ในบทบาทการเป็นนักแสดง “นุ่น-หลักเขต วสิกชาติ” มักจะสวมบทโหด พูดน้อยต่อยหนัก เฉียบคมด้วยฝีมือ แต่กับอีกบทบาท งานผู้กำกับการแสดง ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่เขาฝัน และวันนี้เขาก็ได้ทำมัน แต่หนทางกว่าที่จะได้มานั้น ต้องพบเจอและข้ามผ่านอะไรบ้าง “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ล้วงลึกมาให้ทราบกัน
บทบาทหน้าที่ในวันนี้
ตอนนี้มีละครที่ผมกำกับและออนแอร์อยู่คือเรื่อง “บ่วงรักซาตาน” ทางช่อง 3 ครับ เป็นละครยาวเรื่องที่ 2 ที่กำกับ เรื่องแรกคือ “เลือดตัดเลือด” ทางช่อง 7 แต่ว่าก่อนหน้านั้นเคยทำซีรี่ส์เรื่อง “ศีล 5 คนกล้าท้าอธรรม” ซึ่งทำอยู่เกือบ 4 ปี และมี “หล่อล่าผี” เป็นซีรี่ส์ออนทางไทยรัฐทีวี คือเริ่มมาจากศีล 5เป็นละครคุณธรรมสร้างสรรค์สังคม มีหน่วยซีล และมีเรื่องลึกลับเข้ามาพระเอกเห็นวิญญาณ เลยกลายเป็นเรื่องที่มันคลุมโทนด้วยแอ๊กชั่น กับเรื่องลึกลับสืบสวนสอบสวน แต่ตัวจริงผมชอบความเป็นดราม่าในละครมากกว่านะชอบความเป็นมนุษย์ ตอนเด็กๆ ผมโตมากับ “รัตนาวดี, ปริศนา, โดมผู้จองหอง” (ยิ้ม) ชอบดู และอินกับฟิลแบบนี้ ด้วยลุคมันอาจจะขัด แต่ว่ากับชื่อนี่ยังได้อยู่นะ นุ่น (หัวเราะ) แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำละครสไตล์ที่ตัวเองชอบ อย่าง “บ่วงรักซาตาน” มันก็จะมีเส้นโรแมนติกดราม่า ไม่เน้นแอ๊กชั่น ก็เลยเหมือนได้ทำในเรื่องนี้บ้างนิดหน่อย ซึ่งก็แฮปปี้นะ ทำแล้วมีความสุข ผมคิดว่าละครแต่ละเรื่องมันมีโลกของมันเอง เราต้องจัดสัดส่วนหรือความเป็นไปของมันให้อยู่ในโลกใบนั้น ดังนั้นมันต้องหลากหลายและเราต้องตีความ ทำมันออกมา คงจะมีจังหวะในสักวันที่เราจะเจอละครที่มันโดนกับชีวิตเรา
จุดเริ่มต้นความสนใจในงานบันเทิง
ตอนเรียนปี 3 ครับ เรียนนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ แต่ตอนนั้นลังเลอยู่ 2 อย่าง คือชอบเรียนศิลปะด้วย แต่เป็นคนไม่ได้อาร์ตมาก ก็เลยเอ็นท์ไม่ติด เลยไปสอบที่ม.รังสิต ติดศิลปกรรมออกแบบภายใน และมาสอบนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ รู้สึกว่าสมัยนั้น ก็ดังเรื่องการสื่อสารที่ตัดสินใจเลือกนิเทศ เพราะว่าคุยกับพี่ชายและแม่เราก็ดูแล้วว่าฝีมือการทำงานศิลปะเราเต็ม 10ให้เท่าไหร่ ซึ่งมันก็คือกลางๆ เราก็คิดว่าในยุคนั้นคนที่ทำงานศิลปะแล้วโตมาประสบความสำเร็จ มันต้องเป็นตัวระดับท็อปจริงๆ กับนิเทศด้วยอุปนิสัยเรามีความยืดหยุ่นอยู่ ก็น่าจะเหมาะกว่าไหมก็เลยมาเรียนนิเทศดีกว่า จนปี 3 ก็ต้องเลือกว่าจะไปในทางไหน ทุกสาขามันจะต้องมีวิชา Intro To Performing Arts ซึ่งมันเป็นวิชาเดียวเลยที่ชอบมาก พอเวลาอ่านหรือฟังอาจารย์แล้วเราชอบ เราสนใจมาก มันก็เป็นวิชาประวัติศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ ละคร และเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต กระบวนการทางความคิดจิตวิทยาการแสดง และมันใกล้ความเป็นเรา พอสอบออกมาเต็มร้อย เราได้ 90 กว่าคือไม่เคยได้แบบนี้ ก็เลยค้นพบแล้วว่าเราน่าจะชอบทางนี้ปี 3 ก็เลยเข้าไปเรียนศิลปการแสดงที่ ม.กรุงเทพ ซึ่งเขาเน้นละครเวที ได้เล่นละครเวทีด้วย ได้กำกับได้คิดโปรเจกท์ได้ฝึกการทำงานตั้งแต่ตอนนั้นเลย
ก้าวแรกในงานแสดง
ปี 4 ครับ รุ่นพี่ที่จบมาเขาไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่เอ็กแซ็กท์ พี่เอ พี่ใช้ ซึ่งเขาจะดึงพวกรุ่นน้องที่มีทักษะการแสดงพอประมาณให้มาเล่นด้วยเราก็ได้มีโอกาสเข้าไปเล่น เป็นละครแนวแอ๊กชั่นเชือดเฉือน “ชีวิตเพื่อฆ่าหัวใจเพื่อเธอ” เป็นเรื่องแรกเลย เปิดตัวด้วยบทลูกน้องของ “อารุจน์ รณภพ”เป็นมือปืน เราก็จะมาด้วยลุคประมาณนี้ครับผมเป็นคนที่มีความแตกต่างในกระบวนความคิดหรืออารมณ์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน คือผมเป็นลูกคนเล็กที่โตมากับแม่ นอนเตียงเดียวกับแม่จน ม.1 ก็เลยได้ความ soft ของแม่มา แต่พ่อเป็นสถาปนิก แนวอาร์ตๆ มึงมาพาโวยหน่อย เลยเป็นการหล่อหลอมกัน ชื่อเล่นเราเลยชื่อนุ่น อยู่กับแม่ก็จะมีพาร์ตเป็นนุ่น งุ้งงิ้ง ส่วนชื่อจริง “หลักเขต”พ่อตั้งให้ มันก็จะดูต่างกัน ลุคเราการแต่งตัวก็เลยเป็นไปตามไอดอลของเราในสมัยนั้น การแสดงของผมมันเหมือนว่าเราจะเล่นน้อยพูดน้อยต่อยหนักแต่ว่าจริงๆ แล้วมันก็สนุกนะ โชคดีที่เราเอาสิ่งที่เราเรียนมานั้นมาใช้ในตัวละครได้ เรารู้แหละว่าบทมันไม่ได้มีอะไรมาก มันคือลูกน้องเจ้าพ่อ และไปเจอกับ “กัปตัน-ภูธเนศ” พระเอก เราจะสู้กันจะยิงกันยังไงเราก็พยายามเล่นให้มันเต็มที่คาแร็กเตอร์มันก็เลยชัดขึ้นมา เลยได้งานต่อมาเรื่อยๆ แต่ยังเป็นบทลักษณะนี้อยู่ ก็เล่นละครเยอะเหมือนกันนะ ซึ่งผลงานที่ผมประทับใจก็คงจะเป็นเรื่องแรกชีวิตเพื่อฆ่าฯ บทประพันธ์ดีตัวละครมีมิติ แล้วมาอีกเรื่องก็คือ “สองเสน่หา” เรื่องนี้จะมีบทพูดเยอะหน่อย เป็นนักธุรกิจเจ้าเล่ห์ แล้วมันจะไปอีนุงตุงนังอยู่กับตัวแฝดที่ “อั้ม-พัชราภา” เล่น
งานเบื้องหลังก็ทำควบคู่ไปด้วย
ทำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ตอนที่เล่นละครเอ็กแซ็กท์ ผมทำพร็อพ ทำหนัง “มือปืนโลก/พระ/จัน” ด้วย แล้วก็เล่นด้วย เป็นสแตนด์อิน11 ตัว คือมันเห็นกว้างๆ (หัวเราะ) แล้วก็ทำกับ“พี่ปลา”(พีรพล เธียรเจริญ) ตอนที่พี่ปลามากำกับเรื่อง “หักเหลี่ยมกุหลาบ” และเริ่มมาทำผู้ช่วยผู้กำกับก็ทำกับพี่ปลาเหมือนกัน ในเรื่อง“รักเธอทุกวัน” ของโพลีพลัส คือในระหว่างนั้นก็เล่นละครไปด้วย ทำงานเบื้องหลังไปด้วย แต่พอเริ่มทำผู้ช่วย ก็ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว เพราะว่างานที่ทำทุกวันมันก็เต็ม หลังจากนั้นก็ไปทำกับ“พี่เชาว์” (ชวลิต พงศ์ไชยยง) เรื่อง “นางสาวผ้าขี้ริ้ว” และกับ “พี่บ๊วย” (พิเชฐ ตงศิริ) เรื่อง “มหาชนชาวแฟลต” เป็นซีรี่ส์นี่ก็ได้วิชามาเยอะพี่บ๊วยเก่งมาก ได้ในเรื่องของการที่จะมาสู่ผู้กำกับในอนาคต เวลากำกับบล็อกเสร็จแกก็ให้เราไปบล็อกกิ้งนักแสดงต่อ แล้วแกดูภาพรวม เราเลยมีแบบพี่บ๊วยเป็นไกด์ ได้เรียนรู้นักแสดงด้วยรวมทั้ง “พี่ตูน” (สุชีวิน แนวสูง)ที่ทำเรื่อง “เซนสื่อรักสื่อวิญญาณ” ของพี่ตูนก็จะได้เรื่องภาพเรื่องการเอาตัวรอด เพื่อให้ทันออนแอร์ พี่ตูนเก่งมากเรื่องการเล่าด้วยภาพ ส่วนพี่ปลาคือจุดเริ่มต้น เป็นมากกว่าผู้กำกับ ผู้ช่วย ดูแลผมมาตั้งแต่สมัยทำหนัง ดังนั้นพี่ปลาคือจุดเริ่มต้นของการที่ผมได้เข้ามามีชีวิตในการทำงานที่เป็นทีมงานอย่างแท้จริง สุดท้ายผมก็กลับมาทำกับพี่ปลาที่โพลีพลัส “เธอกับเขาและรักของเรา” ทีแรกจะมาทำฟรีแลนซ์ แต่ว่าต้องไปถ่ายทำที่จีนไปเป็นกองโจรกัน กลับมาทางโพลีพลัสก็เลยชวนทำประจำ และผมก็ได้ใช้สิ่งที่ผมไปเรียนรู้มาจากพี่บ๊วย พี่ตูน พี่เชาว์ คือผมเจอไม่กี่คนนะ เอามาใช้กับพี่ปลาในการเป็นผู้ช่วยเต็มๆ ที่โพลีพลัส
ตำแหน่งสูงสุดที่ตั้งเป้าไว้
คิดตั้งแต่แรกแล้วครับว่าอยากจะเป็นผู้กำกับ คิดตั้งแต่ช่วงที่เรียนอยู่ และเริ่มทำงานแรกๆ เล่นละครมันแฮปปี้ที่เราได้แสดงได้แอ๊กติ้งออกไป แต่รู้สึกว่าชอบการทำงานเบื้องหลังมากกว่า รู้สึกว่ามันโอเคมากเลย การที่มันมีบทมาแล้วเราอ่าน ซึ่งเราไม่ได้อ่านแต่ในส่วนของเรานะอ่านแบบเอาสนุกเราก็จินตนาการของเราไปตั้งแต่ฉากแรก และพอเรารู้ว่าใครเล่น เราก็จะนึกภาพนั่นคือความสุขของเราจริงๆ นั่นคือสิ่งที่เรานึกออกเราทำได้ แต่เราจะทำมันได้ดีแค่ไหนมันก็ต้องเป็นประสบการณ์ แล้วก็ต้องฝึกฝีมือ ซึ่งนั่นก็คือ direction คือการกำกับ ผมเริ่มเล่นละครตอนอายุ 20 กว่าๆ มากำกับละครตอนอายุ 30 ปลายๆ ก็ใช้เวลานานอยู่นะครับ คือเราก็รู้แหละว่าเราชอบอะไร แต่เราก็ใช้ชีวิตไปตามที่มันเป็นไป มันอยู่ที่จังหวะและโอกาสที่ผู้ใหญ่จะมอบให้ และเราก็ต้องมีโอกาสที่จะแสดงฝีมือว่าเขาซื้อไหมเขายอมรับในสิ่งที่เราคิดไหม คุณมีโอกาสได้อยู่ในจุดที่คุณได้แสดงความสามารถหรือความคิดเห็นหรือเปล่า อย่างที่สองเมื่อคุณได้โอกาสแล้วสิ่งที่คุณทำไปสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นฝีมือของคุณมันตอบโจทย์เขาไหม ถ้ามันตอบโจทย์แล้วเขาเลือกคุณไหม เพราะ ณ ตรงจุดที่ตอบโจทย์มันไม่ได้มีแค่เราที่เป็นตัวเลือกคนเดียวหรอก เราต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราทำได้ คนอื่นเขาก็ทำได้ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ชีวิตมันเข้าเส้นทางตรงนี้ เราก็ต้องพยายามผลักดันมันให้มันไปต่อ
เมื่อได้ลงมือกำกับ
ผมแฮปปี้ครับ ผมมีความสุข โอเคกับมันมันก็เหนื่อย ก็เครียดนะ แต่ทุกคนเขาก็เหนื่อยก็เครียดไม่ใช่แค่ผู้กำกับผู้กำกับอาจจะต้องรับภาระมากหน่อย แต่เจอสภาวะนี้แล้วแลกกับสิ่งที่เราชอบ เราถนัด เราแฮปปี้ในการทำ ได้เงินเดือนค่าจ้างกลับมา มันดีแล้วที่เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบสิ่งที่เรารักและเป็นรายได้ที่ทำให้เราเลี้ยงชีพได้ เราดีใจมากที่ผู้ใหญ่มอบให้เราทำ แล้วก็รู้สึกว่าความกดดันเริ่มเข้ามาทันที ปัญหาต่างๆ ที่เรารู้อยู่แล้วในฐานะที่เราทำผู้ช่วยตอนนั้นคือละครไม่มีสต๊อก เราต้องวีคต่อวีค แต่ก็ต้องทำมันครับ จากที่เราคิดว่าอยากกำกับ เมื่อไหร่เราจะได้กำกับ พอเขาให้เรากำกับ เราก็ดีใจมากเลย แฮปปี้มีปีติและก็คิดต่อไปว่าเราจะทำได้ดีและเขาจะให้เรากำกับต่อไปอีกหรือเปล่านะ(หัวเราะ) สรุปก็ทำมาเรื่อยๆ กำกับศีล 5 ประมาณ 3 ปีกว่า ศีล 5 เป็นละครที่ผมภูมิใจกับมันเลยนะครับ เป็นซีรี่ส์อาทิตย์ต่ออาทิตย์ เหมือนเราต้องทำงานแข่งกับเวลางานก็ต้องออกมาให้ดี เรตติ้งโอเคเลย อยู่ในอันดับ 1 อันดับ 2 ของช่อง 5 ยาวนาน มันเคยขึ้นอันดับหนึ่งอยู่ 11 หรือ 12 อาทิตย์เลย ผมมีความสุขมาก อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ก็ไม่แคร์เพราะว่าทุกคนก็เหนื่อย
สไตล์ในการกำกับ
เดือดๆ หน่อยนะ (ยิ้ม) บางทีก็ขี้โมโหแต่ก็น้อยนะครับ จะบอกว่าตามชื่อเลยครับ มันมีทั้งความเป็นนุ่นและความเป็นหลักเขต แต่ผมจะมีสเต็ปของความยืดหยุ่นในข้อแม้ที่เราได้คุยกันไว้ก่อนแล้ว สมมติว่าเต็ม 10 เรามีจินตนาการ 9 แต่ด้วยเรื่องงบประมาณและองค์ประกอบมันทำให้ได้อยู่ 7 เราก็ยอมไปที่ 7 แต่ 7 มันต้องสมบูรณ์ให้ได้มากที่สุด แต่เมื่อเวลาการถ่ายจริงแล้วมันไม่ไปสู่ 7 บางทีมันดรอปไป 3 หรือ 4 โดยเหตุผลที่ไม่สมควรกับในช่วงเวลาที่มันจำกัดผมก็มีโมโหนะพอโมโหก็เสียงดังนะแบบผู้ชายเลยล่ะเขาเขวี้ยงกันผมเขวี้ยงแก้ว (หัวเราะ) แต่ไม่ได้เขวี้ยงใส่ใครแล้วเวลาโมโหก็ไม่เคยพูดชื่อหรือระบุชื่อเพราะรู้สึกว่ามันเกินไปถึงแม้ว่าเราจะปรี๊ดขึ้นมาก็เถอะ แต่ทุกคนในกองเขาก็เครียดแหละ เราก็เข้าใจถ้าเราเป็นตลอดเวลาคงเป็นคนบ้าแล้วคงต้องพิจารณาตัวเอง แต่ทุกวันนี้ก็พิจารณาตัวเองเหมือนกันนะก็รู้ว่าเวลาโมโหมันไม่ดี อย่างพี่ปลาเวลาทำงานเขาก็อารมณ์ดีเราก็พยายามปรับตัว
สิ่งที่ได้จากบ้านโพลีพลัส
ณ วันนี้คือเป็นผู้กำกับอิสระ อยู่กับโพลีพลัสมาเกือบ 8 ปี สิ่งที่ได้จากตรงนั้นคือได้สิ่งที่มั่นคงมาเป็นตรงนี้ครับ ได้ความเป็นคนที่มีที่ยืนเป็นคนในองค์กรภูมิใจจะตาย ได้โอกาสในการทำงานประจำจากที่เราทำฟรีแลนซ์มา สองพอเราได้โอกาสจาก “คุณนิด” (อรพรรณ วัชรพล) ที่ให้เรามากำกับมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะและมันเป็นเครดิตกับตัวไปตลอด ต่อจากนี้เราจะไปทำที่ไหนเราก็คือผู้กำกับที่เคยทำที่โพลีพลัส ได้โอกาสจากคุณนิดได้การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงๆ ได้จากโพลีพลัสเยอะมากเรียกว่าเป็นจุดยืนที่มั่นคงของเรา
ทิศทางในการทำงานต่อไป
ไม่ได้คิดว่าจะเปลี่ยนแนวทางการทำงานอะไรนะครับ แต่แค่คิดว่าเราคงต้องเอาประสบการณ์จากการทำงานกับคนที่เราเรียนรู้มาปรับใช้ให้มันดีขึ้นกว่าเดิมอีก คือเราก็เรียนรู้อะไรมาหลายอย่างทั้งเรื่องของงานและการทำงานร่วมกับคนไม่ว่าจากนี้ไปเราจะไปทำในส่วนของอะไรก็แล้วแต่ เราต้องตระหนักเหมือนกันว่าเราก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกสเต็ปนึงตามคุณวุฒิวัยวุฒิเรา เราต้องตอบโจทย์การทำงานให้ได้เหมือนเดิมแต่กระบวนการขับเคลื่อนมันต้องลงตัวให้มากกว่าเดิม ก็ยังอยากกำกับเหมือนเดิม ส่วนงานแสดงก็มีเพื่อนๆ ที่ชวนให้ไปเล่นบ้าง ก็บอกเขาไปว่าจริงๆ อยากกำกับมากกว่า เขาก็เลยพยายามหาอะไรที่มันสั้นๆไม่ต้องใช้เวลามากมาให้เล่น ก็เออแบบนั้นก็ได้ไม่ได้อิ่มงานแสดงนะครับแต่ชอบการที่เป็นผู้กำกับมากกว่า เพราะว่าสมัยเล่นละครก็ไม่ได้ดังอะไรแค่คนเขาก็คุ้นหน้าเพราะว่าเล่นโหด (ยิ้ม) คือถ้าตอนนั้นเราคิดว่าเราอยากจะเป็นนักแสดงเราอาจจะไม่รอดก็ได้นะ พอโตขึ้นมาเราก็ต้องมีอาชีพในการเลี้ยงดูตัวเอง ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าเราจะมีอาชีพเป็นนักแสดง มีคนทักเราก็รู้สึกดีนะเขินนิดๆ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นที่รู้จัก
สิ่งที่อยากจะทำนอกจากนี้
ตอนนี้ 45 อีก 5 ปีจะ 50 เต็มที่ 55เราจะอยู่ตรงไหน เราคงต้องสร้างคอนเน็คชั่นอยากเป็นผู้จัดรายย่อย ไอดอลผมคนหนึ่งที่เป็นแนวทางให้ผมก็คือพี่เชาว์ เพราะว่าพี่เชาว์เป็นผู้กำกับ ก่อนนี้ก็เป็นผู้ช่วย ไปกำกับให้คนนั้นคนนี้แล้วก็มาเปิดบริษัทของตัวเอง ละครต่อ 1 ปีของพี่เชาว์ไม่ได้หลายเรื่องแต่ว่าก็คุณภาพทั้งนั้น และสามารถมีพนักงานประจำไม่มากแต่ก็มีชีวิตที่ลงตัวคือผู้จัดละคร เลยนึกว่าอยากจะเป็นแบบนี้บ้าง ไม่ได้คิดออกไปจากงานบันเทิงเพราะว่าเราเรียนมาด้านนี้ทำงานมาด้านนี้มันก็ถนัดในสิ่งที่ทำนี่แหละ แต่แอบคิดว่าเกิดวันหนึ่งทีวีมันความต้องการของคนลดลงมากๆ แล้วเราไม่ตอบโจทย์อายุก็มากขึ้นแล้วเราจะทำอะไรถ้าไม่ได้ทำงานด้านนี้ เป็นเรื่องที่เมื่อปีสองปีนี้แอบคิดๆเหมือนกันว่าเราจะทำอะไรดี หรือว่าถ้าในอนาคตที่เรายังทำตรงนี้อยู่แต่เป็นอะไรส่วนตัวที่แยกไปทำจะได้ไหมยังนึกไม่ออกว่าทำอะไรดี
ที่บ้านเขาก็โอเคกับสิ่งที่เราทำนะครับ พ่อแม่พี่น้องเขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนแบบนี้ ก็ต้องขอบคุณแม่กับพี่ที่แนะนำว่าเลือกเอาสิ่งที่คิดว่าตัวเองไปทำแล้วมันจะอยู่ในสเต็ปที่ดีกว่า เลยทำให้เราได้มีวันนี้ครับ และสุดท้ายผมก็อยากจะฝากผลงานการกำกับเรื่องต่อไปด้วย ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรนั้นอยากให้ติดตามกันต่อไป หรือถ้าแฟนละครเจอกันก็เข้ามาทักทายได้ครับ ไม่ดุนะไม่โหดครับทักทายพูดคุยกันได้
และนี่ก็คืออีกหนึ่งบุคคลเบื้องหลังที่รักและพร้อมจะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาให้แฟนละครได้รับชม “นุ่น-หลักเขต วสิกชาติ”
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี