วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นักแสดงรุ่นใหญ่อดีตพระเอกขวัญใจประชาชน “นาท ภูวนัย” เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ได้มีโอกาสรับใช้สนองคุณแผ่นดินในฐานะข้าราชการ แม้ในวันที่เกษียณราชการแล้ว เขายังคงความภาคภูมิใจอยู่มิคลาย หลายครั้งที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯถวายงาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ นับเป็นสิ่งสูงสุดของชีวิตและครอบครัวภูวนัย
นาท เล่าถึงความปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ของตนเองว่า ครั้งแรกในชีวิตที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือเมื่อตอนที่เล่นหนัง “แม่ศรีไพร”แล้วท่านเสด็จฯทอดพระเนตรที่โรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมเล่น และเพิ่งได้รับราชการเป็นปลัดอำเภอครั้งแรกได้ 4 เดือน (ทำ 2 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน ?) ครับคือตอนที่สอบปลัดนั้น ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะติดหรือไม่ติด แต่ว่าได้เป็นพระเอกหนังแล้ว ตอนหลังได้เป็นปลัดที่อำเภอสามโคก ปทุมธานี ถามว่าแบ่งเวลาอย่างไร คือวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะถ่ายหนัง ถ้าวันธรรมดาก็ลาเอา เพราะว่า 1 ปีลาได้ 60 วัน นอกนั้นคือตั้งใจทำงานให้ดี และอีกอย่างคือเราเป็นพระเอกหนัง เราสามารถช่วยงานราชการได้เยอะเลย อย่างเช่นถ้าในอำเภอจัดงาน หนังที่นำมาฉายก็จะฟรี
.jpg)
สำหรับเหตุการณ์ในวันนั้น พระองค์ท่านทอดพระเนตรหนังจนจบ พอเสด็จลง ท่านก็ตรัสถามผมว่า“ขี่ช้างเหนื่อยไหม?” เพราะว่าในเรื่องเราจะต้องขี้ช้างตลอด ผมก็ตอบว่า “ไม่เหนื่อยพระเจ้าข้า” (หัวเราะ) ตามจริงต้องพระพุทธเจ้าข้า แต่เรารีบตอบ แล้วท่านก็เสด็จไปที่คุณวิจิตร คุณาวุฒิ และชมว่า “หนังดีนะ เพลงดี วิวดีคงทำเงินนะ” ซึ่งปรากฏว่ารายได้ตอนนั้น 3 ล้านบาทในสมัยนั้นถือว่าสูงมาก
ครั้งที่ 2 ผมได้รำถวายหน้าพระที่นั่ง ซึ่งเรียกว่า รำเหย่ย คือการรำเถิดเทิงแบบโบราณ ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงจัด แล้วก็หาเงินให้กับทหารชายแดน พระองค์ก็ทอดพระเนตรมีนักแสดงหลายคนมากที่รำในวันนั้น และได้รับพระราชทานของที่ระลึกจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน
ครั้งที่ 3 คือรับพระราชทานรางวัลพระสุรัสวดีหรือ ตุ๊กตาทอง เมื่อปี 2517 จากภาพยนตร์เรื่อง “ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ” ตุ๊กตาทองถือเป็นความสูงสุดเต็มเปี่ยมของนักแสดงสมัยนั้นแล้ว เพราะว่าสมัยก่อนไม่มีโรงเรียนไม่มีแอ๊กติ้งโค้ช การแสดงของเราเกิดจากตัวเราเองเหมือนพรสวรรค์ และพรแสวงที่ประกอบกัน ภาพตอนที่เข้ารับพระราชทานรางวัลหายไปแล้ว ผมรู้สึกเสียดายมาก
.jpg)
น้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ
ผมทำงานรับราชการไปตามขั้นตอน จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นเป็นนายอำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี 2529 บางคนบอกว่าข้าราชการเป็นผู้รับใช้ประชาชน แต่จริงๆ ข้าราชการ มาจากคำว่า ข้ารัชกาล กล่าวคือข้ารับใช้ในหลวง ซึ่งเป็นผู้บริการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งพระราชดำรัสและพระราชดำริของพระองค์ท่านมีมากมาย ซึ่งผมก็ได้น้อมนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ อย่างภาคอีสานชาวบ้านก็มาร้องเรียนว่าน้ำแล้ง เราก็ต้องคิดหาวิธีช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่งผมจำได้ว่าพระองค์ท่านทรงคิดแยกที่ดินแปลงหนึ่งทำเกษตร คือมีปลูกข้าว ทำบ่อน้ำ ปลูกบ้านทำผักสวนครัว ซึ่งการที่ท่านแยก ก็คือไร่นาสวนผสม สรุปคือท่านจัดโซนนิ่งให้มันเป็นระบบ เราก็นำมาปรับใช้กับชาวบ้านที่ทอผ้าไหม เลี้ยงไหมปลูกหม่อน
ต่อมาผมได้ย้ายไปที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่พระองค์ท่านเสด็จฯ เหล่านายอำเภอก็มาถวายพานพุ่มรวมทั้งทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น เหล่าข้าราชการประชาชนก็มีฟ้อนรำถวาย ภรรยาผม (นิตยา คชหิรัญ) ก็ฟ้อนด้วย พอถึงคิวนายอำเภอเดิน ซึ่งเชียงใหม่มี 10 กว่าอำเภอ พอถึงอำเภอพร้าว นาท ภูวนัย ประชาชนลุกฮือกันเลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยกกล้องขึ้นมาถ่าย เราก็นั่งลงถวายบังคม พระราชินีทรงตรัสถามว่าเราคือใคร นางสนองพระโอษฐ์ก็ตอบว่า นาท ภูวนัย เพคะ เท่านั้นเองพระองค์ท่านก็ทรงพระสรวล (ความรู้สึกตอนนั้น ?) อย่าลืมว่านักแสดงเราเขินไม่เป็นหรอก เราเคยที่อยู่ๆไปวิ่งร้องไห้ในตลาดมาแล้ว ถ้าเรียกศัพท์เราก็คือหน้าด้านแล้ว แต่มีอย่างเดียวคือ ประหม่าต่อหน้าพระพักตร์ แต่ด้วยว่าผมเคยพบพระองค์ท่านมาบ่อยครั้ง ก็เลยทำให้ลดความประหม่าลงไปเยอะ หลังจากนั้นผมไปเป็นนายอำเภอบางเลน และเป็นนายอำเภอบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ท่านเสด็จฯไปที่วัดหลวงพ่อโสธร เราก็ได้ไปเฝ้าฯรับเสด็จด้วย แต่ว่าอยู่ไกลๆ ภรรยาผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯถวายขนมเปี๊ยะ ซึ่งเป็นขนมเปี๊ยะที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้กับพระองค์ท่าน
.jpg)
ได้ถวายงานจนถึงวาระเกษียณราชการ
คือครั้งแรกที่รับราชการเป็นปลัด 4 เดือน ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน นั่นคือเป็นข้าราชการครั้งแรก แล้วพอจะเกษียณได้ไปอยู่ประจวบฯ โดยเป็นรองผู้ว่าฯ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่ที่นี่จนเกษียณ ก็ได้รับใช้พระองค์ท่าน โดยเป็นรองผู้ว่าฯที่ดูแลเขตหัวหิน ปราณบุรี กุยบุรี สามร้อยยอดและมีหน้าที่ดูแลศูนย์เฝ้าฯรับเสด็จ เหมือนเป็นศูนย์บัญชาการ เป็นรองผู้ว่าฯประจำฝ่ายวังไกลกังวล หนึ่งคือเข้าเฝ้าฯถวายงานพระองค์ท่าน เดือนหนึ่งต้องแบ่งกันคนละอาทิตย์ จันทร์ถึงศุกร์จะเข้าเวร พอ 3 โมงเย็นต้องลงศาลากลาง แล้วเปลี่ยนเครื่องแบบ 4 โมงขึ้นรถ 5 โมงถึงวัง เข้าไปเซ็นชื่อรายงานตัวนั่งรอจนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จลง บางวันพระองค์ท่านก็เสด็จฯรอบวังไกลกังวล บางวันก็เสด็จกายภาพ เราก็ยืนถวายงาน ซึ่งจะมี 4 คน คือ ผู้ว่าฯ ศาล ทหาร ตำรวจ และผู้รอเฝ้าฯรับเสด็จซึ่งเป็นข้าราชการต่างๆ อีกมากมาย ท่านทรงสนพระทัยสิ่งรอบตัวนะ อย่างตอนที่มีไข้หวัดนกระบาดเขาก็จับไก่จับนกออกไปหมด ท่านทรงมีรับสั่งว่านกไก่หายไปไหนหมด และวันหนึ่งเราเห็นท่านกำลังทรงกล้องถ่ายเราก็เลยถามข้าราชบริพารว่าท่านทรงถ่ายอะไร ปรากฏว่าท่านทรงถ่ายรูปตุ๊กแก เพราะพระองค์ท่านเคยได้ยินเสียงตุ๊กแกที่วังตั้งแต่เด็ก แต่อยู่ๆกลับไม่ได้ยินเสียงมันร้อง คือพระองค์ท่านรักษาความเป็นธรรมชาติระบบนิเวศน์ และเหมือนว่าพระองค์ท่านสอนเราให้รักษาอะไรเดิมๆ เอาไว้ จารีตประเพณีให้ไว้เหมือนเดิม
พระราชกระแสรับสั่งเมื่อครั้งเข้าเฝ้าฯถวายงาน
มีหลายครั้งที่พระองค์ท่านทรงสร้างรอยยิ้มให้กับข้าราชบริพาร มีครั้งนึงผมกับผู้ว่าฯประสงค์ พิทูรกิจจา ยืนอยู่ที่ท้ายรถพระที่นั่งทะเบียน 9119 ผู้ว่าฯประสงค์ก็บอกว่า 91 19 มันออกนี่นางวดนี้ แล้วท่านเสด็จฯจากไหนมาไม่ทราบ ท่านมายืนแล้วรับสั่งถามว่า “ซื้อหรือเปล่า” ผู้ว่าฯประสงค์ก็ตอบว่า ไม่ทันซื้อพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็ตรัสว่า “แล้วมันจะได้ตังค์ยังไง” เรานึกในใจว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเรามอง เราพูดอะไรกันอยู่ และมีอีกเรื่องหนึ่งคือ คุณข้าวโพดเทียนสุนัขทรงเลี้ยงหนีจากวังไป 2 วัน ตอนนั้นท่านเสด็จฯมากรุงเทพฯ เราก็ตามหากันวุ่นเลย สองร้อยกว่าคน ตำรวจ ทหาร อส. แต่ไม่เจอ ปรากฏว่าชาวบ้านจับไว้ แล้วโทรศัพท์มาบอกก็ไปรับกลับเข้ามา ต่อมาอีกวันหนึ่งพระองค์ท่านก็จะเสด็จฯเข้ากรุงเทพฯ คุณข้าวโพดเทียนก็มาส่งเสด็จด้วยเราก็ยืนอยู่เหมือนท่านรู้ ท่านทรงพระดำเนินตรงมาที่เราเลยนะ แล้วตรัสว่า “เนี่ย เขาออกไปนอกวังมา 2 วัน เขาไปหาประสบการณ์” เราก็นึก เอ๊ะ ท่านพูดแสดงว่าท่านทรงรู้และท่านผู้หญิงเกนหลงเคยเล่าว่าเวลาทรงพระดำเนินไปนู่นไปนี่ ท่านจะมีเรื่องคิดตลอด พอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นท่านก็จะคิดแล้วว่าท่านจะต้องลงไปดูด้วยพระองค์เองไหม แต่ท่านก็ทันโลกนะ อย่างเช่นวันพุธท่านจะทอดพระเนตรฟอร์มูล่าวัน ท่านโปรดชูมัคเกอร์ นักแข่ง ท่านจะทอดพระเนตรตลอด
.jpg)
เรื่องเล่าจากโต๊ะเสวย
ความปลาบปลื้มอีกเรื่องหนึ่ง คือนอกจากเฝ้าฯรับเสด็จแล้ว ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ผมยังมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะเสวยกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ บางครั้งก็ได้ร่วมโต๊ะกับพระบรมวงศานุวงศ์ แต่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีเพียงท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่มีโอกาส ทุกครั้งก็จะเห็นแต่แววพระเนตรที่มีแต่ความเมตตา อาหารที่ทรงเลี้ยงดูเหล่าข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯในตอนเย็น ณ พระราชวังไกลกังวล ก็จะมี 2 ชนิดคือไทยกับต่างประเทศ ใครใคร่ทานสิ่งใดก็ตามชอบ ผมได้สอบถามที่ห้องเครื่องว่าพระองค์ท่านเสวยอะไร ก็ได้รับคำตอบมาว่าเรากินแบบไหนพระองค์ท่านก็เสวยแบบนั้น ท่านไม่ได้เสวยอะไรที่พิเศษแปลกไปจากเราเลยจริงๆ แต่พวกที่ชอบมโนพูดมาก ไม่รู้จักพระองค์ท่านจริงๆ พูดเลอะเทอะเนี่ย ไม่รู้อย่าพูดดีกว่า เราไม่อยากพูดอะไรมาก ไม่ใช่ว่าเราอยู่ใกล้ชิดพระองค์ท่านแล้วเป็นแบบนี้นะแต่เพราะเราเห็นพระองค์ท่านเป็นแบบนี้จริงๆ ท่านทรงงานตั้งแต่ผมอายุได้ 7 วัน เกิดมาชีวิตเราก็เห็นพระองค์ท่านทรงงานตลอด แต่คนที่ไม่เข้าใจในพระองค์ท่านก็จะมโนภาพไปต่างๆ นานา ทำว่าเป็นผู้รู้ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยพบเหตุการณ์อย่างผมเลย พวกคุณทำอะไรกันบ้างในแต่ละวัน
สืบสานตระกูลข้าราชการ
ที่ผมมาเป็นข้าราชการ อาจจะเป็นเหมือนการสืบทอดต่อกันมาด้วย เพราะว่าผมเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ปู่ย่าตาทวดเป็นข้าราชการกันหมด เราก็คิดว่าอาชีพนี้คงจะเป็นอาชีพของเราแหละ อีกอย่างเรารักที่จะเป็นข้าราชการอยู่แล้ว แต่ตอนเด็กๆ อยากเป็นทหารมาก โดยเฉพาะทหารเรือพอดีว่าได้ดูหนังเรื่องทหารเสือกรมหลวงชุมพร แล้วชอบ เลยเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นทหารเรือ แต่ตอนมาสอบเกิดฝีขึ้นในหู สอบพละไม่ได้ เลยไม่ได้เป็น แต่ก็ยังไม่หมดหวังพ่อก็บอกว่าเป็นตำรวจก็แล้วกัน แต่พอดูแล้วคงจะต้องเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เพราะว่าเราเป็นคนที่ตรงเกินไป ยอมหักไม่ยอมงอ คุณพ่อก็เลยบอกว่าต้องเป็นฝ่ายปกครอง ซึ่งอ่อนหน่อย ก็เลยให้เราเลือกเรียนฝ่ายปกครอง ส่งให้ไปเรียนปริญญาตรีที่ฟิลิปปินส์และต่อโทที่อเมริกา
.jpg)
ยังคงมุ่งมั่นที่จะรับราชการ
ตั้งใจที่อยากจะรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว คือเป็นอะไรก็ได้ ทหาร ตำรวจ คือเราเป็นข้ารัชกาลส่วนนักแสดงพอได้เป็นนายอำเภอก็เลิกแสดงเลย เพราะหน้าที่ผมต้องไปแสดงที่อำเภอ ไม่ได้มาแสดงที่หน้าจอหนังแล้ว ตอนนั้นอายุประมาณสามสิบกว่า ซึ่งก็กำลังดังพอสมควร ออกซะก่อนที่จะตก นอกจากนี้ผมก็ยังมีโอกาสได้มาแสดงภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท ที่เป็นความภาคภูมิใจ เพราะว่าก่อนที่จะได้เล่น ท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิมยุคล) ต้องเสนอชื่อเข้าไปให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ดูว่าใครจะได้เล่นเป็นพ่อของพระสุริโยไท ตอนนั้นท่านมุ้ยหาคนเล่นไม่ได้ จนกระทั่ง เอก-สรพงศ์ บอกว่าท่านมุ้ยอยากพบผม อยากให้มาเล่นเป็นพ่อของพระสุริโยไท ผมก็ตอบตกลงเล่นเลย ท่านมุ้ยก็ทำหนังสือขอกรม ซึ่งตอนนั้นเราเป็นนายอำเภออยู่ที่ชัยภูมิ คืออะไรที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เราก็ยินดีที่จะถวายการรับใช้
พระราชดำรัสที่น้อมนำมาใช้ในชีวิต
ผมถ่ายทอดอยู่เรื่อยๆ นะ แล้วคือเด็กๆ สมัยนี้เขาก็ติดตามพระราชกรณียกิจ ฟังโอวาทของพระองค์ท่าน เราก็ได้บอกลูกๆ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงตรากตรำพระวรกาย เดินลุยโคลนอะไรต่างๆ นั่งลงกับพื้น ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่ติดดิน ลูกๆ ผมเขาเป็นลูกปลัด เป็นลูกนายอำเภอที่ติดดิน ดังนั้นพอเราแนะนิดนึงเขาก็เข้าใจ และเขาเห็นเราทำงานตลอด
.jpg)
ในวันที่ไม่ได้ถวายงานรับใช้พระองค์ท่านแล้ว
สิ่งไหนที่ทำได้ก็จะทำ คือพระองค์ท่านตรัสว่าให้ทำดี เราก็ทำไป อย่างเช่นถ้าเรามีเวลาว่างแล้วเรามีโอกาสไปเจอใครเราก็แนะนำไป อย่างเราอยู่ในวงราชการมีพี่ๆ น้องๆถามเราก็แนะนำกันไป แล้วพอไปเจอชาวบ้านชาวช่องก็นึกเอาพระราชดำริของพระองค์ท่านไปบอกต่อ ประการที่สำคัญ คือเราทำทุกอย่างด้วยความดีก็แล้วกัน เหมือนที่ถวายพระองค์ท่านทุกวัน ถึงแม้ว่าเราไม่ได้ทำดีมาก แต่ก็อย่าทำเลวก็แล้วกัน แค่นี้ถือเป็นการตอบแทนพระองค์ท่านแล้ว
สิ่งที่อยากบอกกับพี่น้องชาวไทย
ถ้าจะบอกมีหลายคำพูดนะ คือพี่น้องเราเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดแล้วที่ได้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้คุณก็คิดเองแล้วกัน สิ่งที่คุณเห็นที่พระองค์ท่านทำ ดีขนาดไหนพระองค์ท่านไม่เคยถือพระองค์ พระองค์ท่านไม่เคยทำให้คนอื่นช้ำใจ พระองค์ท่านไม่เคยแกล้งใคร คนจะตายจะติดคุกถูกแขวนคอ ท่านยังให้อภัยโทษเลย ท่านไม่ได้ทำให้เราเจ็บแค้นเลยนะ ดังนั้นคนที่เลวก็ช่างมัน แต่คนที่ยังดีอยู่จงนึกเถอะว่าไม่มีใครโชคดีเท่าประเทศเราหรอก เราเคยได้ยินเสมอที่พูดถึงพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน เราไม่เคยได้ยินว่าให้ทุกคนรักพระองค์ท่าน แต่ท่านตรัสว่าให้ทุกคนรักกัน
.jpg)
ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์
ในปีพ.ศ. 2511 พระองค์ท่านเสด็จรับช้างเผือกพระเศวตสุรคชาธาร ที่ทางจังหวัดยะลาน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย คุณพ่อคุณแม่ผมก็ได้ร่วมถวายด้วย พระองค์ท่านก็ได้มอบ “พระสมเด็จกำลังแผ่นดิน” หรือเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “สมเด็จจิตรลดา” ให้คุณพ่อกับคุณแม่ผมและตกทอดมาถึงผม ซึ่งมีแค่สองพันกว่าองค์ สำหรับผมสิ่งนี้เหมือนเป็นตัวแทนในหลวง เสมือนว่าพระองค์ท่านอยู่กับเราเสมอ และจะมีเงินที่พกไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายท่านอยู่ที่ใจเราเสมอ พระอยู่กลางหว่างอก ผมเคยถามคนในวังว่ารักในหลวงแค่ไหน ก็ตอบกันว่าสุดชีวิต ข้าราชการเราเนี่ยตายแทนได้เลย แล้วกระเป๋าตังค์อยู่ไหน เขาก็ควักออกมา แต่สำหรับผมแล้วตลอดชีวิตผมไม่เคยพกกระเป๋าตังค์แต่รูปในหลวงอยู่ที่หัวใจผม (ตาแดงก่ำน้ำตาซึม) พับแบงค์ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอด แล้วเราก็ไม่เคยนำแบงค์ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง อยู่อย่างนี้ตั้งแต่เป็นหนุ่ม เสื้อทุกตัวจะมีกระเป๋าเสื้อ แล้วพอเราเก็บไว้แบบนี้เหมือนว่าเป็นเอทีเอ็มของลูกๆ ใครอยากจะหยิบขอซื้ออะไรก็ง่าย
ห้วงเวลาดุจฟ้าฟาดลงกลางใจ
พอได้รับโทรศัพท์ ทุกอย่างเงียบหมด ใจเราหวิว วันนั้นผมทำยาอยู่ คือเขาบอกว่าให้นึ่งมังคุด 20 นาทีแล้วมากินวันละลูก จะหายเจ็บเข่า เราก็นึ่งมังคุดไว้ พอเดินมาเจอภรรยานั่งร้องไห้ และก็ได้ทราบจากภรรยาอีกที แต่ผมตอนนั้นร้องไม่ออก ไม่มีน้ำตาเลย แต่อยู่ๆ ก็เดินไปกวาดหน้าบ้าน ไปเช็ดรถ สมองทำอะไรไม่ถูก นั่งดูนู่นดูนี่ แล้วสักพักภรรยาก็ถามว่าต้มอะไรไว้ในครัว ซึ้งไหม้หมดแล้ว (น้ำตาคลอเสียงสั่นเครือ) ทั้งที่เราเคยผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นมาเยอะแต่สิ่งนี้ เราไม่เคยเจอ ตอนที่พ่อผมเสีย ผมกำลังแสดงละคร เขาโทรศัพท์มาบอก เรายืนนิ่งพักนึง แล้วไปแสดงต่อจนจบ พอจบแล้วร้องไห้ ตอนแม่ผมเสีย ก็เป็นนายอำเภออยู่พระยืน ก็ช็อกนิดนึง ยืนร้องไห้แล้วก็หยุด ขับรถมากรุงเทพเลย แต่ไม่เคยมึนตื้อ สำหรับครั้งนี้คือไปเลยไม่เคยเป็น ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเราแกหรือเปล่า แต่ว่าทำไมเราจำเรื่องราวได้ล่ะ หรือจะเป็นเพราะว่าเราใกล้ชิดพระองค์ท่าน ก่อนเกษียณ จนกระทั่งเกษียณ นั่นคือความช็อกที่สุดครับ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี