สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ พาไปสัมผัสชีวิตครบเครื่อง ของ “มอร์ริส เค” ผู้ที่มีความสามารถหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น งานแสดง พิธีกร หรือแดนเซอร์ ด้วยสีสันที่จัดจ้านกับทุกผลงานที่มีส่วนร่วม แต่กว่าที่จะก้าวผ่านมาถึงขั้นที่เรียกว่า มืออาชีพ เขาได้เผยกับ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
ณ วันนี้
เล่นละครเป็นหลักครับ ละครที่กำลังออกอากาศตอนนี้ คือซิทคอมเรื่อง “รักกันมันแจ๋ว” ทุกเสาร์-อาทิตย์ 9 โมงเช้า ทางช่อง 7 ซึ่ง “พี่หนุ่ม” (สันติสุข พรหมศิริ) เป็นผู้จัดฯ ทางพี่หนุ่มเขาเห็นคาแร็กเตอร์แล้วให้ทางทีมงานติดต่อมา ช่วงนี้เราเล่นละครเครียดๆ ก็เลยอยากจะรับอะไรที่มันรีแล็กซ์บ้าง แอบเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่พี่หนุ่มเป็นผู้จัดเรื่องแรก และดีใจที่ได้มาร่วมงานกัน อีกอย่างเราก็รู้สึกว่าสบายใจเพราะคนที่เคยมีประสบการณ์ในการเป็นนักแสดงแล้วมาทำงานเบื้องหลัง เขาจะเข้าใจฟิลของนักแสดงด้วยกัน
กับหลากหลายบทบาท
ในเรื่องนี้จะเล่นเป็นคนที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้า ก็หวานแหววแต๋วจ๋า แต่ว่าไม่มากมายด้วยความจำกัดของบทละคร ไม่ได้แต่งหน้าทาปากมาก ในขณะเดียวกันเราก็เป็นคนที่สร้างปัญหาจากความเป็นตัวของตัวเอง (ยิ้ม) เป็นละครเบาสมอง ส่วนอีกเรื่องที่รอออกอากาศก็มี“ข้ามสีทันดร”ได้รับบทเป็นคนแอฟริกา เป็นคาแร็กเตอร์ที่ไกลตัวนะคือเป็นคนพื้นเมืองของแอฟริกาแล้วขายของให้กับนักท่องเที่ยว พอเราไปสัมผัสตรงนั้นจริงๆ มันทำให้เรารู้ว่าคนแอฟริกาผิวสีเขาทำงานตรงนี้เพื่อดูแลครอบครัวเขาไม่สามารถไปทำอาชีพอื่นได้ส่วนอีกเรื่องคือ “ระเริงชล” ซึ่งเป็นการพลิกคาแร็กเตอร์ ได้เล่นเป็นพ่อของนางรอง ผมดีใจนะที่ได้รับโอกาสนี้อย่างที่บอกคือเราเป็นนักแสดงสิ่งสำคัญของนักแสดงต้องเล่นได้ทุกบทบาทและให้คนเชื่อ แต่บางทีเราเล่นบทบาทนี้ไปแล้วคนอินไปแล้วจะให้คนเชื่อในบทอื่นมันก็ยาก อย่างเรื่องนี้เราก็เล่นไปตามบททำให้คนเชื่อแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็จะต้องมีหลายองค์ประกอบด้วย ถ้าเราได้รับโอกาสเปลี่ยนคาแร็กเตอร์แล้วถ้าเราเป็นเด็กช่องเขาก็อาจจะทุ่มเทบทให้ แต่เราเป็นนักแสดงอิสระดังนั้นผู้จัดฯเขาก็ให้เราในระดับหนึ่ง ที่เหลือเราต้องเวิร์กเองต้องดูแลตัวเอง ว่าเราต้องเล่นยังไงเป็นพ่อแบบไหน คือจากประสบการณ์ถึงแม้เราจะไม่มีลูกแต่เรามีหลานเราก็เรียนรู้จากตอนที่เราเลี้ยงหลาน เราอยู่กับหลานยังไง เพราะคาแร็กเตอร์อยู่ที่บ้านก็ไม่ใช่คาแร็กเตอร์ที่เห็นในละคร ผมเนี่ยเวลาออกไปทำงานก็จะเป็นคาแร็กเตอร์ตามที่เขาต้องการแต่พอกลับถึงบ้านก็จะเป็นคาแร็กเตอร์มอร์ริสที่จะนิ่งๆ เงียบๆ หรือเป็นคนที่อารมณ์ดีถ้ามันมีเรื่องดีๆ แต่สามารถที่จะเป็นคนที่เข้มงวดในเรื่องที่ต้องเข้มงวดเพราะผมถูกสอนมาแบบนี้ สามารถสวมบทเป็นอะไรก็ได้เพราะนี่คืออาชีพนักแสดงที่มันอยู่กับเรามา 30 ปี มันทำให้เราสามารถที่จะกดปุ่มได้แล้ว อยู่ที่บ้านหลานๆ จะเรียกว่าลุงมอ (ยิ้ม) ลุงมอดุก็จะดุจริงๆ แต่ถ้าลุงมอเล่นก็จะเล่นจริงๆ ค่อนข้างจะเป็นคนที่ให้เหตุผลในการใช้ชีวิต
ครั้งแรกกับการรับบทพ่อ
รู้สึกดีใจเลย (หัวเราะ) เราไม่มายด์ว่าคนจะมองว่าดูแก่ เรื่องแก่มันเป็นเรื่องธรรมชาติคนเราต้องโตขึ้น แต่ที่ต้องสนใจคือบทที่เราจะได้รับหรือสิ่งที่เราจะได้เล่นมันท้าทายความสามารถเรามากน้อยแค่ไหน เราจะเล่นให้คนเชื่อได้หรือไม่นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำการบ้าน ผมขอบคุณผู้จัดทุกคนนะที่ให้เกียรติเชิญผมไปเล่นแล้วผมก็จะรู้สึกดีใจมากถ้าเกิดมีผู้จัดคนไหนมองเห็นศักยภาพของเราว่าสามารถเล่นได้หลายบทบาท
ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติ
ผมเป็นคนที่ชอบอยู่กับธรรมชาติ ชอบทำอะไรที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเห็นอะไรที่เป็นธรรมชาติแล้วมีความสุข เพราะธรรมชาติมีสิ่งสวยงามซ่อนอยู่ อาจจะทำรายการท่องเที่ยวของตัวเองหรืออาจจะไปทำไร่ทำนา เพราะว่าชีวิตผมในวัยเด็กอยู่กับเรือกสวนไร่นา มีคนที่เคยเอาผมไปเลี้ยงเขามีไร่สวนอยู่ที่สมุทรสงครามเขาทำสวนมะพร้าวสวนผลไม้ แล้วทุกปิดเทอมผมก็จะมีโอกาส ได้ไปดัดสันดาร(หัวเราะ) เขาเรียกแบบนี้เพราะว่าผมซนมากเขาเลยให้ไปเรียนรู้ใช้ชีวิตลูกทุ่งที่บ้านริมแม่น้ำแม่กลอง คนพื้นที่ที่นั่นเขาก็จะสอนให้เราจับกุ้งทำนู่นทำนี่เราก็รู้สึกว่าสนุกจังเลย ซึ่งมันเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่มันหย่อนลงไปในจิตใจเรา ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราชอบการใช้ชีวิตแบบนั้นมาก
กว่าจะมาเป็น “มอร์ริส เค” ในวันนี้
จริงๆ แล้วผมมาจากครอบครัวที่แตก คือ พ่อ-แม่ไม่สามารถเทคแคร์ผมได้เลยต้องไปอยู่กับคนอื่น ซึ่งครอบครัวนั้นเขาก็เลี้ยงดูผมมาจนอายุ 15 หลังจากนั้นผมก็ออกมาสร้างชีวิตของผมต่อสู้ด้วยตัวเอง ผมเป็นคนมีความทะเยอทะยานผมรู้สึกว่าชีวิตเรามีค่ามากกว่าที่จะมาอยู่แค่ตรงนี้ก็เลยกระเสือกกระสนหาทางเรียนหนังสือต่อ และโชคดีที่เราเจอพี่ๆ ที่เขาให้ความรู้กับผมเขาให้สิ่งดีๆ ไม่ว่าคุณจะเกิดมารูปร่างหน้าตาเป็นยังไงนั่นคือองค์ประกอบภายนอก แต่สิ่งที่คุณจะได้รับการยอมรับนับถือนั่นก็คือการที่คุณมีความคิดดีคุณใฝ่ดีคุณอาจจะลำบากในตอนนี้แต่อนาคตคุณจะสบายขึ้นนั่นเป็นคำพูดของรุ่นพี่ที่เป็นแรงผลักดันว่าถึงแม้เราจะเรียนน้อยก็ไม่เป็นไรเราหาเรียนเอง โดยเริ่มมาเรียนศึกษาผู้ใหญ่ จนจบ ม.3 แล้วก็กระเสือกกระสนมาอยู่ในกรุงเทพฯ พอมาเรียนต่อที่วิทยาลัยพณิชยการเชตุพน อยู่ตรงนั้นมาก็เจอสังคมที่มันฟุ้งเฟ้อ เราก็หลงระเริงไปกับมันจนที่สุดก็โดนรีไทร์ แต่เราก็ไปหาโรงเรียนใหม่เพื่อเรียนต่อจนจบ ปวช. และเราก็รู้สึกว่าเราอยากเรียนต่อนะ แต่ตอนนั้นเรายังไม่พร้อมเราต้องทำงานก่อนก็เลยหางานทำ และได้มีโอกาสเข้ามาในแวดวงนายแบบนั่นคือไปประกวดนายแบบโดมอนเมื่อปี 1987 แล้วก็ได้รองอันดับ 1 ใช้ชีวิตเป็นนายแบบอยู่สักปีหนึ่งผมเริ่มมีรายได้ที่ชัดเจนขึ้นผมไม่ละความตั้งใจที่จะเรียนหนังสือต่อพยายามไปสอบเข้าโรงเรียนของรัฐ แต่ด้วยความที่ความรู้ของเรามีน้อยเลยสู้กับเขาไม่ได้แต่ก็ไม่เป็นไรเราก็เลยไปเรียนมหา’ลัยเอกชนนั่นก็คือมหา’ลัยธุรกิจบัณฑิต ทำงานกลางวันกลางคืนเรียนภาคค่ำจบใน 4 ปี รับปริญญาปุ๊บต่อโทเลย ก็ยังเรียนฟอร์มเดิมคือกลางวันทำงานกลางคืนเรียนหนังสือ จนจบปริญญาโท (เป็นคนที่มุ่งมั่นมาก?) การเรียนทำให้เราคิดเป็น ทำให้เราเข้าใจวิธีการคิด ในสมัยก่อนมันไม่มีโซเชียลให้เราเรียนรู้อะไร เราก็ต้องเรียนรู้ไปตามขั้นตอนของมัน ผมมีความรู้สึกว่าเราอยากให้คนมองข้ามเรื่องของรูปพรรณสันฐานแล้วก็มองเห็นความสามารถ
ความภูมิใจเล็กๆ
รู้สึกว่าถ้าเกิดชีวิตของเราเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้เราก็รู้สึกดีใจนะครับ เพราะว่าชีวิตมันเป็นของเรา เราต้องกำหนดเองเราต้องสู้เอง อยากเป็นอะไรในอนาคต ถ้าอยากเป็นคนดีก็ต้องสู้ด้วยความดี ถ้าอยากเป็นคนเลวคุณก็ทำเลวไปเถอะแต่ผมเลือกที่จะเป็นคนดีผมพยายามปรับปรุงตัวเองทุกวันเพื่อให้เป็นคนดี มีอะไรที่แบ่งปันได้ผมก็จะแบ่งปัน ถ้าสังเกตจากในเฟซบุ๊คผมจะมีเรื่องราวที่ให้กำลังใจกับคนเสมอๆ
จากนายแบบสู่การเป็นแดนเซอร์และนักแสดง
ด้วยความที่เรามีบุคลิกที่แตกต่างและมีความมั่นใจ คนเขาก็สงสัยว่าคนผิวสีคนนี้เป็นใครมาจากไหน ก็มีคนติดต่อมาให้เล่นหนังเล่นรายการ และรายการหนึ่งที่ติดต่อมาแล้วผมปลื้มปริ่มมาก คือรายการ “แบบว่าโลกเบี้ยว” เขาติดต่อมาให้เล่นเป็นตัวประจำ ซึ่งพิธีกรหลักๆ เขาก็มีอยู่แล้ว พี่โย, พี่ปู, ก้าว, พี่กิ๊ก, พี่ติ๊ก แล้วก็มีคนนั้นคนนี้และในที่สุดคนเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป ก็กลายมาเป็นผม ที่เสียบมายาวนานเขาก็ไม่เปลี่ยนใครอีกเลยกลายเป็น 4 คน ลงตัวก็เล่นโลกเบี้ยวมาซึ่งเขาจะเอาคาแร็กเตอร์ความเป็นตัวเราออกมาเช่นการเต้น แล้วทางบริษัทแกรมมี่เขาก็เห็นตอนนั้น “เจ-เจตริน” กำลังออกเทปเขาก็อยากได้ลุคที่เต้นแบบฮิปฮอปๆ ซึ่งเรามีทักษะในการเต้น “อากู๋- ไพบูลย์” มาเห็นว่ามันใช่ออกไปอย่างนี้ดีเขาถือเรื่องฮวงจุ้ยไง (หัวเราะ) หยินหยางดีหลังจากนั้นก็เลยได้เป็นแดนเซอร์คู่ใจให้กับเจ ซึ่งมี “ชาลี” ด้วยและเราก็เป็นเพื่อนกันมาก่อนสนิทสนมเป็นบัดดี้กัน เราก็เต้นด้วยกันมา แต่ผมเต้นได้แค่อัลบั้มเดียวเพราะว่าเราเป็นดาราแล้วงานเราก็เยอะ เจงานก็เยอะก็คิดว่าจะเอายังไง และเราต้องยอมรับจริงๆว่าการเป็นแดนเซอร์รายได้มันน้อยมันไม่พอค่าใช้จ่ายเราด้วย แต่เราชอบเต้นนะเราสนุกกับการเต้นมากแต่มันดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะตอนนั้นต้องจ่ายค่าเทอม ผมเรียนหนังสือด้วยนะ ฉะนั้นมันก็เลยต้องเลือกนักแสดงก็ทำงานเป็นนักแสดงในวงการมาเรื่อยตอนที่เราเต้นให้เจทุกคนก็ชื่นชม เห็นมอร์ริสจะต้องเห็นเจคือเป็นบัดดี้กันเลย แม้จะเต้นให้เจอัลบั้มเดียวแต่ถ้าเขามีสเปเชียลเราก็จะได้ไปแจมอย่างล่าสุดเดือนธันวาก็ได้รับเกียรติเขาก็เชิญให้ไปเต้นแม้ว่าจะเต้นแค่เพลงเดียวเราก็รู้สึกว่าได้รับเกียรติมาก
เป็นมากกว่าฝัน
ผมบอกตรงๆ นะว่าผมไม่เคยฝัน เพราะว่ามันไกลเกินกว่าที่ผมจะฝันผมฝันว่าเอาชีวิตตัวเองให้รอด ดูแลตัวเองยังไงที่จะทำให้ตัวเองดำเนินชีวิตต่อไปได้ในอนาคตโดยไม่เป็นภาระของใครคิดอยู่แค่นั้น แต่แล้วก็ได้เข้ามาและมีงานเรื่อยๆ เล่นละครก็ด้วยคาแร็กเตอร์ของเราที่ไม่เหมือนใครนี่แหละครับ คนก็เลยจะจับให้เราไปเล่นนู่นเล่นนี่ เรื่องแรกละครเรื่อง “โรเบิร์ตทองล้นเนิน” ของช่อง 9 เป็นละครเกี่ยวกับชีวิตเด็กลูกครึ่งที่โดนทอดทิ้ง เราเล่นเป็นคู่บัดดี้กับพระเอก หลังจากนั้นก็เล่นต่อๆ มาเรื่อย เรื่อง “ล่า” ก็เล่นเป็นตัวละคร 1 ใน 7 ที่ข่มขืน “นก-สินจัย” และ “น้องทราย เจริญปุระ” มันชั่วร้ายมากเป็นคนที่กักขฬะมากตอนที่ล่าออกอากาศเด็กๆ แฟนคลับผมที่ชอบดูแบบว่าโลกเบี้ยวเขาไม่กล้าเข้าใกล้ผมเลย (หัวเราะ) เขาบอกว่าน่ากลัวมาก ผมเล่นโดยไม่เมคอัพนะเอาหน้าจริงๆ เอาความโทรมจริงๆ ผมฟูสยาย ซึ่งนี่คือการบ้านของผมที่ถ้าเราอยากเป็นตัวนั้นจริงๆ ผมไม่ห่วงหล่อไม่ห่วงสวย ก็ถือว่า “ล่า” เป็นผลงาน masterpiece เพราะว่าได้เปลี่ยนคาแร็กเตอร์จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย อีกเรื่องหนึ่งคือ “แม้เลือกเกิดได้” ของ “พี่ตู่-นพพล” ทางช่อง 7 “เมฆวินัย” เล่นเป็นพระเอกแล้วเขาไปรักกับโสเภณี ตอนแรกเราก็ไม่ยอมรับแต่เขาก็ทำความดีขึ้นมาเราก็ช่วยเขาเต็มที่ จนในที่สุดเขาตายหรือไงนี่แหละผมต้องเลี้ยงลูกเขา นี่ก็เป็นการเปลี่ยนคาแร็กเตอร์อีกเหมือนกัน
กับบทบาทเพศที่ 3
เริ่มเล่นมาตั้งแต่แบบว่าโลกเบี้ยวแล้วนะครับ คือผมก็ไม่ได้ปิดไม่ได้เปิดอะไร เล่นตามที่เขาบอกให้เล่น แต่ที่พีคมากที่สุดคือช่วงอัลบั้มเจ ชุดที่ 2 มั้ง เขามีคอนเสิร์ตที่เอ็มบีเคฮอลล์แล้วผมได้เป็นแขกรับเชิญเราก็แต่งเป็น “วิตนีย์ ฮิวสตัน” ออกมาลิปซิงค์แล้วทุกคนก็ฮามาก ในแบบว่าโลกเบี้ยวก็จะผลัดกันแต่งหญิงกับพี่โยก้าว เราสลับกันคนก็จะชอบภาพนี้ แต่หลังจากนั้นก็จะกลับมาเล่นบทผู้ชายบ้าง คือการทำงานของผมมันแล้วแต่คาแร็กเตอร์ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นว่าจะต้องบทบาทแบบนี้ตลอดเวลาเพราะผมเองก็เบื่อมันไม่ท้าทาย คุณจะเอาเกย์แบบไหนล่ะ คือตอนนี้ผมเล่นบทเป็นเกย์เยอะมากแล้วมันไม่ท้าทายเราก็เลยเริ่มไม่สนุก เพราะผมเป็นนักแสดงที่ชอบความท้าทายของตัวเองเสมอๆ
ด้านชีวิตครอบครัว
ยังเป็นโสดอยู่ครับแล้วผมก็คิดว่าจะครองตัวโสดอย่างนี้แหละ ไม่มีใครมาเป็น 10-20 ปีแล้วครับ เพราะผมมีความรู้สึกว่าผมอยู่ด้วยตัวเองมาตลอดจนติดนิสัย อยู่กับใครแล้วยาก เวลาอยู่บ้านนี่คือโลกส่วนตัวของฉันใครอย่ามายุ่ง ถ้ามีแฟนแล้วไม่แฮปปี้ไม่สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กันไม่ต้องอยู่ ไม่ได้ต้องการคนดูแล การมีแฟนมันก็ดีนะ แต่ทุกวันนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันไม่มีใครที่จะเข้าใจผมเลย ผมมีเพื่อนเยอะมากแต่เพื่อนสนิทผมมีน้อยมาก ผมอยู่กับทุกคนได้แต่เวลาที่ผมต้องการหรือคุยแบบเปิดอกกับใครเนี่ยมีไม่ถึง 2 คน เพราะเราไม่อยากเป็นภาระให้กับใครไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนกับเรื่องของเรา และผมเป็นคนเจ้าระเบียบมากแต่ไม่ถึงกับว่าระเบียบจัดมาก เมื่อก่อนเป็นแต่ว่าแม่บ้านหนีหมด (หัวเราะ) หลานๆ ก็กลัวผมนะในเวลาที่ต้องกลัว แต่ถ้าเวลาปกติเขาก็จะวิ่งเข้ามาหามากอดมาเล่น จะฝึกระเบียบวินัยให้เขาสอนให้เขาทำอะไรด้วยตัวเอง หรือแม้แต่เรื่องการเรียนจะซีเรียสมากถ้าเขาติด ร นั่นแสดงว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบ ถ้าเขาเป็นแบบนั้นก็จะลงโทษเลยด้วยการไม่ไห้ดูทีวี. 1 เดือน ก็ขอบคุณนะที่เขายังฟังผม เลี้ยงหลานเหมือนเป็นลูก แต่ก็ไม่ได้ให้เขาทั้งหมดเขาต้องทำเองด้วยแล้วที่เหลือเราก็จะช่วย
ใน 1 วัน ของ “มอร์ริส เค”
ไม่มีอะไรมากออกกำลังกายเป็นหลักแล้วก็ดูแลตัวเองหาสิ่งดีๆ ให้ตัวเองเช่นหาข้อความหรือหาข้อมูลดีๆ ให้กำลังใจตัวเอง ถ้าต้องทำงานก็ออกไปทำงาน ถ้าไม่ทำงานก็ทำกับข้าวดูแลบ้าน เป็นคนที่มีมุมมองของความเป็นแม่บ้านอยู่ในตัวเองเยอะ เพราะเป็นคนชอบทำกับข้าว ทำกับข้าวกินเองแล้วมันอร่อยได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนี่เพิ่งทำพะโล้และเป็นสูตรโบราณที่ไม่ใส่ซีอิ๊วดำ หลายคนก็ถามว่าทำยังไงเราก็จำไม่ได้หรอกก็บอกให้เขาไปเปิดกูเกิ้ลเอา นั่นคือชีวิตของผมปกติ ประมาณว่าอยู่กับบ้านดูแลหลานดูแลตัวเอง ถ้าเกิดมีโอกาสหรือว่ามีอะไรที่ไม่ต้องรับผิดชอบก็จะเป็นคนท่องเที่ยวออกไปข้างนอก ชอบเที่ยวในที่ที่เป็นธรรมชาติจริงๆ แบกเป้ไปนอนเต็นท์ อีกอย่างที่คิดจะทำแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ทำเมื่อไหร่จะโบกรถแล้วก็ไปเที่ยวในที่ต่างๆ และถ่ายคลิปไว้มันน่าจะสนุกดี และจะดูสิว่าจะโดนทำร้ายมากน้อยขนาดไหน (หัวเราะ)
จากวันนั้นถึงวันนี้
ถ้ามองย้อนกลับไปแล้วเรามาถึงทุกวันนี้ก็ต้องขอบคุณคนรอบข้างหลายๆ คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรานะครับ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ เพื่อน หรือแม้แต่เจ้านายของเราที่เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวต่อไปทำงานต่อไปในอนาคต แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าเราภูมิใจที่ได้ก้าวเดินชีวิตของเราจากเด็กไร้ค่าคนหนึ่ง เด็กที่บ้านแตกไม่มีครอบครัวแล้วในที่สุดเราก็สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเราเก่ง แต่เป็นเพราะว่าเราสู้ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมเป็นคนที่ไม่ชอบโกงใครไม่ชอบเอาเปรียบใครแต่ผมมักจะโดนคนอื่นเอาเปรียบเรื่อย ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ตาย (ยิ้ม) และผมเชื่อว่าเมื่อคุณทำสิ่งใดไว้คุณก็จะได้รับสิ่งนั้นตอบในเวลาอันสมควร เราแค่ทำจิตใจให้เบิกบานยิ้มและหัวเราะเข้าไว้
จบการสนทนาวันนี้ไปด้วยแง่คิดดีๆ เสียงหัวเราะและยิ้มกว้างที่สดใส จากศิลปินนักแสดงผู้มากความสามารถที่ทุกคนคุ้นเคย “มอร์ริส เค”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี