็นคนไม่ฟู่ฟ่า เพียงแต่คนไม่ค่อยรู้ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมแต่งงานเมื่อไหร่ ผมค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัว เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงคำว่ายุคทอง ผมว่าผมมียุคทองตั้งแต่วันแรกที่ผมเกิดแล้วครับ เพราะผมค่อนข้างพอใจในตัวเอง
l ความโด่งดัง และกระแสความคลั่งไคล้จากแฟนๆ
ผมไม่รู้แฟนๆ คิดอย่างไรกับตัวผมนะครับ แต่สำคัญที่สุดคือที่บ้าน ครอบครัวพ่อ-แม่พี่น้องพอใจกับงานผมรึเปล่า ถ้าเขาตินี่ผมจะกลุ้มมาก เพราะแม่ผมก็เป็นนักกวีนักเขียนกลอน น้องผมก็จบอักษรฯ เป็นนักปรัชญาแต่ละคนมาตรฐานสูงมาก เขาจะวิจารณ์แบบเสียหายเลย ถ้าไม่ได้เรื่อง สำหรับแฟนๆ ผมเฉยๆครับ แต่ถ้าทำงานแล้วที่บ้านพอใจ คนรู้จักเข้าใจงานผมได้ ผมก็จะรู้สึกดี อันนั้นคือเป้าหมายสูงสุด ส่วนแฟนเพลงจะคิดอย่างไร เป็นเรื่องที่เขาสามารถเลือกได้เองครับ
ผมเองไม่ค่อยได้เที่ยวมากเท่าไหร่เคยลองเที่ยวอยู่ปี 2 ปีช่วงที่ดังๆ ว่าชีวิตเป็นยังไง ก็เบื่อ เพราะผมคิดว่าซ้ำซาก สุดท้ายก็เลิกเที่ยว และก็ไม่ค่อยได้เข้าสังคม ไม่ไปงาน ไม่มีข่าว เพราะผมพูดจริงๆ คือ ขี้เกียจยิ้มเยอะ เหมือนอย่างที่บอก ชอบอยู่คนเดียวมากกว่า เพราะบางทีมันเหนื่อยนะครับ กับการที่ต้องทำให้ผู้คนรอบข้างสนุกตลอดเวลา
l ซ้ำซาก เบื่อ ถึงได้หยุด?
นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักนะครับ เป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ เพราะถ้าผมคิดถึงเรื่องของการมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมคงไม่เลิก ซ้ำๆ ซากๆไปก็ได้ เพราะผมเขียนเพลงได้เรื่อยๆ ถือเป็นพรสวรรค์ที่ผมได้มา ผมคิดไม่เหมือนกับคนอื่นที่ทำงานดนตรี คือตราบใดที่ไม่ตันก็สามารถทำได้เรื่อยๆ แต่สำหรับผม เงินหรือชื่อเสียงไม่ได้สำคัญ ประเด็นคือความพอใจมากกว่า
l จุดเปลี่ยนของการเปลี่ยนแปลง
ผมเริ่มเรียนรู้ เริ่มมีเวลาคิดเยอะเริ่มคิดว่าตกลงชีวิตคืออะไร เรากำลังทำอะไรอยู่เขียนเพลงแล้วเราเปลี่ยนสังคมได้จริงๆ รึเปล่า คุณค่าของความเป็นคนคืออะไร คนมายังไงอยู่เพื่ออะไร ตายไปไหน คำถามพวกนี้เริ่มเข้ามา ทำให้ผมเริ่มค้นหาสัจธรรม พอจะหาสัจธรรมหาความจริง ก็ต้องมาไล่หาศาสนา ผมเริ่มค้นหาทุกศาสนา เริ่มจากไบเบิ้ลที่เขาเก็บตามข้างเตียงในโรงแรม ผมอ่านคัมภีร์ของทุกศาสนา ดูพระเทศน์ในทีวี. ดูสารคดี แล้วก็คิดๆ สุดท้ายมาสรุปที่ศาสนาอิสลาม หาอัลกุรอานแปลมาเริ่มอ่านที่นี้มาโดนตรงที่อัลกุรอานต่างจากคัมภีร์อื่นๆผมเริ่มเข้าลึก หาว่ามนุษย์มายังไง ทุกอย่างมายังไง ถ้าจะนั่งเฉยๆ แล้วคิดว่าทุกอย่างอยู่ๆ ก็มาผมว่าผมรับตรงนี้ไม่ได้ หรือวิทยาศาสตร์จะบอกว่าเรามาจากลิง อันนี้ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน ผมศึกษาหมด ทั้งทางวิทยาศาตสตร์ ทางสังคม จนมาสรุปท้ายสุด ศาสนาที่ผมเลือกคือศาสนาอิสลาม ซึ่งก่อนนั้นถ้าถามว่าผมศาสนาอะไรผมบอกได้เลยว่าผมไม่มีศาสนา คือก็เหมือนคนทั่วไป พูดว่ามีศาสนาแต่ไม่ได้คิดลึกซึ้ง ไปสนใจทางโลกมากกว่า ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักศาสนาก็ถือว่าไม่ใช่คนศาสนานั้น เพราะฉะนั้นก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนไม่มีศาสนา ผมค่อนข้างจะยอมรับความจริงครับ ก็เลยเลือกแล้วก็ค้นหา และเข้าถึงปรัชญาศาสนาอิสลาม มีหลายอย่างที่ตอบคำถามผมได้เยอะมาก เพราะความเชื่ออื่นเขาค่อนข้างจะเป็นทางธรรมกับทางโลกแยกกันไม่มีมาบรรจบกัน แต่อิสลามไม่ใช่อย่างนั้น ทุกอย่างมีที่มาที่ไป เป็นทั้งวิทยาศาสตร์ สังคม กฎหมาย เป็นสิ่งที่ผมหาข้อจับผิดไม่ได้ และสามารถตอบคำถามผมได้หมด ผมเลยกลายเป็นเชื่อว่าโลกนี้มีมากกว่าการสิ้นลมแล้วจบ ทุกอย่างเกิดจากการออกแบบมาทั้งหมด ใครเป็นผู้ออกแบบ ผมได้คำตอบหมดแล้วจากอัลกุรอาน ผมเลยเลือกเดินตามในสิ่งที่ผมเชื่อ และใช้เวลากับมัน
พอผมรู้ว่างานเพลง ทำให้คนลืมที่จะคิดเรื่องของสัจธรรม ทำให้คนมัวเมา ไม่มีเวลา
คิดว่าเราเกิดมายังไง เวลาเราจะหมดเมื่อไหร่
มีบัญญัติว่าผิดที่เราทำให้คนหลงทาง ไม่เห็นโลกของความจริง หลงมัวเมา ต้องหยุดนะ ผมก็หยุด
l เกิดกระแสวิจารณ์ “โต หลุดโลก”
ถ้าอย่างนั้นคน 2 พันล้านคนบนโลกนี้ก็หลุดโลก เพราะมุสลิมมี 2 พันล้านกว่าคนบนโลกใบนี้ครับ มีหลายคนที่ยิ่งกว่าผมอีก เขาไม่ได้มีพื้นฐานทางศาสนาอิสลามเลย แต่เขามารับอิสลาม ยิ่งมีคนพยายามใส่ร้ายอิสลามมากขึ้นเท่าไหร่ คนก็ยิ่งรับมากขึ้น เพราะต้องการค้นหาความจริง ว่าเลวร้ายจริงหรือเปล่า แล้วเขาก็จะพบเองว่าจริงๆ ไม่ใช่
หลุดโลกไหม ผมยอมรับว่าผมหลุดจากสังคมที่ผมอยู่แน่นอน ดูจากงานเพลงผมก็จะหลุดจากทุกคน เพราะผมจะไม่เดินตามใครผมไม่เดินซ้ำรอยเท้าคนอื่น เพราะว่ามันน่าเบื่อ ตั้งแต่เพลง ความคิด การพูด ผมว่าผมมีทางของผม ถ้าบอกว่าผมหลุดโลกในแง่นี้ ผมยอมรับนะเพราะผมไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้เป็นเหมือนสิ่งที่มีอยู่แล้ว หลุดไหมหลุด บ้าไหม ไม่ มาวัดความรู้ผมได้ครับ ผมว่าผมเอาชนะได้ 80-90% ถ้าผมมีความรู้ในเรื่องนั้นนะ เพราะผมหลุดอย่างมีเหตุผล หลุดที่จะคิด
l หมดงาน แต่ไม่หมดเงิน
พอไม่ได้ร้องเพลง ผมก็ไม่มีรายได้ครับ แต่ผมมีเงินเก็บ อย่างที่บอก ผมไม่ได้เที่ยว พอหยุดผมก็หยุดจริงๆ โดยไม่ได้คิดเรื่องเงินมาเป็นข้อแม้ เพราะผมว่ามีอะไรยิ่งกว่านี้อีกเยอะ ที่ผมต้องแลก แต่สิ่งที่แปลก ที่ผมจะพูดคือเงินที่เราได้มาจากสิ่งสกปรก คือสิ่งที่ผมเคยทำมา ผมถือว่าเป็นเงินสกปรก มันหายไปได้ยังไงไม่รู้เร็วมาก หมดเร็วมาก แล้วผมก็อยู่อย่างนั้น จนถึงตอนนี้
l ผันสู่การเป็นพ่อค้าขายเนื้อ
ผมเริ่มธุรกิจนี้มาประมาณ 1 ปีครับ ผมใช้เงินที่เหลืออยู่อย่างมัธยัสถ์ พอเลิกงานเพลงปั๊บ ผมเลือกทำงานกับศาสนาเป็นหลัก โดยการไปบรรยายตามมหาวิทยาลัย ตามที่ที่เขาเชิญผมไปทั่วประเทศ ให้เขารู้จักว่าจริงๆ อิสลามคืออะไรทำรายการทางช่องทีวี.มุสลิม นำความรู้ที่ผมมีมาบริหารงานช่องทีวี.มุสลิมให้เกิดความน่าสนใจ ไม่ใช่นั่งเทศน์แล้วคนก็ไม่ดู พอทำไปสักพักเริ่มรู้สึกว่าต้องขยับละ ก็มาเจอเพื่อนผม เขาเป็นนายธนาคารมาก่อน เขาก็เลิกทุกอย่างที่ทำเรามานั่งคิดกันว่าต้องหารายได้ ไม่งั้นทำงานศาสนาต่อไม่ได้ คนพยายามทำให้อิสลามกับพุทธแตกกันเยอะมาก ซึ่งมีคนจากเมืองนอกมาอยู่เบื้องหลัง ทำให้ประเทศเราเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าผมไม่มีตังค์ ก็จะทำอะไรลำบาก คนอื่นเขาใช้สื่อระดับโลกประโคม เราเลยต้องคิดทำอะไรสักอย่าง จนมาได้หุ้นส่วนช่วยกันคิด สุดท้ายเลยมาเจอธุรกิจนี้ ที่เหมือนถูกจัดวางไว้ แล้วก็เป็นธุรกิจที่ผมชอบ ผมชอบเนื้อ ผมรอมาเกือบ 7 ปีที่ไม่รู้จะทำอะไรดี ทำแต่งานด้านศาสนา เพราะผมทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่ชอบ ต้องชอบก่อน เพราะไม่งั้นพอไม่รักก็ทำได้ไม่ดี ทำได้แป๊บเดียวผมทิ้งแล้ว
พอเริ่มปุ๊บ ทุกอย่างก็เติบโตขึ้นมาเร็วมาก ภายในปีหนึ่งผมว่าคนรู้จัก Company Bค่อนข้างจะเยอะ สินค้าที่ผมทำ ไม่มีใครทำมาก่อนในเมืองไทย ผมชอบทำในสิ่งที่คนไม่ทำ คือเป็นเนื้อ dry beef ซึ่งเมืองไทยไม่มี ของผมคือเนื้อไทย ที่พัฒนาโดยการบ่ม 30 วัน จนคุณภาพเนื้อไทยไม่ต่างจากเนื้อฝรั่ง และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา
ชื่อบริษัท Company B โดย B มาจากคำว่า บารากัส ในภาษาอาหรับ หรือ blessing ความหมายคือการได้พรจากพระเจ้า ธุรกิจอิสลามิกซ์ไฟแนนซิ่ง ผมอยากทำให้คนได้เห็นว่าธุรกิจที่ถูกต้อง ใสสะอาดจริงๆ เป็นยังไง การไปบรรยายเรื่องศาสนา ผมไม่ได้ยัดเยียดเรื่องศาสนานะครับ ผมพูดภาษาปกติ เรื่องสัจธรรมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนสื่อสารกันได้ เขาอาจจะไม่ใช่คนมุสลิมก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาฟังแล้วเขามีแนวคิดแบบนี้ เขาจะมีวิถีชีวิตที่สบายขึ้นสำหรับตัวเขาเองครับ ถ้าเขาคิดดีได้ ก็จะดีสำหรับเขาดีสำหรับเมืองไทย สำหรับโลก
แม้ยังไม่มีกำไร แต่เส้นทางสดใส
ที่ผ่านมาปีหนึ่ง หลายๆ อย่างเริ่มลงตัว ถึงแม้จะยังไม่ได้กำไร แต่มีค่าใช้จ่ายในการเดินหน้าธุรกิจได้ ผมถือว่าโอเคแล้วครับ หลังจากนี้เป็นเรื่องของกำไร และคืนทุน ที่ผมกับหุ้นส่วนระดมมา เพราะนักการศาสนา เงินที่เข้ามาจะต้องสะอาด ไม่ใช่เงินสกปรก เพราะฉะนั้นผมต้องเช็คแบ๊กกราวนด์ทุกคนที่ลงทุนกับผม ว่าเขาทำอาชีพอะไร เงินสะอาดรึเปล่า เพื่อที่จะมาลงทุนธุรกิจนี้ผมกับหุ้นส่วนเริ่มธุรกิจนี้ในรูปแบบอิสลามมิกลอว์ คือใช้กฎหมายของอิสลามิกตั้งแต่แรก กลุ่มคนที่เข้ามาทำ การดิวกับลูกค้า ต้องสะอาดหมด เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่มีประโยชน์สำหรับผม เพราะผมหนีมาแล้ว จากตรงที่สกปรก แต่ธุรกิจผมไม่ได้ค้าขายแต่เฉพาะกับมุสลิมนะครับผมติดต่อกับทุกศาสนา แต่ว่าทำยังไงให้เขาพอใจ ให้เขารู้สึกว่าทำงานกับมนุษย์ ไม่ได้แก่งแย่งเล่นแง่ไม่มีการใช้เล่ห์เหลี่ยม ผมจะไม่ใช้วิธีนั้นเด็ดขาด
พนักงานเราให้เขาเต็มที่ทางปัจจัยแต่เขาต้องได้ทางวินัย ไม่จำเป็นว่าเขาต้องเป็นมุสลิมนะครับ แต่เขาต้องเข้าใจวิถีทางมุสลิม ห้ามกินเหล้า ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามเล่นการเมืองกันในนี้ ผมเอาออกทันที เล่นยาผมเอาออกทันที สัจจะต้องมี จะไม่มีการใช้งานเหมือนทาส เพราะบริษัทนี้ถูกก่อตั้งมาเพื่อทำงานสังคม เขาต้องเข้าใจเรื่องของการใช้ชีวิตในสังคมด้วย เขาต้องมีเวลากับที่บ้าน ผมพยายามจะออกแบบให้ทุกคนมี space ในการใช้ชีวิต
l มีความสุขกับทุุกสิ่งที่ทำ
ผมสุขมาตลอดครับ แต่การใช้ชีวิตมันไม่มีวันหยุด จนกว่าเราจะหมดลม ต่อไปจะมีอะไรอีกไม่รู้ เรื่องราวผมอาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมไม่มีอะไรต้องโกหกกับสังคม พ่อแม่ผมเลี้ยงมาแบบนั้น ไม่มีแม้สักอย่างเดียว เพราะผม
คิดว่าการโกหก เหนื่อยนะ ที่จะต้องจำสิ่งที่โกหก
เพื่อไม่ให้เราเสียหน้ากับคนอื่น เพราะฉะนั้น
อย่าทำผิดดีกว่า จะได้ไม่ต้องโกหก
l บทบาทการเป็นคุณพ่อ
ผมเป็นคุณพ่อลูก 3 ที่เดือนหน้า (ธันวาคม) กำลังจะเป็นคุณพ่อลูก 4 แล้วครับ ผมแต่งงานตั้งแต่ตอนยังเป็นนักร้องอยู่ คือแต่งก่อนที่จะมีลูกคนแรก 8-9 ปี ผมเจอกับภรรยาโดยบังเอิญ ผมขอกับพระเจ้าแล้วก็ได้เจอเขา เราแต่งกันเงียบๆ มีเพื่อนๆในวง พี่ๆที่แกรมมี่บางคนทราบ คือให้คนที่จำเป็นจะต้องรู้ ได้รู้ว่าผมมีภรรยาแล้ว และผมก็ไม่มีลูกมาเกือบ 8 ปี คือ
ปล่อยธรรมชาติมาตลอด มีก็มี ไม่มีก็ไม่มี แต่ 8 ปี
ที่ผ่านมาไม่มี เพิ่งจะมามีคนแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คนแรกเป็นผู้ชาย คนที่ 2 กับ 3 ผู้หญิง และ
คนที่4 น่าจะเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งครับ คือมาก็
มาทีเดียวเลยครับ(หัวเราะ)
ผมว่าการเป็นพ่อคนทำให้เรารู้จักตัวเองทุกวันนี้เรากำเริบเราคิดว่าตัวเองเจ๋ง แต่จริงๆเรามาจากช่องคลอดเหมือนกัน การเฝ้าดูเขา ทำให้ผมได้ย้อนดูความเป็นมนุษย์ของตัวเองผมเหมือนกับเขาทุกอย่าง ได้เฝ้ามองวิวัฒนาการของมนุษย์ ลูกผมให้อะไรผมเยอะมาก คำถามที่เด็กยิงมาแต่ละอย่างมันสะอาด ไม่มีการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นผมต้องตอบให้ดี นอกจากที่เขาเรียนรู้จากผมแล้ว ผมก็ได้เรียนรู้จากเขาด้วย
l คุณพ่อโต เป็นแบบไหน? ดุ, ใจดี หรือฟรีสไตล์
ผมว่าคนเราฟรีสไตล์ไม่ได้ครับ จะกลายเป็นเสียคน แต่ว่าเล่นก็คือเล่น ดุก็คือดุ แต่ว่าลูกจะรักผมมาก ถ้าเขาผิดเขาจะกลัว แต่ไม่กลัวที่จะตอบโต้ เพราะเขารู้ว่าผมฟังเหตุผล เพราะฉะนั้นเขาจะกล้าพูดกล้าถาม ลูกชายถามผมว่าทำไมฟ้ามีอันเดียว แต่ดาวมีหลายอัน แปลว่าอะไร เขาถามผมตอนเขา 3 ขวบ คำถามแปลกๆพวกนี้เราต้องตอบให้ดี และเราต้องมีความรู้ในเรื่องนี้ ซึ่งในอัลกุรอานมีคำตอบในเรื่องนี้หมด วิทยาศาสตร์เป็นยังงี้ แล้วเด็กเขารับได้เร็วมากนะครับ หลายๆ คำถามที่ลูกถาม ผมจะเอามา
โพสต์ในเพจผม เป็นคำถามต่อให้กับผู้ใหญ่ให้ได้คิด เพราะผมได้อะไรเยอะมากจากลูกๆ ครับ
l จะได้ยินเสียงเพลงจาก “โต” อีกไหม
ไม่แล้วครับ ผมรู้ว่าผมทำอะไรผิดผมไม่ทำอีก (ได้ติดตามความคืบหน้าของวงซิลลี่ฟูลส์บ้างไหม?) ผมไม่ได้เปิดทีวี. ไม่รู้เรื่องดนตรีเลยครับ ไม่ใช่แค่ผมไม่ทำดนตรีนะครับ ผมไม่ฟังด้วย ไม่ฟังของใครเลย ผมมองว่าเสียเวลา (กับเพื่อนๆ ในวงการ ) ผมไม่ได้ติดต่อใครเลยครับ นานๆ ทีจะโทร.คุยบ้าง สำหรับคนที่รู้จักผมจริงๆ ต้องการแนวคิดจากผม เขาจะโทร.มามีอยู่ไม่กี่คนครับ แต่คนที่คบกับผมเพราะความเป็นนักร้อง เขาก็จะหายไปเอง เพราะผมคงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาแล้ว
l วันนี้สุขกว่าเมื่อวาน?
สุขกว่าไหม ไม่รู้ แต่สงบกว่า นิ่งกว่า คือวิชั่นของโลกชัดเจนกว่าตอนวัยรุ่น ผมไม่ได้ทำเพราะความคึกคะนอง ตอนนี้ในใจผมนิ่งผมรู้สึกตัวเองมีประโยชน์กับสังคมมากขึ้น พอใจในตัวเอง อันนี้เรารู้ด้วยตัวเองนะครับ ไม่ใช่รู้จากคนอื่น ถ้าคนอยากจะหาความสุข ต้องหาจากตัวเองว่าเราพอใจรึเปล่า ซึ่งตอนนี้ผมพอใจมากครับ เวลาไปบรรยาย ไปพูดเรื่องสัจธรรม แล้วเห็นคนฟังเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าผมจะทำได้ มันไม่เหมือนกับเพลง ขึ้นไปร้องเพลง คนดีใจ หัวเราะ กลับไปจบ แต่อันนี้เราให้ข้อมูล ทำให้เขาเปลี่ยนชีวิตเขา อุดมการณ์เขา ครอบครัวเขา เขากลายเป็นคนที่มีคุณค่าในสังคม พ่อ-แม่มาขอบคุณผมที่เห็นลูกกลายเป็นคนที่มีค่าของสังคม
l กิจวัตรประจำวัน
ข้อแรกผมต้องมีเวลาให้กับลูกครับผมจะมาทำงานเลทนิดหนึ่ง เพื่อใช้เวลาอยู่กับเขาตอนเช้า ให้เขาเห็น เขาเล่นปีนคอผม กระโดดไป-มา ผมจะยังไม่ให้ลูกเข้าโรงเรียนจนกว่าจะ7 ขวบ เพราะผมอยากให้เขาบ่มนิสัยจากพ่อ-แม่ก่อน ผมไม่รู้จะให้รีบเรียนกันทำไม ความรู้ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผม ความเป็นคนสำคัญกว่าความรู้นี่ ลูกผมรู้มากกว่าเด็กที่ไปเรียนอีกนะครับ ทั้งที่ยังไม่เข้าเรียน แต่อ่านหนังสือเป็นแล้วผมว่าพื้นฐานความเป็นคน จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่7 ปีแรกของชีวิต เก่งไม่เก่งไม่เกี่ยวกับผม อยู่ที่ว่าเขาจะดีหรือเปล่า อันนี้เป็นหน้าที่ของพ่อ-แม่
ผมกับภรรยาเลือกที่จะเลี้ยงลูกเอง จริงๆ ภรรยาผมหนักสุด ต้องให้เครดิตคนเป็นแม่เพราะผมออกมาทำงาน เขารับเละเลย (ไม่ได้จ้างพี่เลี้ยง?) ไม่ครับ เขาหนักมาก แฟนผมเขาอึดมากครับ(หัวเราะ) เพราะถ้าให้พี่เลี้ยงดู ก็จะกลายเป็นลูกของพี่เลี้ยง ผมว่าถ้าเราจะมีลูกเราก็ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งของเขา
เวลาไปบรรยายส่วนมากจะเป็นศุกร์-เสาร์ หรืออาทิตย์เว้นอาทิตย์ บางทีอังคาร-พุธ ผมจะหยุดงานไปถ่ายรายการต่างจังหวัด เพราะผมอยากให้คนเห็นความสวยงามของประเทศไทย และพูดเรื่องของอิสลามในบรรยากาศที่แตกต่างจากเดิม วันศุกร์มีรายการสด ที่เหลือทำงานผมพยายามกลับบ้าน 5 โมง เล่นกับลูกจนถึง2 ทุ่ม แต่จริงๆ ไม่ได้เล่นอะไรกับเขามากนะครับ ผมก็เหนื่อยเหมือนกัน เด็กๆแรงเยอะ(หัวเราะ) ผมก็แค่นั่งให้เขาเห็นหน้า เขาถามอะไรก็ตอบ ลูกๆ ก็วิ่งเล่นกันไป และในหนึ่งสัปดาห์ต้องมีวันที่ผมหยุดเพื่อพาภรรยาและลูกไปจับจ่าย เที่ยวบ้าง ให้เขาได้เห็นธรรมชาติ
ผมว่าเราทำได้กันทุกคน ถ้าเรามีเป้าหมายแต่ที่คนทำไม่ได้ เพราะเขาไปตั้งเป้าหมายผิด เข้าใจว่าเอาเวลาไปทำงานหาเงินเพื่อให้ลูก ลูกไม่ได้ต้องการเงินครับ แต่ต้องการเรา อยากหาเงินส่งลูกเรียนโรงเรียนแพงๆ ผมว่าโรงเรียนที่ดีที่สุด 7 ปีแรกคือเลี้ยงเองครับ
l สมาชิกตัวน้อยในบ้าน
คาแร็กเตอร์ภรรยาผมเขาจะใจดี ง่ายๆ สบายๆ ซึ่งตรงนี้ลูกคนที่ 3 ได้แม่ครับ คนโต จะนิ่งๆ ช่างคิด และก็ใจดีเหมือนแม่ คนที่ 2 ซีเรียสมาก คนนี้น่าจะเหมือนผมมาก ไม่ค่อยพูด นั่งเล่นคนเดียว ส่วนคนที่ 4 คลอดเดือนหน้า(ธันวาคม) ยังไม่รู้เลยครับว่าจะเหมือนใคร
ตลอดการนั่งพูดคุย สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ คือเขามีสุขกับทุกวินาทีที่ได้ก้าวเดิน เพราะวันนี้เขารู้แล้วว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร ส่วนระยะทางจากนี้ จะเป็นเช่นไร “โต” วีรชน ศรัทธายิ่ง ยกให้ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ.. (ส่วนท่านที่มองหา ภาพครอบครัว “โต” ขอเก็บเป็นภาพส่วนตัวค่ะ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี