ผันตัวไปเป็นพ่อค้าบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงจนเป็นที่ร่ำลือ สบโอกาสเจอกับหนุ่ม “เอ-สุรพันธ์ ชาวปากน้ำ” ที่ยกร้านไปเปิดในงานตลาดนัดดาราช่อง 3 จึงจับตัวนักแสดงและนายแบบคนดังมานั่งพูดคุย ล้วงลึกถึงสูตรลับ พร้อมบอกเล่าเรื่องราววันวานสุดประทับใจ
l ปัจจุบันที่เป็น
งานแสดงตอนนี้พอมีบ้าง แต่ว่าก็น้อยลงครับ จะตามอะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ตามวัฏจักรมั้งครับ แต่หลักๆ ที่ทำอยู่ตอนนี้จะเป็น food truck บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงชื่อว่า “เกาลูนนู้ดเดิ้ล” อยู่ที่ซอยทองหล่อ18 ขายตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ 11 โมงถึง 2 ทุ่ม ก็จะขายบนรถ หรือว่าจะไปออกงานก็ได้ ทำมาเกือบปีแล้วนะครับ ตอนแรกไม่มีสูตรเด็ดอะไรเลย แต่ว่าเพื่อนมาชวน แล้วโดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบกินบะหมี่มาก เป็นคนที่ทำอะไรแล้วตัวเองจะต้องชอบด้วย แต่ก็ไม่ได้เอาแต่ตัวเองเป็นหลักนะมองแล้วคนอื่นเขาก็น่าจะชอบด้วย ก็เริ่มทำ โดยมีรุ่นพี่คนนึงที่เขาเป็นเชฟ ก็ให้เขาช่วยคิดสูตรว่าเราจะหมักหมูแดงยังไง ต้องปรุงน้ำซุปยังไง เขาก็ช่วยคิดค้นขึ้นมาจนเราได้สูตรของเรา
l คิดค้นจนได้สูตรเด็ด
จะเหมือนใครหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นทำยังไง แต่สูตรของเรา ผมเชื่อว่าหมูแดงมันจะมีความนุ่มหอมอร่อยในตัวเนื้อหมู คือหมูแดงบางที่ที่เราไปกิน จะขาวๆ แต่ของเราเนื้อจะนุ่มๆ หอมๆไม่กระด้าง ตอนแรกก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ เราพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนไส้เกี๊ยว ให้น้องสาวเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นมาครับ เราจะมีเอกลักษณ์ของเรา คือกินแล้วมันจะฉ่ำๆเต็มคำ เรามีหลายเมนู คือ บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง เล้งแซ่บจริงๆ ส่วนตัวผมเฉยๆ แต่ว่าเห็นเขาฮิตกันมาก ก็เลยต้องตอบโจทย์ แต่กลายเป็นว่าคนชอบ คือที่เราไปกินมาเขาจะเป็นแบบเปรี้ยวๆ รสจัดๆ แต่เรามาทำให้มันกลอมกล่อม กินกับบะหมี่แล้วเข้ากันดีมาก ซึ่งคนก็จะชอบสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงแห้งกับเล้งคู่กัน แล้วก็มีอีกอันคือ ยำเกี๊ยวเกาลูน ก็ใช้น้ำซอสพอนสึแบบญี่ปุ่นโรยด้วยงา เราพยายามพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุดในการเติบโต พยายามคิดเมนูขึ้นมาเรื่อยๆ หยุดนิ่งไม่ได้ เดี๋ยวจะเพิ่มไข่ออนเซ็น บะหมี่ไก่ทอด บะหมี่ขาหมู และเราขายแฟรนไชส์ด้วยครับ ตอนนี้มีคนซื้อไปประมาณ 2-3 เจ้าแล้วในส่วนของการทำแฟรนไชส์ เราดูจากคนที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว ก็เอามาปรับปรุงแล้วประยุกต์ให้มันเหมาะกับแนวทางของบะหมี่ของเรา
l จุดประกายฝันการเป็นพ่อค้า
ต้องบอกว่าย้อนไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วเลยนะครับ คือผมเคยเปิดร้านที่เป็นผับ เตรียมการไว้แล้ว คือทุกย่างจะต้องมีช่วงดาวน์ลงไป ก็เลยคิดไว้ว่าเราจะต้องมีอะไรมาเป็นแผนสำรอง ในตอนนั้นคือเปิดร้านเป็นผับตรงทองหล่อกับเพื่อนๆ ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าไปได้ดี แต่ว่าตอนนี้ปิดไปแล้ว และมาเปิดอีกร้านเป็นผับเหมือนกันชื่อว่า SYN เปิดกับรุ่นน้องอยู่แถวเอกมัย ส่วนบะหมี่เป็นธุรกิจที่เราทำเองเต็มๆ แต่ว่าตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเราจะต้องหาลูกน้องเข้ามาช่วยแล้วล่ะ เพราะว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว คือเจ็บเข่าเจ็บหลังบ้างตามประสา (หัวเราะ) แล้วเราตัวสูงด้วยพอไปยืนบนรถมันก็เลยจะลำบากในด้านสรีระและสังขารนิดนึง ก็เลยจะให้น้องๆ เขามาปรุง เราก็สอนวิธีทำเขาไปเพราะเราก็ไม่หวงวิชา แต่บางคนก็บอกว่าเอไปบอกสูตรคนอื่นเขาหมดได้ยังไง เกิดเขาออกไปทำเองล่ะ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเขาจะเอาไปทำ เราก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว คือมันสมัยใหม่ เขาแค่เปิดยูทูบก็ทำเป็นแล้วนะ ไม่เห็นต้องปิดบังอะไรกันเลย
l หนีไม่พ้นเรื่องอาหาร
จากเดิมที่เราเปิดเป็นผับกึ่งร้านอาหารมา มันก็อยู่ในธุรกิจสไตล์พวกนี้ ซึ่งเราถนัดเรื่องเหล่านี้มากกว่า คือเกี่ยวกับอาหารเครื่องดื่มหรือว่าการให้บริการ ซึ่งเรียกว่าเราถนัดทางนี้มากกว่า แล้วบะหมี่นี่ถือเป็นธุรกิจที่เราใช้ต้นทุนไม่ได้สูงมาก คือตอนแรกที่คิดทำ ก็คิดว่าจะเปิดเป็นร้านเช่าห้องแถว แต่งร้านน่าจะหมดเป็นล้านบาท แล้วเกิดขายไม่ดี ก็จะหายไปกับร้านแล้วย้ายก็ไม่ได้ ก็เลยคิดว่างั้นเป็นรถดีกว่า สมมติว่าตรงนี้ไม่ดี หรือจะไปออกงานมันก็เหมือนกองโจรครับ หรืออย่างน้อยถ้าเราขายไม่ดี เราก็ขายรถก็ยังมีอะไรกลับมา คิดเผื่อไว้นะไม่ได้มั่นใจว่าเราจะขายดี แล้วเราก็จะต้องมีแผนสำรอง ช่วงแรกเหนื่อยเหมือนกัน แต่ว่าพอทำไปก็โอเค คือชีวิตก็ไม่เคยคิดว่าเกิดมาจะต้องมาขายบะหมี่ (ยิ้ม) แต่ว่าพอทำไปแล้วมันเลิกไม่ได้ ก็ต้องทำไปให้สุด
l จากนักแสดงสู่การเป็นพ่อค้า
มีคนเดินเข้ามาทักว่า เอ๊ะ! ใช่ดาราหรือเปล่า หน้าคุ้นๆ ซึ่งเราก็ดีใจนะ ที่เขาก็อาจจะจำเราไม่ได้หรอกว่าเป็น “เอ-สุรพันธ์” แต่ว่าอย่างน้อย เขาก็พอจำได้ว่าเป็นดารา ยิ่งเดี๋ยวนี้คนทักบ่อยมาก ประโยคที่ว่า “ไม่เล่นละครแล้วเหรอ” ซึ่งเราก็รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเขาจำเราได้ ดีกว่าไม่ทักอะไรเลย ไม่ได้รู้สึกว่าอาชีพนี้จะดูไม่ดีหรืออะไรยังไง แล้วคนส่วนมากจะทักว่าเราทำเองเลยเหรอซึ่งจริงๆ เราก็ทำเองอยู่แล้ว ทำเองก่อนจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง เราจะรู้สึกภูมิใจมากกว่านะ เรารู้ว่าน้ำเสียงหรือการทักของเขาคือเขาให้เกียรติเรา เหมือนเขาทึ่งว่าเรามาทำเองเลยเหรอ เราทำเองก็ได้ ทุกวันนี้ดารานักแสดงผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าแม่ค้ากันเยอะมาก ซึ่งเขาก็คงจะคิดเหมือนเอ ว่าอาชีพนี้มันไม่ได้จีรังมากมาย มีหลายจังหวะที่มันเหนื่อยนะครับ ขี้เกียจแล้ว ไม่ไหวแล้ว แต่พอมองอีกทีคือมันก็ยังไปได้ มันอร่อยนะ ตอนนี้เราแค่ต้องการทีมที่เข้ามาเสริม ช่วยในสิ่งที่เราคิดและทำ และในอนาคตก็กำลังอยากจะมีเป็นร้านเหมือนกัน แต่ว่าต้องเป็นร้านที่ไม่ได้ลงทุนเยอะแยะมากมาย
l ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นในวงการ
ตอนนั้นอายุ 21 ซึ่งตอนนี้ 40 แล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นเรียนอยู่เอแบค แล้ววันนั้นเป็นวันอาทิตย์ จำได้เลย เพราะว่าเราเพิ่งไปโบสถ์กลับมา คือผมเป็นคาทอลิก เสร็จแล้วก็ไปเดินอยู่เซ็นทรัลเวิลด์ ก็มีพี่เขาเดินเข้ามาหาชื่อ “พี่หนุ่ม-อภิวัฒน์ ยศประพันธ์” เข้ามาทักว่าเคยถ่ายแบบไหม หรือว่าเคยประกวดอะไรไหม แล้วพี่หนุ่มเขาก็ให้นามบัตร ซึ่งเขาทำงานอยู่ในเครืออมรินทร์พริ้นติ้งชื่อหนังสือเทรนดี้แมน พี่เขาบอกว่าให้โทรหาเขานะ แล้วมาลองถ่ายโพราลอยด์เทสต์ เราก็โทรหาเขา ยังจำได้เลยว่านั่งรถเมล์ไปไกลมาก ไปคนเดียวเลยครับ ไปถึงบริษัทอมรินทร์แถวศิริราช เขาก็ให้ถ่ายรูปตรงโรงอาหารเลย แล้วเราก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน ตอนถ่ายมันก็ไม่ยากเท่าไหร่ เราก็ทำได้ หรืออาจจะบอนทูบีหรือเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) เขาบอกให้หันอย่างนี้ ทำอย่างนี้นะ ไม่ได้คิดหวังอะไรมาก ถือว่าเป็นโอกาสหนึ่งที่เราได้ไปลอง หลังจากนั้นสักพักพี่เขาก็เรียกให้มาถ่ายแบบชุดกีฬา พอถ่ายแบบเสร็จเขาก็ให้เงินมา ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเท่าไหร่ แต่เปิดซองออกมา อู้หู! ได้ตั้งหกหรือเจ็ดพันมั้ง สำหรับเราคือมันเยอะมากเลยครับ แค่ไปถ่ายรูปไม่กี่ชั่วโมง กลับมาบอกแม่ เขาก็ดีใจด้วย เหมือนเป็นรายได้ที่ดี แต่เราคือดีใจมาก ระหว่างนั่งรถเมล์ไปก็เพลินมาก (ยิ้ม) หลังจากนั้นเริ่มต้นถ่ายแบบเดินแบบมาเรื่อยๆ เกือบ 2 ปีครับที่อยู่วงการแฟชั่น ตอนที่เข้ามาก็เจอ “พี่ปี๊บ-รวิชญ์, พี่โอ๊ต-วรวุฒิ, ดอม เหตระกูล” ที่เข้ามาร่วมรุ่นก็มี “เอส-วรฤทธิ์,ไรอัน เจทท์, ชาย-ชาตโยดม, เบนซ์-นิพิธ” เราจะเป็นเหมือนร่วมสมัย มีทั้งรุ่นพี่และรุ่นเรา คือด้วยสรีระที่ตัวสูงใหญ่เท่ากับรุ่นพี่ๆ ก็เลยได้ร่วมงานกันกลับกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มมนุษย์ตัวสูง
l เกือบจะโกอินเตอร์
พอผ่านมาเกือบ 2 ปี ก็คุยกับพี่หนุ่มว่าเราน่าจะไปเดินแบบที่เมืองนอกนะ ด้วยความที่เทรนด์หน้าเอเชียแบบนี้กำลังฮิตมาก แต่เริ่มต้นเราต้องไปที่สิงคโปร์ก่อน ให้สากลรู้จัก แล้วค่อยไปสู่ยุโรป แล้วเราก็ทำ Portfolio ส่งไป วางแผนแล้วว่าเราจะทำยังไง แต่บังเอิญว่า “พี่คิง-สมจริง ศรีสุภาพ” ได้ติดต่อมาทางพี่หนุ่ม ว่าอยากชวนเอไปเล่นละคร ให้ลองไปแคสดูที่โพลีพลัสปรากฏว่าชายก็ไปด้วย คือเราไปเจอกันที่นั่น เมื่อก่อนเอกับชายลุคเราจะคล้ายกัน และงานต่างๆ เวลาไปแคสหรือว่าแฟชั่นโชว์ MV ก็จะไปด้วยกันตลอด แล้วละครเรื่องแรก “รักเล่ห์เพทุบาย” ก็ได้เล่นด้วยกัน ดีใจนะเหมือนมีเพื่อน แล้วโครงการที่ว่าจะไปเดินแบบต่างประเทศก็จำเป็นต้องพับไป คือก็ไม่เป็นไร เล่นละครไปก่อนก็ได้ เพราะเรายังมีงานอีกทางหนึ่ง
l สู่งานแสดงอย่างเต็มตัว
แรกๆ เราก็ไม่ได้รู้จัก หรือคิดว่าจะต้องมาเป็นดารา มาเล่นละคร เพราะว่าอาชีพแรกของผมคือเกี่ยวกับแฟชั่น เดินแบบถ่ายแบบ แต่พอมีโอกาสเราก็ลองทำดูเป็นหนทางนึง เป็นอีกรายได้นึง พอเล่นเรื่องแรก ก็มีต่อเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีแผนอยู่นะว่าจะไปเดินแบบที่เมืองนอก ผ่านไป 1 เรื่อง มันก็สนุก ชอบ มา 2 เรื่อง 3 เรื่องเขาก็ติดต่อมาเรื่อยๆ เลยไม่ไปแล้วเมืองนอก เลิก (หัวเราะ) แต่งานในบ้านเราสำหรับเดินแบบถ่ายแบบ ก็ยังมีเรื่อยๆ (เสียดายโอกาสไหม ?) ไม่ครับ เรารู้สึกว่าเรามีโอกาสที่ดีกว่า ที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ได้ เราถ่ายละครทำงานของเราไปแล้วก็ดีด้วย มีรายได้ หาเงินเรียนเองเลย ผ่านไป 1 เรื่อง พอเรื่องที่ 2-3 ก็ซึมซับเข้ามาเรื่อยๆ สนุกกับมัน สนุกดีที่เรามาถึงจุดนี้ เป็นนักแสดงมา 16 ปี ซึ่งจากเรื่องแรกที่ได้เล่น รู้สึกดีใจมากนะครับ เพราะว่าพระเอกนางเอกคือ “พี่วิลลี่” กับ “พี่หมิว” เป็นพระเอกนางเอกที่เราชอบตั้งแต่เด็ก เจอ 2 คนนี้คือดีใจมากเลยนะครับ พี่หมิวสวยมาก พี่วิลลี่ก็หล่อ ณ ตอนนั้นคิดว่านักแสดงเป็นอาชีพเราเลยนะ ที่เรียกว่าเป็นอาชีพ เพราะว่ารายได้ที่ทำให้เราสามารถนำมาเลี้ยงดูชีวิตเราได้ และเราก็ชอบกับมัน รักกับมันมาเรื่อยๆ ซึ่งละครเรื่องแรกถือเป็นเรื่องที่ประทับใจมาก อีกอย่างคือได้ประกบกับพี่หมิวพี่วิลลี่เป็นที่สุดแล้ว และมาเจอพี่คิงที่เป็นผู้กำกับอีก ละครของโพลีพลัสด้วย ในตอนนั้น คือสุดยอดแล้วนะ ซึ่งเรื่องนั้นผมเล่นเป็นนักดับเพลิงอยู่ทางเหนือ แล้วก็ได้มาเจอ“พี่รัก-ศรัทธา” ทำให้สนิทกันมาถึงทุกวันนี้อีก ซึ่งพี่รักก็จะช่วยสอนการแสดงและหลายๆ อย่างในตอนนั้น ได้เจอเพื่อนสนิทเป็น “ชาย-ชาตโยดม” แล้วก็ “เหนือ-อรรถกร” มันหลายอย่างมาก เลยประทับใจในเรื่องนี้ครับ
l เพื่อนสนิทในวงการ
ชายเหมือนเป็นเพื่อนซี้ที่สนิทในวงการ ทำงานด้วยกันบ่อย เจอกันตั้งแต่ก่อนเดินแบบแล้วครับ คือตอนที่เราไปแคสงานก็เจอกันอยู่เรื่อยๆ เพราะด้วยความสูงที่เท่ากัน ก็เลยจะเจอกันมาเรื่อยๆ ชายเขาเป็นคนที่สุภาพบุรุษมาก มีน้ำใจ โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คือไม่รู้จะหาอะไรไปติเพื่อนคนนี้เลย (หัวเราะ) ถ้าเกิดมีใครไปติชาย ก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะติเขาเรื่องอะไร ทั้งหมดทั้งปวงเลยคือดีมากๆ สำหรับละครก็เล่นกับชายประมาณ 3-4 เรื่องครับ แต่ล่าสุดได้ร่วมงานกันในฐานะที่ชายเป็นผู้กำกับคือเรื่อง “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง”
กับบทบาทที่หลากหลาย
ทุกวันนี้ได้มาเล่นเป็นพ่อ เป็นโจร เป็นกะเทยบ้าง หลากหลายจริงๆ เล่นได้หมดเลย ไม่ได้ซีเรียสนะ ขอให้มีอะไรให้เราได้เล่น ได้โชว์ฝีมือการแสดง และเราก็ต้องเข้าใจกับวันเวลาที่ผ่านไปด้วย มาถึงจุดนี้ได้ ผมภูมิใจแล้วแหละ คือผมก็ผ่านมาได้ตั้งสิบกว่าปี
l ยังครองความโสดอยู่
(ยิ้ม) คนก็ชอบพูดเหมือนกันว่า ดูสิเพื่อนแต่งงานไปหมดแล้ว มีลูกกันหมดแล้วนะ ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน บางทีมันก็ยังไม่ถึงจังหวะ ไม่ถึงเวลา ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีนะครับ บางคนเขาบอกว่าอยากจะโสด แต่ว่าเราไม่อยากโสดแบบนั้น เพียงแต่ว่าจังหวะมันอาจจะยังไม่ลงตัว แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว แล้วแต่เรา ลูกเพื่อนโตกันหมดแล้ว (หัวเราะ) แต่ไม่เป็นไร ก็ยืมลูกเพื่อนมาเล่นได้
l สิ่งที่ได้จากวงการนี้
ให้หลายด้านมากนะ ที่เรามาอยู่ถึงทุกวันนี้ที่ได้มานั่งคุยกันวันนี้ ก็เพราะว่าอาชีพในวงการบันเทิงนี่แหละครับ ที่สำคัญคือทำให้เราเจอคนเยอะมาก ทั้งในวงการบันเทิงเอง และคนภายนอกเอง ทำให้เราได้รู้จักคนหลากหลาย และหลายแบบ ด้วยความเป็นดาราคนก็จะเข้ามาหา หรือเราก็ต้องเข้าไปหาเขาด้วย ซึ่งมันหลายอย่างทำให้เราได้มองคนได้ทะลุมากขึ้น ทั้งในด้านดีและไม่ดีครับ
l ความในใจจากผู้ชายที่ชื่อ “เอ-สุรพันธ์”
อยากจะบอกว่าขอบคุณทุกท่านเลยนะครับคนแรกเลยที่ชักนำเข้ามาสู่วงการเดินแบบก็คือพี่หนุ่ม-อภิวัฒน์ แล้วพอได้มาเล่นละครก็ต้องขอบคุณพี่คิง และตึกมาลีนนท์นี่แหละครับ (หัวเราะ) ที่ให้โอกาสเราเสมอมา ส่วนแฟนละครเอง เอก็ต้องขอบคุณนะครับ คือคนที่ยังจำเราได้ก็ยังมีอยู่ บางคนก็จะบอกคลับคล้ายคลับคลา เดี๋ยวนี้เอจะเป็นแบบนี้เลยครับ คือจะมีคนเข้ามาแล้วแบบ เอ๊ะ...ใช่เอหรือเปล่า ผมก็จะตอบว่าใช่ครับ ผมชื่อ เอ-สุรพันธ์ ชาวปากน้ำอายุ 40 ปี (หัวเราะ) พอเขาได้ยินนามสกุล เขาก็ร้องอ๋อทันที มาทักทายหรือว่าอุดหนุนกันได้ เอเป็นคนอารมณ์ดีหน้าอาจจะดูโหดด้วยหนวดเครา แต่ว่าจริงๆ เป็นคนใจดีนะครับ (ยิ้ม) มาเจอกันได้ที่ทองหล่อ 18 หรือไม่ก็มางานตลาดนัดดาราที่ช่อง 3 แล้วอีกที่นึง ก็คือที่เอกมัยเป็นร้านอาหารกึ่งผับ SYN สำหรับงานแสดงยังคงรับอยู่เรื่อยๆขอให้จ้างเถอะครับ (เสียงอ้อน) ยินดีที่จะเล่นอยู่แล้ว
อยากลองลิ้มชิมรสบะหมี่สูตรเด็ดของหนุ่มเอ ตามไปอุดหนุนกันได้ตามพิกัดที่พ่อคุณเขาแจ้งเลยค่ะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี