คุ้นชื่อมานาน ในฐานะคนเบื้องหลัง แต่วันนี้ “โอ๋-กฤษฎา เตชะนิโลบล” กำลังยืนแถวหน้า ในฐานะผู้กำกับละครโทรทัศน์เลือดใหม่!! กว่า 14 ผลงานที่เขาได้สร้างสรรค์ จนเป็นที่ติดอกติดใจ คนละครผู้น่าสนใจคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร “สตาร์เรโทร” มีคำตอบให้ทราบกัน
ผลงานการกำกับล่าสุด
ที่เพิ่งจบไปก็คือ “ระเริงไฟ” ต้องบอกว่าลุ้นละครตัวเองทุกวีคเลยครับ โอ๋ชอบอ่านฟีดแบ๊กจากในทวิตเตอร์ ซึ่งมันรวดเร็วมาก และเป็น case study ให้เราในเรื่องต่อไป คือโอ๋เป็นคนที่ทำงานร่วมสมัย ไม่ใช่คนที่วัยรุ่นจ๋า แต่อยู่ระหว่าง 2 ยุค ช่วงระยะเวลามันเปลี่ยนเร็วมาก ตอนนี้มีช่องทีวีเพิ่มขึ้น นอกจากทีวีดิจิตอลแล้ว ก็ยังมีไลน์ทีวี ทีวีออนไลน์ ไวรอลต่างๆ เราเลยได้รับฟีดแบ๊กแบบสดๆ คนดูฉลาดมากขึ้น ละครก็เลยทำยากมากขึ้น จบละครเรื่องนึงเราก็ต้องถอยมานับศูนย์กันใหม่ เช่นถ้าละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ เราก็ไม่สามารถใช้สูตรเดิมได้ จังหวะของคนดูละครเปลี่ยนไปเยอะ คนดูใจร้อน อยากดูอะไรที่จริงมากขึ้น เพราะในโทรศัพท์เราเห็นแต่อะไรที่จริงที่แซ่บกว่าละครอีก ถ้าละครยังทำได้ไม่แซ่บคนก็จะหันไปดูเรื่องจริงตามเพจต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือเราต้องแข่งกับตัวเอง หยุดอยู่กับที่ไม่ได้เลยครับ
“ระเริงไฟ” เป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 14 รวมระยะเวลาแล้วก็ 12 ปี ในการเป็นผู้กำกับ ได้กำกับละครที่หลากหลายแนว เรียกว่าครบเลยครับ แต่จะถามว่าชอบกำกับแนวไหนมากที่สุด คือโอ๋จะแล้วแต่ปีครับ ทุกคนจะมองว่าเราเป็นผู้กำกับสายดราม่านะ แต่เราแค่เชื่อว่าละครมันคือชีวิตจริง ไม่ว่าจะทำละครในรูปแบบไหน เราก็จะอยู่บนพื้นฐานของคนปกติ จะไม่ค่อยถนัดละครเหนือจริงแฟนตาซี ถนัดอะไรที่เป็นชีวิตประจำวันของคนเรา ซึ่งชีวิตจริงของคน มันก็คือดราม่านี่แหละ ช่วงนี้ทำละครดราม่า ปีที่ผ่านมาคือ “ระเริงไฟ” เราก็จะรู้สึกว่าของฉันหมดจะต้องไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อน แต่ช่วงเวลาที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่ เราก็ใส่ความจริงจังความเครียดของตัวละครลงไป สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้ ที่ยังไม่ใส่ลงไปคือเรื่องตลกและบู๊เพราะฉะนั้นในตัวเราจะรู้สึกว่าฉันยังมีของตรงนี้อยู่ ดังนั้นต่อจากเรื่องนี้ก็กำลังดูอยู่ว่า เราจะทำละครตลก หรือว่าละครบู๊ (ยิ้ม) ถ้าวันนี้มีคนติดต่อให้ทำละครดราม่า ก็จะยังนะ เพราะว่ารู้สึกยังไม่อยากทำ
กับหลากหลายแนวละครที่กำกับ
รู้สึกว่าตัวเองโชคดี ตอนที่อยู่โพลีพลัส เราก็ได้ทำละครหลากหลายแนว ถ้าเราเป็นผู้กำกับฟรีแลนซ์มาตั้งแต่ต้น แล้วทุกคนคิดว่าเรามาสายดราม่า ก็จะไม่มีใครมาติดต่อเราให้ทำละครตลกหรือว่าละครบู๊ แต่เมื่อวันนั้นเราอยู่ใต้บ้านโพลีพลัส มันมีงานที่หลากหลายให้เราได้ฝึก และสมัยก่อนก็จะมีโอ๋กับ “พี่ปลา-พีรพล” ก็จะวนเวียนกันอยู่ซึ่งการได้ทำอะไรแบบนี้ ถือเป็นสิ่งที่ชอบนะ ณ วันนั้นเราอาจจะยังเด็กอยู่ เราก็มีผู้ปกครองที่ดี นอกเหนือจากคำแนะนำจาก “พี่นิด” (อรพรรณ วัชรพล) แล้วก็ทำให้เราแข็งแรงขึ้น เราได้ฝึก แต่พอเราออกจากโพลีพลัสแล้ว เหมือนเราโตมาในระดับหนึ่ง เราก็สามารถจะเลือกในสิ่งที่เราอยากทำได้ พอเราอยู่ในอาชีพนั้นนานๆ คนในวงการก็จะกลายเป็นพี่น้องกัน ซึ่งเราก็จะสามารถพูดคุยกันได้จะไม่รู้จักกันแค่งาน อาจจะไม่เห็นงานเราต่อเนื่อง แบบชนกันขนาดตอนที่อยู่กับโพลีพลัส แต่เราก็มีความสุขในการทำงานนะครับ เพราะว่าเราได้มาเจอผู้จัดใหม่ๆ สไตล์บท การทำงานก็จะแตกต่างกัน และช่วงหลังเราก็จะมีเวลาได้ไปเที่ยวไปชิลของเราบ่อยขึ้น (ยิ้ม) การไปเที่ยวมันเป็นการเปิดโลกทัศน์เราไม่ได้อยู่ในสถานะของคนรวยที่จะเที่ยวได้ทุกวัน แต่เราก็ยังโชคดีที่เราอยู่ในฐานะของคนที่พอทำงานแล้วมีเงินเพื่อไปหาความสุข หาประสบการณ์ชีวิตได้
ทุกอย่างถูกขีดไว้แล้ว
สมัยก่อนไม่เชื่อนะ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว ว่ามันมีบางอย่างที่ขีดชีวิตเราอยู่ ข้างบนเขาขีดมาแล้ว คือตอนเอนทรานซ์ โอ๋ขอแค่ให้เอนท์ติด พ่อบอกว่าถ้าเอนท์ไม่ติด จะส่งไปอยู่กับอาที่ออสเตรเลีย เราก็จะรู้สึกว่าฉันไม่ไปแน่นอน และเราก็ไม่รู้ว่าจะเรียนคณะอะไร แต่รู้สึกว่าชอบธรรมศาสตร์ อยากเรียนที่นี่ เพราะว่าบ้านอยู่ฝั่งธนฯ ชอบบรรยากาศตอนที่เดินไปท่าพระจันทร์ 5 อันดับที่เอนท์ โอ๋เลือกธรรมศาสตร์หมดเลย คณะอะไรก็ได้ ใส่ไปมั่วเลย ขอให้เอนท์ติดก็พอ และสุดท้ายก็ได้คณะศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะเกี่ยวกับภาษา แต่เราเป็นคนขี้เกียจเรียน ไม่ชอบเรื่องการท่องจำ และเขามีคณะศิลปศาสตร์เอกการละครอยู่ ก็เลยไปขออาจารย์ไม่ได้อยากเรียนละครแค่เราหนีเอกภาษา ตอนเรียนก็สนุกและเกเรมาก (ยิ้ม) เราได้เรียนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละคร การแต่งหน้า การตีความ การกำกับ เขียนบทเป็นพื้นฐานของละครเวทีล้วนๆ คืออยู่ๆ มันก็ขีดมาในลักษณะนี้ แต่เราก็ไม่เคยคิดชอบละคร พอออกมาก็ฝันตามเด็กทั่วไป อยากเปิดร้าน แล้วก็มีเพื่อนเขาไปสมัครช่อง 9 และได้ เราก็เลยไปลองบ้าง ก็ได้ทำที่บริษัทแมสมอนิเตอร์ เป็นบริษัทในเครือแกรมมี่ เป็นครีเอทีฟรายการเกมโชว์ วาไรตี้ ก็สนุกนะแต่ยังไม่ได้รู้สึกว่ามันคือชีวิตเรา ทำได้ประมาณ 3-4 ปี จนกระทั่งเพื่อนชวนให้ไปทำที่บรอดคาซท์ฯ ทำรายการสตูดิโอแอ๊กชั่น และเราได้รับหน้าที่ในส่วนของละครเวที ต้องเขียนบทละครเวทีฟอร์ทีวี มันก็ซึมซับมาเรื่อยๆ จนวันนึง “พี่แอม” (กมล ภู่วัฒนวนิชย์)ย้ายมาเปิดบริษัทบ้านละคอน ที่โพลีพลัส ซึ่งตอนที่โอ๋ทำงานอยู่ที่บรอดคาซท์ ก็ไม่เคยทำงานกับพี่แอมเลยนะครับ แต่เกิดถูกชะตากัน ไปกินข้าวไปเที่ยวกัน พี่แอมก็เลยชวนว่ามาทำละครไหม
ค้นหาตัวตนจนพบ
ทำไม่เป็น ไม่เคยทำ แต่ว่าก็มากับเขานะ เพราะเริ่มรู้สึกว่ามันน่าสนุก อยากลองของใหม่ ก็เคยถามพี่แอมนะเพราะว่าเหมือนเรายังค้นหาตัวเองไม่เจอ และเราก็ยังไม่รู้เลยว่าเราชอบอะไรเราทำมิวสิก ทำรายการวัยรุ่นทำเกมโชว์วาไรตี้ คือทำมาหมดเลย ยกเว้นโฆษณาและหนัง เราตอบได้ว่าเราสนุกกับทุกงานที่ทำ แต่พี่แอมเป็นคนที่ทำให้เราต้องฉุกคิด เพราะว่าโอ๋เคยถามพี่แอมว่าเมื่อไหร่จะเลิกทำละคร แล้วไปเปิดร้านกาแฟ พี่แอมก็บอกว่าเขาไปทำไม่ได้หรอก เพราะว่าละครคือชีวิตเขา เราก็เหรอ ขนาดนั้นเลยเหรอ คือวันนั้นเรายังไม่เข้าใจ แต่พอมาวันนึงเรามาทำละคร เราถึงเข้าใจว่าอ๋อ..เราต้องอยู่กับมัน6-7 เดือน อ๋อมันกลายเป็นว่าละครเป็นเพื่อนสนิทเรา ละครเป็นลูกเรา
ตำแหน่งแรกที่บ้านโพลีพลัส
ด้วยความที่เป็นคนชอบเรียนรู้ ตำแหน่งแรกคือเป็นผู้ช่วย 1 ในเรื่อง “กรงเพชร” เรื่องต่อมาเป็นผู้ช่วย 2 “เล่ห์ร้ายอุบายรัก” เรื่องที่ 3 คือ “สะใภ้ทอร์นาโด” เป็นผู้ช่วย 3 คือเราก็ขอพี่แอม เพราะว่าไม่เคยทำละครเลยก็เลยอยากจะเรียนรู้ทุกตำแหน่ง และโอ๋ก็ได้เห็นจาก “พี่หมี” (โชติรัตน์ รักเริ่มวงษ์) ที่เป็นผู้กำกับว่าเขาจะพาเราผ่านไปได้ยังไง พอเราได้มาเป็นผู้กำกับ เราเลยได้ความรู้พื้นฐานในทุกด้านของละคร
ก้าวแรกของการเป็นผู้กำกับ
อันนี้จริงๆ นะโอ๋ถึงเคารพพี่นิดมาถึงทุกวันนี้ คือถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีเราในวันนี้ เขาอาจจะเห็นอะไรในตัวเราบางอย่าง แต่การที่จะขึ้นเป็นผู้กำกับละครหลังข่าว โดยไม่ได้ผ่านละครบ่ายละครเย็นมาเลย มันไม่ง่ายนะ ถ้าไม่มีคนการันตีให้ ดังนั้นโอ๋ถึงถือว่าพี่นิดเป็นคนให้ชีวิตในส่วนนึงเลย เรื่องแรกที่กำกับคือ “สาวน้อยร้อยล้าน” ละครเพลงมาเลยจ้า (หัวเราะ) พระเอกเป่าแคนนางเอกตาบอด (ละครก็โด่งดังแจ้งเกิดผู้กำกับด้วย ?) สาธุครับ ด้วยความที่เป็นละครที่เข้าถึงคนดูได้ง่าย และทำให้เรารู้จักถึงความแมสจริงๆ คือพอเราทำรายการโดยปกติแล้วมันจะเฉพาะหัวเมือง แต่สำหรับการทำละคร ยิ่งละครแบบพระเอกนางเอกหนีจากบ้านนอกมาตรากตรำชีวิต มันเหมือนเป็นฝันของคนต่างจังหวัด มันมีความคลาสสิก
รู้สึกว่าละครคือชีวิตเมื่อไหร่
เมื่อวันนึงที่เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยกับละครจังเลย อยากจะไปทำอาชีพอื่น แต่แล้วเราก็ฝันถึงไฟถ่ายละคร (หัวเราะ) มันแอบแทรกซึมเข้ามาในใจเราโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่จริงๆ เรารู้สึกว่างานละครเป็นงานที่หนักมาก เมื่อเทียบกับงานบันเทิงอื่นๆ แต่แปลกที่มันมีเสน่ห์ตรงที่ว่าพอคนเข้ามาแล้ว มันออกไปไม่ได้ วันนั้นโอ๋ถึงเข้าใจที่พี่แอมบอกว่าละครคือชีวิตของเขา
บุคคลต้นแบบในการกำกับละคร
พี่หมี โอ๋มีครูคนเดียวในด้านกำกับการแสดงนะ ทั้ง 3 เรื่องที่เป็นผู้ช่วย ก็ทำกับพี่หมี ระบบความคิดคือของพี่หมี จะเป็นคนมีเหตุมีผล ลักษณะการทำงานของเราก็เลยจะเป็นแบบพี่หมี (แล้วสไตล์ “โอ๋-กฤษฎา” เป็นแบบไหน?) นอกเหนือจากระบบทำงาน นอกนั้นจะต่างกันเช่นโอ๋จะมีภาพของตัวละครอยู่ในหัวชัดเจน แล้วเราก็จะมาบอกให้นักแสดงเป็นแบบนั้น แต่ผู้กำกับบางคนเขาจะผสมกันระหว่างตัวละครกับตัวจริงของนักแสดงแต่อย่างที่บอกเราเรียนละครเวทีมา ดังนั้นเราเลยจะมองทุกอย่างเป็นตัวละคร เราอยากจะได้ยังไง เราบอกเลย แล้วยูลองซ้อมลองเล่นให้เราดูสิ ถ้าเล่นแล้วไปไม่ถึง หรือมันดูขัดกับแอ๊กติ้งของเขา เราก็ค่อยปรับกัน โอ๋ไม่ดุนะเวลาทำงาน แต่เป็นคนที่จริงจัง แล้วจะบอกกับทุกคนว่าอย่างเดียวที่ทำให้เราโกรธ คือเจอปัญหาอะไรที่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยที่เราได้บอกไปเรียบร้อยแล้ว ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นได้ แต่อย่ามาบอกเอาวินาทีที่กำลังจะถ่ายทำแล้ว คือเราประชุมงานกันล่วงหน้ามาแล้ว ถ้าเกิดปัญหาอะไรบอกกันก่อน ตอนเช้าเราจะได้รีบเปลี่ยนฝันของเรา ไม่ใช่ว่ามาบอกเอาตอนที่เราเดินมาหน้าเซต กำลังจะทำฉากนั้นอันนั้นจะโกรธ เราบอกเลยว่าเราไม่ได้เป็นผู้กำกับที่เก่งไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นผู้กำกับ เราอาศัยครูพักลักจำ เพราะฉะนั้นเราจะทำการบ้านเยอะ ภาพในหัวเรามันเลยจะชัดเจนมาก ถ้าพอมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงฝันเราปุ๊บ มันก็เลยจะทำให้เส้นอารมณ์มันกระตุกเร็ว แต่โกรธง่ายหายไวครับ คนทำละคร 6-7 เดือนที่เรามาอยู่ด้วยกัน เราต้องเป็นพี่น้องกัน เราอยู่ในบ้านเดียวกัน พี่น้องโกรธกันไม่นานหรอก พอหันไปทางอื่นแล้วก็หาย
นักแสดงยอดฝีมือที่ได้ร่วมงาน
โชคดีมาก ตอนที่เราเพิ่งเป็นผู้กำกับใหม่ๆ ได้อยู่ค่ายใหญ่ เลยได้เจอในระดับท็อปๆ ฝ่ายชายที่เรารู้สึกว่าฝีมือขั้นเทพมากก็คือ “ชาคริต แย้มนาม” เขาเป็นคนอัจฉริยะในการแสดง คือเรารู้สึกว่ามันมีรอยรั่วอยู่ แต่เขาแอ๊กติ้งให้คนไม่มองตรงนั้นได้ เขาใช้ความเข้าใจในการแสดงจริงๆ สำหรับฝ่ายหญิงมี 2 คน ที่ให้ 2 คนเพราะว่าเขามีวิธีการแสดงที่ต่างกัน “อั้ม-พัชราภา” กับ “แอน ทองประสม” คืออั้มใน “พระจันทร์ลายพยัคฆ์” ซึ่งเขาติดคุก แล้วมีขาใหญ่มาก่อกวนเขา จนสุดท้ายทนไม่ไหว คว้าแท่งเหล็กกำลังจะแทงเขา แต่เหล็กในการแสดงเราไม่ใช้เหล็กจริง เราก็หล่อด้วยยาง พอถึงเวลาจับ อั้มเขาจับด้วยฟิลแรงไปหน่อย เหล็กงอ แต่อารมณ์เขาได้ กล้องตัวนึงจับที่หน้าอั้มอีกตัวจับที่มืออั้ม เราก็เห็นว่ามือเขากำลังดัดเหล็กที่งออยู่ ในขณะที่น้ำตาก็ไหล เขามีสัญชาติญาณว่ามันมาแล้ว ถ้าจะเทคมันก็เสียดาย แต่ถ้าไม่ดัดเหล็กกล้องต้องเห็นแน่ๆ ว่ามันงอ คือสมองส่วนนึงเขากำลังคุมเซตการทำงานของเขาอยู่ แต่อีกสมองส่วนนึงเขาสามารถหลุดไปเป็นตัวละครตัวนั้นได้ คือเก่งนะ ส่วนแอนเขาเป็นคนที่เล่นละครเหมือนเจอสถานการณ์สดตลอดเวลา เขาท่องบท เขาทำการบ้านมา และเขามาจำว่าเราให้เล่นยังไง จำๆ แล้วก็ลืมทั้งหมด เพื่อที่เล่นอีกครั้งมันก็จะสด ไม่ได้หมายความว่าเขาลืมบทนะ แต่เขาลืมความรู้สึกล่วงหน้า เหมือนสะกดจิตตัวเองว่าเมื่อสักครู่ที่รับรู้ทิ้งมันไปซะ
ละครในฝันที่อยากจะกำกับ
เป็นเรื่องที่เขาทำไปแล้วทั้งนั้น คืออยากทำ “ล่า” กับ “สุดแต่ใจจะไขว่คว้า” รู้สึกว่า “ล่า” เป็นจินตนาการของคนละคร มันมีความเป็นละครเวทีผสมอยู่ด้วย มันยากมากที่จะเป็นเรื่องจริง อยู่ๆ มีตัวมโนออกมาในกระจก และมีความตุ๊ดๆ ความตระการตา ความโหดอยู่ในนั้นครบเลยส่วน “สุดแต่ใจจะไขว่คว้า” โอ๋ชอบความดีของตัวละคร ซึ่งละครสมัยนี้หายากนะ ที่จะพูดถึงการทำความดีเบื้องลึกของจิตใจ ไม่ว่าจะโดนสถานการณ์ไหน สุดท้ายคิดดีทำดี จะได้ดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ใจมันเป็นสุข
ตามหาจนเจอ
ถ้าตอนนี้มีคนมาถามว่า อยากจะทำอะไร ก็จะบอกไปว่า ไม่อยากทำอะไรแล้ว เพราะว่าเราทำเป็นแต่ละคร เราทำตรงนี้จนมีความรู้สึกว่าเรากลายเป็นคนในพื้นที่แล้ว ทำแล้วมีความสุขเจอแล้ว เจอในสิ่งที่คนข้างบนเขาขีดมาให้เราแล้ว ถามว่าทำได้ไหมกับธุรกิจอย่างอื่นก็ทำได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่รัก เพราะเราเจอสิ่งที่เรารักแล้ว คือการทำละครเพียงแต่ว่าจะอยู่ในเซกชั่นไหนของละครแค่นั้นเอง
กำลังใจจากครอบครัว
บ้านโอ๋ไม่มีใครทำเกี่ยวกับวงการบันเทิงเลย เขาก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นในการที่เรามาทำในแวดวงทีวีนะ คือเราไม่ใช่ดารา แต่ว่าเราเริ่มต้นจากการที่เราเรียนละครมาก็เลยไม่ได้ตื่นเต้น แต่ตอนที่เป็นผู้กำกับ แล้วเราบอกเขาด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่ เขาก็ตื่นเต้นดีใจ มันเป็นอีกก้าวนึงของลูก มันก็จะมีมุมความน่ารักของพ่อแม่ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมามากมาย อย่างตอนที่ละครออกอากาศ เขาก็ชอบออกไปตลาดตอนเช้าๆ แล้วเป็นพีอาร์ให้ซื้อปาท่องโก๋ก็เม้าท์เรื่องละครสักสิบนาที (หัวเราะ)แล้วก็ไปร้านอื่น กว่าจะกลับเข้ามาในบ้านได้
งานที่รักกับผู้จัดคู่ใจ
มันต้องหาคนรู้ใจ และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากนะที่มาเจอ “พี่หน่อย”(บุษกร วงศ์พัวพันธ์) จริงๆ “ระเริงไฟ”ตอนแรกผู้กำกับไม่ใช่เราเลยนะ และก็เคยปฏิเสธไป เพราะว่าติดงานนึงอยู่ ก็คิดว่าเราคงไม่ได้ร่วมงานกับเขาแล้ว แต่พอดีจังหวะเขาเปลี่ยนนู่นนี่ งานเราก็เสร็จพอดีก็เลยโครจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง รู้สึกว่าทำงานกับเขาแล้วมีความสุข
กำลังใจจากแฟนๆ ในโซเชียล
ไม่เคยเจอตัวเขาหรอกนะ แต่ในไอจีหรือตามเพจต่างๆ เขาก็จะเข้ามาชื่นชม เราก็ไม่ได้มีแฟนคลับแบบเป็นตัวเป็นตนหรอกครับ เขาไม่ได้ชอบตัวเรา แต่เขาชอบงานเราเราก็ชื่นใจนะนานๆจะเข้าไปในพันทิพ แล้วเขาพูดถึงเรา เขาจำได้ด้วยว่าเรากำกับเรื่องนี้มา ก็ทำให้เราชื่นใจ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะครับ แล้วก็ขอบคุณจริงๆ ที่รับรู้ถึงความตั้งใจในการทำงานของโอ๋ เร็วๆ นี้ก็จะมีละครเรื่องใหม่ มาเซอร์ไพรส์ ให้ได้ชมกันประมาณปลายปีนี้ครับ
และที่ขาดไม่ได้ โอ๋ต้องขอขอบคุณพี่แอม ขอบคุณพี่นิด แล้วก็ขอบคุณพี่หน่อย ที่เรารู้สึกว่าเราอยู่กับทั้ง 3 คนแล้ว เราสุขใจ เป็นผู้มีพระคุณกับเราทางด้านชีวิตและจิตใจ ถ้าไม่มีพี่แอม โอ๋ก็ไม่หลุดเข้ามาในวงการละคร ถ้าไม่มีพี่นิดก็ไม่มีผู้กำกับชื่อโอ๋-กฤษฎา แล้วกับพี่หน่อยก็เหมือนว่าเราตามหากันมานาน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกัน และเราก็แอบเป็นแฟนคลับเขา (ยิ้ม) พอได้มาทำงานด้วยกัน ก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เวลาเราทำงานแล้วเราสุขใจ เขาเหมือนเป็นพี่สาว ที่คอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ครับ
ฟังดูแล้ว ผลงานเรื่องใหม่ของ โอ๋-กฤษฎา หนีไม่พ้นพี่สาวผู้จัดฯ คนนี้แน่นอนค่ะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี