ยังคงเอกลักษณ์ทั้งหน้าตาและทรงผม สำหรับนักร้องหนุ่ม “ออดี้” ธนะยศ จิวานนท์ ที่หายหน้าหายตาจากเบื้องหน้า ไปเป็นเจ้าของรีสอร์ทริมทะเลอยู่พักใหญ่แต่ใช่ว่าจะทิ้งงานเพลงไปไกล เจอกันครั้งใหม่ เขายังคงมาพร้อมกับเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ สีผมทรงนี้ “ออดี้” แน่ๆ
“ผมเคารพภาพลักษณ์ที่คนอยากเห็น หมายความว่าเราอาจจะอ้วนขึ้น หัวล้าน ผมยาว หรือบุคลิกเปลี่ยนไปจากตอนนั้นที่คนจำได้ แต่ถ้าเราพยายามกลับมาให้คล้ายเดิมที่สุด เวลาคนฟังเพลงเขาจะได้อรรถรสกว่า เพราะว่าดนตรีบางทีก็ฟังผ่านสายตาด้วย ถ้าเกิดเราฟังเพลงของศิลปินคนหนึ่งแล้วบุคลิกเขาไม่ใช่อย่างที่เราเคยเห็น เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง บางทีก็อาจจะไม่อินกับเพลงไปเลยก็ได้”
ปัจจุบันของ “ออดี้”
ชีวิตผมเป็นแบบแปลกๆ คือไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง (หัวเราะ) ช่วงที่เป็นศิลปินก็เป็นศิลปิน แล้วช่วงที่หายไปก็ไปซื้อบ้านอยู่ที่หัวหินอยู่เฉยๆ ประมาณ2 ปี ตอนนั้นช่วงคุณพ่อเสีย อกหักด้วย ก็ไปอยู่คนเดียว อยู่ไปสักพักก็ไปเปิดรีสอร์ทอยู่ที่ปราณบุรี และเมื่อสองปีที่แล้วเพิ่งขายหุ้นรีสอร์ทไป แล้วก็มาทำเป็นบ้านเช่าเล็กๆ อยู่ริมทะเลหัวหิน ถ้าใครสนใจอยากจะมาพักยินดีนะครับ เป็นบ้านเช่ารายวัน ผมมีอยู่2 หลัง แล้วก็งานหลัก อาชีพที่ได้เงินจริงๆ คือทำดนตรี งานเบื้องหลัง ทำเพลงให้องค์กรนั้นองค์กรนี้ รับจ้างทั่วไป แล้วก็เล่นคอนเสิร์ต โชคดีที่สองปีที่ผ่านมานี้ ได้เล่นคอนเสิร์ตเยอะ และล่าสุดตอนนี้ผมเปิดร้านชื่อว่า “ออดี้บาร์” อยู่ที่ตลาดยิปซีรามคำแหง ซอย 100 เป็นโครงการตลาดยิปซี ผมจัดร้านในสไตล์ยุค 90 เปิดเพลงและเล่นสดเฉพาะเพลงของศิลปินยุค90 ครับ
ผันตัวเป็นผู้จัดฯ เทศกาลดนตรี
ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ แค่นึกสนุกอยากลอง แล้วทาง ซิลเวอร์เลค (Silverlake) พัทยา ก็ให้โอกาส เลยได้จับงาน “Silverlake เอาเธอมาโดด” เป็นงานแรกของผม ในฐานะผู้จัด หลังจากนั้นก็มี “เอาเธอมากอด” เป็นเทศกาล Winter LoveSong จัดที่โคราชเมื่อปลายปีที่แล้ว เรียกว่าเริ่มเป็นคนจัดงานบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมทำตัวคนเดียวนะครับคือคิดเสร็จปุ๊บแล้วก็ไปหาทีมมาทำ ไม่ได้มุ่งว่าเป็นธุรกิจ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัดเท่าไหร่ แต่ว่าหลังจากที่ได้รับโอกาสจาก Silverlake แล้วประสบความสำเร็จ ได้ศิลปินยุค 90 อย่าง โมเดิร์นด็อก,พองพอง, เนอสเซอรี่ ซาวด์, มิกเกล, อัยย์, เพลย์กราวด์,วาสนา, สติวเดนท์ส อั๊กลี่, บลูสกาย ฯลฯ มีผู้ชมกว่า 5 พันคนเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมคิดว่า สนุกกับการที่ได้สร้างงานมากกว่าแค่การเป็นนักร้อง ผมก็เป็นคนชอบทำอะไรไปเรื่อยแหละเมื่อก่อนไม่เคยคิดนะว่าศักยภาพตัวเองจะสามารถจัดหรือคิดคอนเสิร์ตขนาดนี้ได้ ตอนนี้รู้แล้ว เรียนรู้ไปเยอะๆ ได้ประสบการณ์จากผู้ใหญ่ที่สอนมา ผมก็เริ่มจัดคอนเสิร์ตมากขึ้น อาจจะไม่ได้เป็นคอนเสิร์ตออดี้ แต่เป็นคอนเสิร์ตวงอื่นๆ มาแจมกันครับ (ตั้งใจเปิดบริษัทเลยไหม?)คงยังครับ เพราะว่าผมเองเวลาทำงานบอกตรงๆ ว่า บางทีเรื่องเอกสารไม่ถนัดเลย ต้องมีฝ่ายธุรการหรือบัญชีผมสนุกและถนัดมาทางการครีเอทมากกว่า แต่ทุกวันนี้ถ้าถามจริงๆ แล้วทำอะไรบ้าง ก็หลายอย่างครับ ทั้งร้องเพลง จัดงานเอง มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ จากบ้านเช่า คือทุกอย่างก็หล่อเลี้ยงได้ และโชคดีที่เราไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย จะบอกว่าเป็นคนสมถะก็ได้นะ ชอบเก็บออม ฉะนั้นการทำงานก็ทำงานอยู่บนพื้นฐานของความสุขเป็นหลัก ความสำเร็จคือผลลัพธ์ที่ตามมาแล้วถ้ามีรายได้มากพอที่จะสามารถหล่อเลี้ยงต่อไปให้ครอบครัว ทั้งคุณแม่ ผู้ใหญ่ในบ้านได้ถือว่าเป็นกำไรครับ
ย้อนวัยเมื่อครั้งยังเด็ก
ผมเป็นเด็กที่ซนมาก แม่บอกว่าเป็นคนที่ชอบทำอะไรเอง แอบไปประดิษฐ์โน่นประดิษฐ์นี่ แล้วก็เป็นคนตลก หลายคนไม่รู้นะ ผมชอบหามุขฮาๆ มาแกล้งเพื่อน จริงๆ เป็นคนเครียดนะแต่พออยู่กับคนอื่นแล้วชอบสร้างความสนุกให้คนอื่น พออยู่คนเดียวก็จะคิดงานคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย(สมาชิกในบ้าน?) ผมมีน้องสาว 1 คน แต่งงานมีการงานที่ดีมาก หายห่วงครับ ส่วนคุณพ่ออยู่บนสวรรค์ คุณแม่อยู่กับผมที่บ้าน แล้วที่บ้านก็จะมีคุณลุง คุณป้าอยู่ด้วย เป็นบ้านของคนสูงวัยครับ (หัวเราะ) เป็นครอบครัวที่อบอุ่น เพราะเป็นแบบนี้มาตลอดจนเราเคยชินละ(ครอบครัวเร่งให้แต่งงานไหม?) ไม่เร่งเลยครับ คุณแม่เคยบอกผมว่าไม่อยากเลี้ยงหลาน ถ้าเลี้ยงให้เลี้ยงสุนัข น้องสาวผมก็เลยซื้อสุนัขมาเป็นลูก แล้วตัวผมเองก็เลี้ยงสุนัขเต็มบ้านเลย ผมเองไม่ถนัดที่จะเป็นพ่อคนด้วยแหละยังไม่พร้อมด้วย ตอนนี้ก็มีสมาชิก 4 ขาเต็มบ้าน ทั้งน้องหมา4 ตัว แมวอีกเป็น 10 ก็แบ่งโซนกันอยู่ครับ เป็นบ้านที่รักสัตว์ และเรียบง่ายครับ
ช่วงที่เสียงเพลงเข้ามาในชีวิต
ตั้งแต่เกิดเลยครับผมชอบร้องเพลงตั้งแต่จำความได้ เพราะพี่เลี้ยงเขาชอบร้องเพลงลูกทุ่งให้ฟังพอโตขึ้นก็เคยร้องเพลงโชว์หน้าชั้น จนครูให้ที่ 1 เลยมีความมั่นใจว่า เออ..เราชอบร้องเพลง หลังจากนั้นเห็นไมค์ไม่ได้นะ จับร้องทันที (หัวเราะ) คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วครั้งแรกที่ร้องเพลงออกไมค์คือตอน 3 ขวบ ตอนนั้นผมจำไม่ได้หรอก แต่พ่อเล่าให้ฟังว่า ไปงานเลี้ยงบริษัทพ่อ แล้วจะมีลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งที่ชอบอุ้มผม ผมคงจะไปบอกเขามั้งว่าอยากร้อง เขาก็อุ้มผมไปหน้าเวที ผมก็ร้องเพลง “เราสู้” ร้องไปจนจบเพลง คุณพ่อมาเล่าให้ฟังว่าตอนที่ร้องทุกคนตกใจ ทำไมเสียงเด็กออกไมค์ดังลั่นงานแล้วทุกคนก็หันมามองพร้อมกัน จนกระทั่งผมร้องจบคนปรบมือกันทั้งงาน
เริ่มจับเครื่องดนตรี
ปี 1987 ผมจำได้แม่นเลย คือตอนนั้นผมไปเดินเล่นที่ชายหาดหัวหินกับพี่สาว แล้วเจอพี่ป้อม (อัสนี โชติกุล)ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร แต่พี่สาวกรี๊ด อยากจะเข้าไปคุย ก็เลยชวนผมไปด้วย เข้าไปคุยกับพี่ป้อมประมาณ 10 นาที ถามสารทุกข์สุกดิบกันไป แล้ว 10 นาทีนั้นแหละที่ทำให้ผมอยากเล่นกีตาร์ หลังจากโมเม้นท์นั้นกลับไปที่บ้านตากอากาศมีกีตาร์ของพี่อยู่ ก็เริ่มหัดจับทันที แล้วก็กลับไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์เอากีตาร์ไปหัดเล่นเองด้วย แต่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เก่งหรอกครับ อาศัยขายหน้าตา (หัวเราะ)
เลือกไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์
ผมไม่ได้เลือกหรอกครับ ผู้ใหญ่เลือกให้ โชคชะตาพาไป คุณพ่อทำงานบริษัทฝรั่ง ก็ไปอเมริกาก่อนแล้วคุณพ่อก็มาเปิดโรงงานทำเส้นบะหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ฟิลิปปินส์ ผมเลยเหมือนโตมากับแป้งกับเส้นบะหมี่ พอผมเรียนจบสักพักคุณพ่อก็ขายกิจการกลับมาอยู่ที่เมืองไทยที่บ้านโชคดีตรงที่ว่าคุณพ่อทำงานดี คุณพ่อสร้างเนื้อสร้างตัวมาดีในระดับหนึ่ง ลูกก็เลยไม่ลำบากมาก ผมกล้าพูดเลยว่าพ่อแม่ผมไม่เคยเลี้ยงผมลำบากเลย มีแต่ตัวเองที่หาเรื่องลำบากเอง
เจ้าของเกียรตินิยม วิศวะโยธาจากฟิลิปปินส์
เล่าก่อนว่าผมไปเรียนที่อเมริกาช่วง ป.6-ม.2 แล้วก็ย้ายมาเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์ ที่เลือกเรียนวิศวะฯ เพราะว่าหัวเราไปทางนั้น ตอนเด็กๆ ผมเก่งเลข เป็นคนที่ชอบศิลปะนะแต่เรียนสายวิทย์ แล้วที่ฟิลิปปินส์เวลาเอนทรานซ์สอบเข้ามหาวิทยาลัย จะไม่เหมือนเมืองไทยในสมัยก่อน ผมสอบได้คะแนนดีเลยมีสิทธิ์เลือกได้ว่าอยากเข้าคณะอะไร พอเรียนจบกลับมาก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนอยู่ที่ฟิลิปปินส์ก็เล่นดนตรีนะครับ แต่ไม่ได้โชว์ใคร มีวงกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนแต่ไม่ได้เล่นบ่อย กลับมาไทยปี 2537 สะเปะสะปะเดินเล่นห้างอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งมาจริงจังตอนที่เพื่อนเปิดผับแล้วก็ไปบอกเพื่อนว่า เราไปนั่งเล่นดนตรีให้ร้านนายได้ไหมขอแค่วันละ 200 ก็ไปนั่งเล่นกีตาร์ในร้านเพื่อนที่ทองหล่อ จนกระทั่งคนเต็มร้าน คนติดใจ ทำให้เริ่มเข้าสังคมดนตรีแล้วดนตรีก็นำพาผมไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ได้ไปทำเพลงให้พี่หรั่ง ร็อกเคสตร้า อยู่ที่อาร์เอส ผมรู้จักกับพี่หรั่งตั้งแต่เด็กๆ แล้วเขาคงเห็นว่าออดี้ก็เป็นเด็กใหม่ไฟแรง ชอบแต่งเพลงชอบร้องเพลง เอามาขลุกด้วยกัน ให้ผมแต่งเพลงให้เขาให้ผมร้องประสานในห้องอัด ผมก็ได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่ในห้องอัดพอวันหนึ่งเรามีโอกาสออกเทปเป็นศิลปินเราก็เลยทำเป็น
จุดพีคสุดของศิลปินที่ชื่อ “ออดี้”
ผมเอาเพลงที่แต่งไว้ มาออกเทปชุดแรก แล้วปีนั้นขายได้เป็นล้านเลย ดังมาก แล้วก็เป็นโอกาสที่ดีในชีวิตคือออดี้ไม่ค่อยได้ออกทีวี.นะ แต่ทำไมไปไหนมาไหนคนจำได้แปลกดีครับ ก็ต้องขอบคุณผลงาน ขอบคุณความเป็นตัวเองขอบคุณทุกอย่างรอบตัวที่นำพาให้เราเป็นอย่างงี้ (ทำมาแล้วกี่อัลบั้ม?) ไม่ได้นับครับ แต่หลายอัลบั้ม ทำกับบีเอ็มจี โซนี่สุดท้ายก็อยู่ค่ายโซนี่ แล้วหลังจากหมดสัญญากับโซนี่ก็ไม่ได้ทำอัลบั้มต่อ ก็เป็นช่วงที่เริ่มไปอยู่ทะเล
จงรักภักดีกับดนตรี
ต้องบอกว่าผมพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตเยอะนะ ศิลปินที่มีคนรู้จักเยอะๆ เพลงติดหูมีชื่อเสียงช่วงประมาณปี 2538-2540 มีคนเอาเงินมากองไว้ตรงหน้าผมเยอะมากให้ไปทำร้านนั้นหน่อย ทำอันนี้ให้หน่อย ออกหน้าให้หน่อย ทำธุรกิจเต็มไปหมด ผมไม่เคยสนใจสักบาท ไม่รู้ผ่านมาได้ยังไง ทำไมเราไม่โลภ ไม่เอาเลย สิบล้าน ยี่สิบล้าน เรารู้สึกว่าเรากลัวธุรกิจ เราเป็นแค่นักร้องดีแล้ว เกิดโดนหักหลังไม่ต้องเป็นหนี้เหรอ เราไม่รู้เบื้องหลังว่ามีสีเทาอะไรอยู่บ้างแต่พอเวลาผ่านไปก็ได้เรียนรู้เอง สุดท้ายผมก็ยังอยู่กับดนตรีแล้วก็จงรักภักดี แล้วความจงรักภักดีกับดนตรี ก็เลยตอบแทนผมเป็นทุกวันนี้
ความเป็น..ศิลปิน
ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะมีคนเรียกผมว่าศิลปินหมายถึงว่าตั้งแต่เด็กๆ เล่นดนตรี ออกเทปปุ๊บ คนไทยก็มักจะเรียกคนที่ออกเทปว่า ศิลปิน แต่ผมเพิ่งมายอมรับตัวเองว่าผมเป็นศิลปินเมื่อตอนประมาณ 10 ปีที่แล้ว คือหลังจากผมออกงานมาแล้ว 10 ปีนะ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยยอมรับ ผมคิดว่าตัวเองเป็นแค่นักดนตรีสร้างงาน แต่พอตอนหลังเพื่อนบอก นี่แหละศิลปิน เพราะทำเอง อะไรเอง ผมก็เลยเข้าใจคำนี้มากขึ้น
ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตหนึ่งจะอยู่ได้และมีเงินเก็บจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ไม่ได้รับเงินเดือนจากใคร คือเด็กคนหนึ่งที่เรียนจบมา ทำโน่นทำนี่ รับจ้างทุกอย่าง ร้องเพลง เล่นคอนเสิร์ตไปเรื่อยๆ จะอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้เยอะเหมือนกับซูเปอร์สตาร์คนอื่นๆ ผมก็รู้สึกว่า เออ..เป็นปาฏิหาริย์เหมือนกันนะที่คนคนหนึ่งจะอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเองขนาดนี้ คือเพิ่งมาคิดตอนนี้แหละ การที่เราไม่ได้ไปขอเงินใคร ทุกอย่างแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง นี่คือชีวิตของ ออดี้ เป็นชีวิตที่พอนึกย้อนกลับไปแล้วภาคภูมิใจครับ
ยังคงป้อนเพลงใหม่สู่ผู้ฟัง
เวลาไปร้องเพลง ส่วนใหญ่เขาก็จะขอเพลงเก่าที่ฮิตๆ อย่าง เคย, ไม่สำคัญ, สุดที่รัก ฯลฯ แต่ทุกวันนี้ผมยังทำเพลงใหม่อยู่เรื่อยๆ นะครับ ติดตามเพลงของผมได้ทางยูทูบ “Audy Thailand” เฟซบุ๊คก็ “Audy Thailand Fanpage”ผมติดต่อกับแฟนๆ ทางเฟซบุ๊คตลอด คือผมมีเพลงใหม่ตลอด บางทีผมก็ทำเป็นซีดีไปขายในคอนเสิร์ต ทำอยู่เรื่อยๆครับ ทำเองผลิตเอง นี่แหละวิถีอินดี้ ของแท้ (หัวเราะ)ผมมีเพลงที่ยังไม่เคยปล่อย 30 กว่าเพลง บางเพลงแต่งเมื่อ 30 ปีที่แล้ว บางเพลงแต่งเมื่อวาน แต่ว่าใครจะไปรู้ สมมุติว่าผมปล่อยเพลงปีหน้า นี่ก็คือเพลงใหม่ของผมอยู่ดี ฉะนั้นอยู่ที่ช่วงเวลา เราจะรู้สึกเองว่าช่วงไหนควรจะปล่อยเพลง ช่วงไหนควรจะเน้นเรื่องการแสดงสด ผมไม่เคยหยุดแต่งเพลง เรารู้สึกอะไรเราก็เขียนได้ เพราะว่าเป็นคนพูดจาภาษาเพลง (ยิ้ม)(เพลงละครก็เคยแต่ง?) มีครับหลายเรื่อง ล่าสุดเป็นซิทคอม ร้อยพันยันจักรวาล ของช่องเคเบิล ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งชื่อละครเป็นแบบนี้นะ พอผมแต่งเพลงไปเสร็จตั้งชื่อเพลงไปให้ เขาก็เอาชื่อนี้เป็นชื่อละครเลย
เตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้ง
เป็นอีกโอกาสสำคัญเลยครับ ที่จะได้ร่วมงานกับพี่น้องศิลปินในยุคเดียวกัน คืองาน Green Concertครั้งที่ 19 The Lost Love Songs To Be Continued ที่ทางเอไทม์จัดขึ้น ใครที่มีบัตรแล้วไปเจอกันครับ เพราะตอนนี้คงหาซื้อไม่ได้แล้ว เห็นว่าบัตรหมดเกลี้ยงตั้งแต่ก่อนวันแถลงข่าวด้วยซ้ำ ผมว่าน่าจะเป็นอีก 1 วัน ที่คนวัย 30 อัพจะได้อิ่มสุขกับเสียงเพลงจากวันวานอย่างเต็มที่
ผมไม่ได้ร่วมงานกับทางเอไทม์มาร่วม 18 ปีแล้วครับ ตั้งแต่สมัยฮอตเวฟร็อกมาราธอน คราวนี้โชคดีมีจังหวะ แล้วอีกอย่างผมเล่นดนตรีมาเรื่อยๆ ได้วอร์มร่างกายตลอด เลยไม่ต้องมาเคาะสนิมใหม่ครับ
ชีวิตรักกับการวางอนาคต
โชคชะตาพาไปเรื่อยครับ มีแฟนไหม? คือมีคนที่คบหาอยู่ครับ มีคนที่ไว้ปรึกษาหารือ แต่ไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานหรอก ผมเคยบอกเล่นๆ นะว่า รอ พี่โจ-พี่ก้อง(นูโว) แต่งก่อนแล้วผมค่อยแต่ง (หัวเราะ) ผมใช้ชีวิตแบบ…บางทีเรามองไกลมากไม่ได้ เรามองได้แค่ระยะหนึ่ง เหมือนขี่จักรยาน แต่ว่าที่ผ่านมาตอนเด็กๆ เราเคยมองตัวเองว่าเราอยากเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ บางทีเราไม่ได้เป็นอย่างงั้นนะ โชคชะตาให้เป็นนักร้อง เป็นศิลปิน จากคนที่เดินไปหน้าปาก
ซอยหมายังเห่าเลย กลายเป็นคนที่คนรู้จักทั้งประเทศจริงๆ นะในยุคสมัยที่เราออกเทป คือโชคชะตาพามาหมดเลยผมว่าจนถึงทุกวันนี้ คือคนอะไรเรียนจบวิศวะฯมาไม่ได้ทำงานด้านนี้เลย แต่ดันหาเลี้ยงตัวเองได้จากอะไรก็ไม่รู้ บางทีผมคิดนะรายได้ผมมาจากไหน จากการที่เป็นออดี้ไงออดี้เล่นคอนเสิร์ต ออดี้ทำเพลง ออดี้แต่งเพลง ออดี้เปิดร้านแล้วก็สิ่งที่เป็นอยู่ก็ยังคงต้องการคนสนับสนุน เพราะศิลปินหรือใครก็ตามจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนสนับสนุน อย่างออดี้เปิดร้านเล็กๆ ออดี้บาร์ ถ้าไม่มีคนมาเลยก็เจ๊งสิครับเพราะฉะนั้นความเป็นออดี้ ใครชอบ ไม่ชอบ ใครอยากสนับสนุนหรือไม่อยากสนับสนุน ผมอยู่มาได้เพราะความเป็นตัวเอง ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเจ้าของกิจการอะไร ไม่ใช่เพราะเป็นนักแต่งเพลงแล้วได้ตังค์ ร้องเพลงแล้วได้ตังค์อันนี้คือปลีกย่อย แต่ทั้งหมดเป็นเพราะอะไรก็เพราะเราเป็น ออดี้ ตัวตนจริงๆ ของเรา
สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเราจริงๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและชีวิตของ“ออดี้” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญ ฉะนั้นอย่าปิดบังหรือไหลไปตามกระแสนิยมจนเคยชิน อยู่กับความเป็นจริงแล้วค้นหาเอกลักษณ์ของตนเองให้เจอนะจ๊ะวัยรุ่น
ใบพร้าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี