จากเด็กหนุ่มที่รักและหลงใหลในกีฬา แต่โชคชะตานำพาให้เขาได้มาโลดแล่นบนถนนสายบันเทิง สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ขอนำทุกท่านร่วมย้อนวันวานไปกับอดีตหนุ่มบอยแบนด์กล้ามล่ำ “เต้-นันทศัย พิศัลยบุตร”
J ผลงานยังคงต่อเนื่อง
ที่กำลังออกอากาศคือละคร “มรสุมสวาท” และที่กำลังถ่ายทำอยู่มีเรื่อง“กาลครั้งหนึ่ง...ในหัวใจ” ของคุณเติ้ล-ตะวัน บทบาทตอนหลังมานี้ ผมมักจะได้แนวบู๊หรือไม่ก็โชว์บอดี้ครับ ที่เพิ่งจบไปก็ “เทวดาฟันน้ำนม”, “ตะพดโลกันตร์” เหมือนเป็นจังหวะด้วยครับ ที่พอผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ได้เล่นฟิตเนสเข้ายิมเปลี่ยนแปลงสรีระตัวเองให้ดีขึ้น บทบาทที่ได้รับมันก็เปลี่ยนไป จากเป็นเด็กธรรมดา หรือเป็นพนักงานออฟฟิศ ก็ได้รับบทที่แข็งแรงขึ้น เข้าทางเลยครับ
J ค้นพบว่าชอบออกกำลังกายตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมเป็นนักกีฬาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ 6 ขวบเป็นนักกีฬาของโรงเรียน วิ่ง ปิงปอง บาสฯ ฟุตบอล เล่นเป็นหมด และผมเคยไปแข่งวิ่งเขต เล่นเทนนิสตั้งแต่สิบขวบ เพราะว่าคุณพ่อผมเป็นแชมป์เทนนิสประเทศไทย เลยกลายเป็นครอบครัวนักกีฬา โตมา
ถ้าผมไม่ได้เป็นนักแสดงก็คงเป็นนักกีฬาไปแล้ว (กีฬาที่เล่นได้ดีที่สุด ?) ฟุตบอลกับเทนนิสครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังเล่นอยู่ ตีเทนนิสทุกอาทิตย์ ฟุตบอลก็เล่นเรื่อยๆ กับเพื่อนๆ และผมออกกำลังกายมาตลอด แต่ว่าความเฟิร์มของร่างกายเราไม่มีนะ เพราะว่าเราไม่ได้คุมอาหารเลยไม่มีกล้ามเนื้อที่สวยงาม เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็เลยตัดสินใจเข้ายิมเล่นเวท คุมอาหาร และหาโค้ชมาดูแลเรื่องนี้ ตั้งเป้าว่าจะต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ เพราะว่าผมก็ 34 แล้ว ถ้าไม่พัฒนาตัวเองอยู่กับที่ก็จะมีแต่ตกลงๆ เด็กรุ่นใหม่มา เด็กกว่าหน้าใสกว่าดูพร้อมสดกว่า ก็เลยพัฒนาตัวเองทั้งรูปร่างหน้าตาการทำงาน 2 ปีผ่านไปก็เลยได้หุ่นแบบนี้มาครับ (ยิ้มปลื้ม) แล้วเชื่อไหมครับว่าแรงบันดาลใจของผมคือเพื่อนผมเอง ซึ่งผมได้ไปดูคอนเสิร์ตของอาร์เอส เพื่อนผมคุณกำปั้น บาซู กระชากเสื้อเต้นแล้วคนทั้งฮอลล์กรี๊ด เราก็รู้สึกว่า โห! ทำไมมันเท่จังวะ...กล้ามนี่คือแน่นมาก คือก่อนหน้านี้ เราก็เห็นเขาเล่นกล้ามเล่นเวท แต่ว่าเราไม่สนใจ ผมเห็นแล้วยอมรับเลยว่าเพื่อนเราเท่มาก แต่ผมนี่ย้วยเลย หลังจากคอนเสิร์ตวันนั้น ผมก็ติดต่อหาโค้ชเลยครับ ซึ่งผมก็ได้ คุณบิว เดชอดุลย์ ซึ่งตอนนี้เป็นนักเพาะกายทีมชาติมาเป็นโค้ชให้ตอนนี้เลยมาเล่นด้วยกันเป็นแก๊งไปแล้วครับ มีผม กำปั้น จิม-เจจินตัย
J แอบภูมิใจเบาๆ กับสรีระที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม
ผมรู้สึกดีใจ คือผมได้เป็นหนึ่งแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน ในการเปลี่ยนตัวเอง การที่ผมโพสต์รูปถอดเสื้อหนึ่งรูป แล้วมีคนเข้ามาสนใจ ขอคำแนะนำ แค่นี้ก็รู้สึกดีใจแล้ว ผมยังจะเล่นต่อไปเรื่อยๆ ทิ้งไม่ได้ครับ ทำมาขนาดนี้แล้ว ยอมรับว่าเมื่อก่อนผมนี่ตัวเที่ยวเลย ขาดื่ม ไม่ห่วงสุขภาพเลย ทุกวันนี้ดื่มครับ แต่ว่าเราดื่มเพื่อสังคม แล้วก็พักผ่อน พรุ่งนี้ออกกำลังกายนะไม่ใช่กินแล้วนอน ผมควบคุมอาหารจนทุกวันนี้ทำอาหารขายเองเลย ทุกเมนูเอามาจากประสบการณ์ของผม ต่อยอดให้ได้หมดทำใช้ชีวิตมีอะไรมากขึ้น เหมือนเป็นการเอาประสบการณ์ดีๆ ของตัวเองมาแชร์
J ถ้าไม่เข้าวงการบันเทิงคงเป็นนักกีฬาทีมชาติ
อย่างที่บอกว่าผมเป็นนักกีฬาโรงเรียน ทุกเย็นจะต้องไปวิ่งรอบสนามสิบรอบเอาล้อรถบรรทุกมาพันยางแล้วเอาเชือกผูกที่เอววิ่งลากขึ้นตึกทุกวัน กลับบ้านหกโมงเย็นทุ่มหนึ่ง ด้วยความที่พ่อผมเป็นนักเทนนิสทีมชาติด้วยมั้งครับ เลยซึมซับการเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ ผลการเรียนก็กลางๆ จะชอบกีฬามากกว่า จนมา ม.2 อายุ13 ไปเดินสยามแล้วมีแมวมองติดต่อมาให้ไปแคสโฆษณา ตอนนั้นเป็นโฆษณากล้องโพลารอยด์ ผมก็ไปแคสดู แล้วได้ค่าตัวมาสองพันบาท หลังจากนั้นทางบริษัทดัชมิลล์ที่เขาจะมีโปรเจกท์โฆษณา ซึ่งเป็นพี่เต๋ากับพี่มอสเล่นอยู่แล้ว มีคนส่งรูปผมไปให้ พี่คิง-สมจริง ศรีสุภาพ ซึ่งเป็นผู้กำกับโฆษณาตัวนั้น พี่คิงก็สนใจเลยเรียกเข้ามาดูอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาก็ได้ถ่ายเลย เล่นกับพี่เต๋า พอดัชมิลล์มีการจัดประกวดดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล เป็นครั้งแรกปี 1997 แต่ในปี 1996เป็นรุ่น พี่เขตต์ ฐานทัพ พี่อ้น-สราวุธ เป็นการแต่งตั้ง ทางดัชมิลล์ก็ถามผมว่าจะประกวดไหม ถ้าประกวดก็ต้องเสี่ยงนะ แต่ถ้าไม่ประกวดเขาก็จะแต่งตั้งให้เลย สรุปเขาก็คงไม่อยากมีปัญหาถ้าประกวดแล้วผมเกิดได้ขึ้นมา เขาเลยแต่งตั้งผมกับ เอมี่-อาทิตยา คู่กัน ส่วนที่ได้ตำแหน่งปีนั้นก็มี อั้ม-อธิชาติ เจี๊ยบ-ชมพูนุช อ้น-ทรงวุฒิ เลยเป็นการเข้าวงการเต็มตัว เพราะว่าได้ทำงานพิธีกรเรื่อยๆ จนอายุ 16 ทางดัชมิลล์ก็ส่งผมไปทำสกรีนเทสต์ที่แกรมมี่ ได้ออกเทป BKK เติ้ล เต้ ติว เป็นงานที่สร้างโปรไฟล์สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างจริงจัง
J เกินความคาดหมาย เมื่อได้เป็นนักร้อง
การเป็นนักร้องเป็นอีกหนึ่งความฝันครับ แต่เรานึกถึงช่องทางไม่ออกว่าเราจะเข้ามาเป็นได้ยังไง เราเป็นแค่เด็กธรรมดา เรียนหนังสือ เล่นกีฬา จนมาวันหนึ่งเราก็ได้มาเป็นนักร้อง ก็โอเคครับสนุก ได้ออกแค่อัลบั้มเดียว แต่เป็นอัลบั้มที่ผมภูมิใจนะ สนุกเป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ผมได้ไปทัวร์คอนเสิร์ต ได้ขึ้นเวทีใหญ่ๆ กับนักร้องรุ่นใหญ่หลายๆ คน เพื่อนร่วมรุ่นแกรมมี่ผมมี พี่ปีเตอร์, ทีนเอจเกรดเอ, แจมป์,นาวิน ต้าร์, บับเบิ้ล เกิร์ลส์, ไบรโอนี่ ออกเทปตอนอายุ 16 หลังจากนั้นปีนึงก็มีค่ายละครติดต่อมา ได้เล่นละครเรื่องแรกในชีวิตคือ“หน้าต่างบานแรก” ทางไอทีวี เป็นละครสะท้อนสังคมบทดีมาก ผมเรียนการแสดงกับทางดัชชี่อยู่แล้ว เรียนเยอะมากก็เอามาใช้ในเรื่องนี้ พี่ตั้ม-อิทธิพัทธ์ ผู้กำกับซึ่งตอนนี้เสียไปแล้ว ก็น่ารัก สอนเราทุกอย่าง คือผมประทับใจเรื่องนี้มากได้เล่นกับ พลอย-เฌอมาลย์กับยอดฝีมือทุกคน พ่อคือ พี่หนุ่ม-สันติสุข, พี่แดง-ธัญญา เล่นเป็นแม่ อีกฝั่งก็ อาโย- ทัศน์วรรณ, อาเอ็ด-กรุง เป็นการแจ้งเกิดทางการแสดงของผม และได้เข้าชิงรางวัลดาวรุ่งของท็อปอวอร์ด หลังจากนั้นผมก็ได้เล่นละครของไอทีวีมาอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่ได้ทำละครต่อ ทางพี่ตั้ม ผู้กำกับก็พาผมมาเล่นช่อง 3 เรื่อง “ดื้อนักรักซะเลย” ของอาร์เอส หลังจากนั้นก็ได้มาเล่นช่อง 7 เรื่อง “สายลมกับสามเรา” ของพี่ตั้ว-ศรัณยู และเล่นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้โลโก้เราก็เป็นช่อง 7 ไปแล้ว ทั้งที่ผมก็ไม่ได้เซ็นสัญญา ทางผู้ใหญ่ให้โอกาสมาตลอด ยอมรับว่ามีช่อง 3 ติดต่อมาเหมือนกัน แต่ว่าเราไม่กล้าไป ด้วยความที่ผู้ใหญ่ทางช่อง 7 ให้โอกาสเราอยู่เสมอ บทก็หลากหลายขึ้นมีทั้งดีและร้ายสลับกันไป
J เริ่มชอบการแสดงเมื่อไหร่
ผมรู้สึกว่าชอบการแสดงตั้งแต่เล่นเรื่องแรกเลยครับ เพราะว่าผมเล่นแล้วรู้สึกอินแต่ผมจะชอบเล่นบทเด็กมีปัญหา บทแบบเก็บกดดราม่า รู้สึกว่ามันได้ถ่ายทอดได้ใช้อารมณ์ในการเล่นเรื่องแรกถือว่าครบเลย แต่อีกเรื่องนึงที่ครบกว่านั้น คือ “ทะเลสาบนกกาเหว่า” เป็นเรื่องดราม่ามาก แต่เป็นการทำงานที่สนุก พี่ต้อ-มารุต ผู้กำกับก็น่ารัก ผมได้โชว์การแสดงที่เป็นบทดราม่าหนักๆ อีกครั้ง (เคยนับผลงานการแสดงตัวเองไหม?) ไม่เคยนับเลยครับ จำไม่ได้เลยว่าแสดงมาแล้วกี่เรื่อง แต่ก็รวมแล้วคือเล่นละครตั้งแต่อายุ 16 ตอนนี้อายุ 33 ก็ 17 ปี ในการมาเล่นละคร ซึ่งถ้าผู้ใหญ่ยังให้โอกาสอยู่ ผมก็จะยังเล่นละครต่อไปเรื่อยๆ ครับ รวมทั้งเรายังมีแรงมีศักยภาพพอในการเล่น และตอนนี้ผมก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว เปิดเนิร์สเซอรี่กับแฟน ผมทำอาหารคลีนขาย เป็นธุรกิจรองรับอนาคตถ้าเราหยุดงานแสดงไปก็ยังคงมีเหล่านี้ที่รองรับอยู่ ว่างจากละครผมก็เข้าครัวไปดูคุมการผลิตทุกอย่าง เราทำอะไรเราต้องรู้ทุกอย่าง รู้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกยันขั้นตอนสุดท้าย ส่วนงานอื่นๆ ในวงการ เติ้ลเคยชวนทำละครเหมือนกัน ผู้ใหญ่ทางดัชชี่ก็เคยชวน แต่ผมยังไม่พร้อม เพราะว่าการเป็นผู้จัดมันเหนื่อยนะ ก็เลยขอเล่นไปก่อนและทำธุรกิจที่เป็นทางของผมไปก่อน ขอทำอะไรเพื่อสุขภาพให้ดี เพราะว่าเพิ่งจะเริ่มต้นด้วย
J กับสมาชิกอีก 2 หนุ่มแห่ง BKK
แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเองครับ แต่ผมยังมีเจอกับเติ้ลบ้างในฐานะนักแสดงด้วยกัน และฐานะที่เค้าเป็นผู้กำกับ เติ้ลเป็นคนรักเพื่อนพ้องนะมีอะไรก็จะนึกถึงผมทุกวันนี้เขาให้ผมมาเป็นนักแสดงของค่ายเขา เรามีสัญญาใจกันครับ เล่นละครเขาเป็นหลัก ซึ่งในเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง...ในหัวใจ” เขาก็มากำกับเองด้วย และยื่นบทดีๆให้ผมอีก เติ้ลเขาบอกผมเองเลยว่าให้มาเป็นนักแสดงในสังกัดเขา แต่ไม่ต้องเซ็นสัญญาอะไร และเขาก็จัดหาผู้จัดการดูคิวให้ผมเลย แต่กับติวไม่ค่อยได้เจอ เพราะว่าเขาออกจากวงการไปเลยไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่ถ้าเจอกันความรู้สึกก็ยังเหมือนเดิมครับ (มีโอกาสจะรวมตัวกันทำโปรเจกท์พิเศษๆไหม ?) ผมว่าคงยากครับ เพราะว่าอย่างติวตอนนี้น้ำหนักเยอะ คือเขาเล่นบอลแล้วพลาดเอ็นเข่าขาดช่วงพักฟื้นก็เลยทานเยอะไปหน่อยทีนี้ก็เลยลดไม่ลง
J ความรักที่สุกงอม
เราคบหากันมา 13 ปีแล้วครับ และจริงๆ ผมคุกเข่าขอเขาแต่งงานที่อเมริกา สวมแหวนเรียบร้อยแล้วนะ แต่ตอนนี้แฟนผม
เขาบอกเลยว่าไม่อยากจัดงาน เขาเสียดายตังค์ เอาเงินมาลงทุนทำธุรกิจก่อนดีกว่า แต่ที่ผมวางแผนไว้คือจะพาเขาไปจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายในต้นปีหน้าครับส่วนงานพิธีการไว้ถ้าพร้อมค่อยว่ากัน แฟนผมเป็นคนนอกวงการครับ อาจจะเคยเล่นละครมาบ้างตอนเด็กๆ เขาเป็นญาติกับทางดาราวีดีโอ และตอนนี้ก็เป็นนักพากย์อยู่ที่ช่อง 3 และช่องทรู คุณแม่เขาเป็นหัวหน้าทีมพากย์ด้วยครับ
J ระดับความหวาน
13 ปีความรักเราไม่เคยลดลงเลยครับ ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เราอยู่ด้วยกันทุกวันเหมือนสามีภรรยากันแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่แต่งงานจดทะเบียนกันเท่านั้นเอง เขาโตกว่าผมด้วย อายุมากกว่าผม 6 ปี แต่เราไม่รู้สึกว่ามันมีช่องว่างระหว่างวัยเลย หน้าเขาเด็กด้วยมั้งครับ(หัวเราะ) ตอนไปจีบเขา ผมอายุ 20 นึกว่ารุ่นเดียวกัน แต่เขารู้สึกภูมิใจนะที่เขาได้กินเด็ก (หัวเราะ) ครอบครัวเขาหน้าอ่อนกว่าวัยทุกคนเลยนะ ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องอายุเลย สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกดี ที่เขาโตกว่า คือเมื่อก่อนผมเกเรมาก ตัวเอ้เลยครับ ตอนที่เป็นแฟนกันแรกๆ ผมยังเที่ยวเตร่กินเหล้ากับแก๊งเด็กนรกอยู่ ผมยอมรับเลยว่าถ้าไม่มีเขาผมอาจจะหลุดไปจากวงการแล้วก็ได้เขาค่อยๆ ดึง ปรับเปลี่ยนความคิดทัศนคติในการใช้ชีวิตของผม ทำให้ผมโตขึ้น มีทุกวันนี้ผมยกให้เขาเลยครับ เขาให้ผมเก็บตังค์สมัยก่อนทำงานได้มาเท่าไหร่หมดกับการกินเที่ยวเลี้ยงเพื่อน พอเขามาอยู่ด้วย ทุกวันนี้เงินอยู่กับเขา ผมจะมีบัญชี 3 บัญชี บัญชีใหญ่อยู่ที่เขา เงินมาโอนเข้าหมด บัญชี 2 บ้านรถที่ต้องผ่อน เงินมาก็จะแชร์เข้าตรงนี้เพื่อตัด แล้วอีกบัญชีเป็นเงินเดือนผมเดือนละสามหมื่นเอาไว้ใช้ ก็พยายามประหยัดครับ แต่ผมไม่มองว่าเขาจำกัดเรานะ คือมองว่าดีเพราะถ้าเราไม่พอใช้เขาก็จะโอนให้
J งานแต่งงานในฝัน
ผมอยากแต่งงานแบบจัดไม่ใหญ่เอาเฉพาะเพื่อนสนิทญาติ แต่ในความจริงไม่ได้หรอกถ้าเกิดไม่ชวนคนนั้นคนนี้ก็จะงอน มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็เลยเป็นปัญหาของผมกับแฟนว่าอย่าจัดเลยตัดปัญหา ถ้าจัดมันต้องลงทุนเยอะอยู่แล้ว ถ้าจะมาจัดเล็กๆ ก็ไม่ได้แต่ถ้าถามว่าผมอยากจะจัดงานแต่งงานยังไงอยากมีงานที่ไม่ใหญ่มาก จัดริมทะเลบนหาดทราย ทุกคนถอดรองเท้ามาแบบชิลๆ บรรยากาศกันเอง ครอบครัว เพื่อนๆ ปาร์ตี้กัสนุกๆ พิธีการน้อยๆ สัญญาว่าจะรักกันไม่ต้องเลย เพราะว่าผมอยู่ด้วยกันแล้ว มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ผมคบกันจนรู้ด้านมืดของกันแล้ว รู้จุดต่ำสุดของเขา และเขาก็เห็นจุดต่ำสุดของผม แต่ดีอย่างคือ 13 ปี ที่คบกันผมไม่เคยนอกใจเขาเลย มีมองๆ แซวๆ บ้างตามประสาผู้ชาย เวลาถ่ายละครก็มีผู้หญิงเข้ามาบ้างแต่เราก็จะบอกไปว่าเรามีแฟนแล้ว น้องน่าจะเกิดเร็วกว่านี้อีกสักสิบปี ก็พูดขำๆไปครับ
J วางแผนการมีน้องหรือยัง
ผมคิดตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ว่าอยากมีลูกสักตอนอายุ 25 อยากจะมีลูกทันใช้อยากเล่นกีฬาด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมกับแฟนก็คุมมาตลอด แล้วตอนนี้แฟนผมอายุจะ 40 แล้ว ถ้ามีลูกอาจจะอันตราย คือก็ต้องปรึกษาหมอแล้วล่ะ ต้องดูอีกทีหนึ่งครับ เท่าที่เราคุยกัน ใจผมอยากมีลูก แต่พอได้คุยกับแฟนได้แชร์ความรู้สึกกัน เขาก็บอกว่าถ้าไม่มีเป็นอะไรไหม ผมก็เลยรู้สึกว่างั้นไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะผมเชื่อว่าชีวิตผมถ้าแก่ตัวไปเราอยู่กันสองคนตายายเราก็อยู่ได้ ดูแลกันและกันไป
J วงการนี้ให้อะไรกับเราบ้าง
ให้ชีวิตครับ เพราะเมื่อก่อนผมก็เป็นเด็กคนนึงตื่นมาก็ไปโรงเรียน เตะบอลกลับบ้านทำการบ้านไปโรงเรียน ความรับผิดชอบไม่มี แต่พอเริ่มเข้าวงการทุกวันที่ผมตื่นมาแทนที่จะไปโรงเรียนอย่างเดียว เรามีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มเข้ามา ไปเป็นพิธีกรก็ต้องอ่านบท ทำให้ผมโตขึ้น มีระเบียบวินัยมีความรับผิดชอบกล้าแสดงออก ทำให้รู้จักวิธีการทำงาน รู้จักการเข้าสังคมรู้จักกาลเทศะ เพราะว่าสังคมในวงการบันเทิงระเบียบวินัยการมาตรงต่อเวลาเป็นอันดับหนึ่ง วงการทำให้ผมมีชีวิตที่ดี วงการนี้ขัดเกลาผม บอกได้เลยว่าวงการนี้จริงๆ ไม่ได้สวยหรูอย่างที่ทุกคนเห็น ข้างในมีการแข่งขันตลอดเวลา ใครเจอดีก็ดีไป เจอคนไม่ดีก็เสียใจ แต่เราทำไงได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป อันไหนดีเราก็เอามาใช้ ในวงการผมมีรุ่นพี่มีผู้ใหญ่หลายๆ คน ผมเจอ พี่เต๋า-สมชาย,พี่ต๊ะ บอยสเกาท์, พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ ซึ่งถือเป็นไอดอลผมเลย อะไรที่ดีที่ผมเห็นแล้วผมดึงมาใช้มันเลยทำให้ผมได้รู้การใช้ชีวิต (ละม้ายคล้าย เต๋า-สมชาย มาก ?) คนทักตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ ผมไม่ได้ก๊อบพี่เต๋าเลยนะ ก็มีโอกาสร่วมงานแรกๆ ในวงการกับพี่เต๋าด้วยก็เป็นความภูมิใจเลยครับได้ร่วมงานกับไอดอลพี่เต๋าเท่นะเป็นนักร้องนักแสดงในดวงใจก็ดีใจครับที่โตมาได้ร่วมงานได้หยิบชีวิตในส่วนดีๆ ของพี่เต๋ามาใช้
J จากฝันแรกที่จะเป็นนักกีฬาแต่มาเป็นนักแสดงแทน
ไม่รู้สึกเสียโอกาสเลยครับไม่เป็นไรเลย แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมได้ทำมาตั้งแต่เด็กๆ การซ้อมกีฬาหลังเลิกเรียนมันทำให้ผมมีวินัย ทำให้ผมมีความอดทน ซึ่งเอามาใช้ในการทำงานได้ ทุกอย่างมันเป็นสิ่งดีหมดถ้าเรามีทัศนคติที่ดี มองโลกในแง่ดี ดึงเอาสิ่งที่ดีมาใช้ ตอนนี้มีนักแสดงมาให้ผมไปช่วยเทรนด์ให้แล้วนะ ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะได้เป็นเทรนเนอร์ให้กับนักแสดงก็ได้นะครับ
“วงการบันเทิงเมื่อก่อนเข้ายาก เพราะช่องทางยังน้อย เข้ามาแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าคุณมีศักยภาพแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะอยู่ตรงนี้ได้นาน ก็คือความมีระเบียบวินัย กาลเทศะ ถึงคุณจะหล่อสวยเก่งแต่คุณไม่มีระเบียบวินัยไม่มีความรับผิดชอบ
ผู้ใหญ่ก็ไม่เอาและอยู่ได้ไม่นาน”และนี่ก็คือ เต้-นันทศัย” อดีตเด็กเสเพล ที่ไม่ได้เกเรไปวันๆ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี