“ยิ่งอยู่นานยิ่งสนุก” เป็นนิยามการทำงานในวงการบันเทิงของ โจม-ศุกล ศศิจุลกะ หรือชื่อเดิม กมล ศิริธรานนท์ พิธีกร นักแสดงอารมณ์ดี ที่มีผลงานออกมาให้แฟนๆ ติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กว่าโจมจะมายืนจุดนี้ได้เขาต้องผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะการต่อสู้กับตัวเอง ซึ่งใครจะรู้ว่าในตอนแรกโจมไม่ชอบการแสดงเอามากๆ ถึงขั้นปฏิเสธบทละครของผู้จัดชื่อดัง แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้อาชีพนักแสดงที่โจมพยายามหนี กลับทำให้เขามีความสุขอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้เราจะไปย้อนดูเส้นทางวันวานของโจมแบบหมดเปลือก พร้อมส่องชีวิตครอบครัวกับภรรยาและลูกที่น่ารักของเขา
อัพเดทผลงาน
ผมมีงานละครที่เพิ่งจบไปคือ “คมแฝก” ทางช่อง 3 และที่ยังออนแอร์อยู่ตอนนี้ก็ “รูปทอง” ทุกวันจันทร์-อังคาร ช่วง 2 ทุ่ม 20 ช่อง GMM25 และมีทำรายการของตัวเอง Mission Idol (ภารกิจคนดัง) ทุกวันอาทิตย์ บ่าย 3 โมง ทางช่อง Nation TV 22
เปลี่ยนชื่อ ชีวิตเปลี่ยน
เปลี่ยนชื่อมาประมาณ 5 ปีแล้วครับ ถือว่าดีขึ้นนะ คือเมื่อก่อนชื่อ กมล ศิริธรานนท์ นี่คือชื่อจริงตั้งแต่เกิด ตอนนั้นจำได้ว่าทำรายการแล้วมีสัมภาษณ์ในรายการสะบัดช่อ ผมก็ถามว่าการเปลี่ยนชื่อมีผลต่อชีวิตเหรอครับ เขาก็บอกว่ามีสิ ชื่อมีส่วน 30% และพฤติกรรมมีส่วน 70%จนกระทั่งถ่ายรายการเสร็จ ผมถามอาจารย์แล้วอาจารย์ก็บอกว่าชื่อผมอยู่ในระดับเลวร้าย ตอนนั้นผมไม่เชื่อเรื่องแบบนี้หรอก ก็เลิกคุยไปจนมาเล่าให้แฟนฟัง แม่ฟัง และคนอื่นๆ แต่ไม่เชื่อนะ(หัวเราะร่วน) กังวล อยู่ไม่สุขล่ะ อยากรู้ ไม่น่าถามเลยก็เลยโทร.ไปหาอาจารย์และนัดคุยกับอาจารย์ และอาจารย์ให้เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล ก็ยังไม่เปลี่ยน แต่เขาทักมาว่าจะเกิดสิ่งไม่ดีแบบปัจจุบันทันด่วน ตอนนั้นก็ยังไม่เชื่ออีก แต่ระหว่างนั้นปวดหัวบ่อยมาก ปวดแบบไม่รู้สาเหตุ ตื่นขึ้นมาก็ปวดจี๊ดๆ ก็ไปหาหมอก็มีปัญหานิดหน่อยไม่ได้ร้ายแรงอะไร แล้วประจวบกับคำทักที่ไม่ดีนี้ก็เลยเปลี่ยน กลับไปคุยกับแม่ เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลแล้วก็พยายามเลือกตัวอักษรที่ใกล้กับชื่อเดิมให้มากที่สุด ก็เป็น ศุกล ศศิจุลกะ ซึ่งพอเปลี่ยนมาก็ดีขึ้น แต่ไม่ได้ดีจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยขนาดนั้น
หน้าที่การงาน ก่อนโลดแล่นในวงการ
ทำงานอยู่ที่บริษัท Volvo เป็นเซลส์ฝ่ายขายก่อน พอเข้าวงการก็เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย โดยเริ่มงานในวงการบันเทิงจากโฆษณา ชิ้นแรกเลยก็คือ เบียร์สิงห์ แล้วก็มาเป็นพิธีกรรายการสะบัดช่อ ของบริษัททีวี ธันเดอร์ คู่กับ วรุฒ วรธรรม แล้วก็ทำควบคู่ไปกับงานบริษัทประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นเศรษฐกิจไม่ดี ก็คิดว่าเราต้องทุ่มเทฝั่งใดฝั่งหนึ่งแล้วล่ะ ก็เลยลาออกและมาเอาดีกับงานในวงการบันเทิง
เมื่อมีผู้จัดเสนอให้เล่นละครแต่กลับปฏิเสธ
พอเป็นพิธีกรอยู่ที่บริษัททีวี ธันเดอร์ ประมาณ 2 ปี เขามาถามผมว่าจะเล่นละครไหม ผมก็ไม่เอา ไม่ถนัด ไม่ชอบ ก็ปฏิเสธไป คือแรกๆ ที่ถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ แล้วผลงานเราเผยแพร่ออกไป ก็มีหลายค่ายเห็นและติดต่อเข้ามาเยอะมากเพื่อที่จะชวนเราไปเล่นละคร หนึ่งในนั้นก็มีพี่ไก่- วรายุฑ เขาเอาบทมาให้ผมที่บริษัท Volvo ผมก็บอกว่าผมไม่ชอบละคร แต่เขาก็ยังเอาบทมาให้ และบอกว่าให้เราไปอ่านก่อนนะ ลองดู ผมก็เอาบทนั้นไปคืนที่บริษัทพี่ไก่ โดยที่ไม่บอกแกด้วยนะคือตอนนั้นไม่ชอบไง ก็ไม่สนใจ เพราะอาชีพหลักเราที่บริษัทก็รายได้ดีไม่เดือดร้อนอะไร ก็เลยปฏิเสธพี่ไก่ไปเรื่องนั้น คือเอาจริงๆ ผมไม่ได้ชอบงานวงการบันเทิงเลยนะ ไม่ได้คิดอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำไป และไม่คิดด้วยว่าจะอยู่มานานจนปัจจุบัน
ประเดิมงานแสดงแรก
เรื่องแรกเลยที่เล่นละครคือ “เขาวานให้หนูเป็นสายลับ” ของ พี่คิง-สมจริง ศรีสุภาพ เล่นไป 3 ตอน รับเชิญยังไม่เยอะเท่าไหร่ แล้วก็มาเรื่อง “แผลหัวใจ” ของทีวี ธันเดอร์ เรื่องนี้เป็นพระเอกนะ (ยิ้ม) หลังจากนั้นก็มีละครมาเรื่อยๆ เป็นพระเอกอีกเรื่องหนึ่งนานแล้วคู่กับ แอน-สิเรียม แล้วก็ผันเปลี่ยนบทบาทเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นลุง แล้วแต่ผู้จัดจะยื่นบทมาให้ เราก็รับหมดล่ะตอนนี้(หัวเราะร่วน) คือก็เล่นมาเกือบหมดแล้วล่ะ จะเหลือแต่บู๊นี่แหละที่ยังไม่ได้เล่น ซึ่งผมชอบบู๊มากเลยนะเอาจริงๆ ก็มีเล่นบ้างแต่น้อยอย่างในภาพยนตร์เรื่อง “คืนบาป พรหมพิราม” ผมเป็นตำรวจ ก็มีบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้ก็รอบทบู๊นะครับ (หัวเราะ) หลายคนอาจจะคิดว่าผมเล่นไม่ได้ แต่ผมยังฟิตและได้อยู่ ติดต่อมาได้ครับ (ยิ้ม)
เสน่ห์ของวงการบันเทิง
ผมว่ามีเวลาเยอะนะ หมายถึงว่า เราสามารถบริหารเวลาแล้วก็ทำงานอื่นได้ แต่นั่นหมายความว่าเราก็ต้องทำการบ้านในส่วนของเราไว้ดีแล้วนะ อย่างบางช่วงบางฉากที่ไม่มีเราแสดงเข้าฉากนั้นๆ เราก็สามารถเอาเวลาตรงนั้นไปทำงานอย่างอื่นได้ ผมเองก็เหมือนกัน ผมทำรายการผมก็ใช้เวลาว่างนั้นสั่งงานโปรดิวเซอร์รายการ ตรวจเทปรายการบ้างสั่งงานลูกน้องต่างๆ นานา แล้วอีกอย่างนะวงการบันเทิงรายได้ดี (ยิ้ม) คือถามว่ายากไหม ก็ยาก แต่ถ้าเราผ่านพ้นจุดที่ต้องฝึกฝนช่วงแรกที่มีทั้งความกดดันอะไรต่อมิอะไร ความกลัว อาการวูบวาบๆ ร้อน หนาว สั่น เสียงเปลี่ยน มือไม้ไปไม่ถูก แต่ถ้าเราผ่านตรงนั้นไปได้ก็จะสบายล่ะ เพราะแรกๆ ผมก็เป็นเหมือนกัน ผมไม่ใช่คนมีแวว ฉะนั้นก็ต้องใช้ประสบการณ์และการฝึกฝน ผมว่ามันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความเข้าใจ พอตอนนี้เราผ่านมาได้แล้วทุกอย่างก็สนุกและมีความสุขกับงานที่เราทำ ตอนนี้ชอบเลย เกิดความสนุก และรู้สึกว่านี่ไม่ใช่งานแล้วล่ะ นี่คือการพักผ่อนของเราอีกรูปแบบหนึ่ง การมาเล่นละคร มากองเจอคนที่หลากหลายก็เอ็นจอย
เมื่อพูดถึงงานถนัดอย่างพิธีกรก็ไม่ง่าย
ถ้าเป็นรายการตัวเองที่ทำอยู่สนุกนะ แต่ก่อนหน้านั้นที่เป็นของคนอื่นเราจะกังวล ตอนแรกที่เข้ามาเป็นพิธีกรใหม่ๆ เครียดมากนะ จังหวะ วิธีการพูดต่างๆ ลึกซึ้งมาก หรืออาจจะเป็นเพราะผมใส่ใจรายละเอียดเกินไปด้วยมั้ง ต้องการความเพอร์เฟกท์ เช่นการส่ง เพื่อเชิญแขกรับเชิญ เสียง ระดับเสียง จังหวะ ช่วงของการเว้นคำพูด รอไฟจับ รอกล้อง รอมิวสิก ต้องรอทุกอย่างนะ เป็นรายการทอล์กโชว์ด้วย เวลาพูดก็ต้องตาไว หูฟัง จับจังหวะทันต้องให้ไปพร้อมกัน มีรายละเอียดเยอะครับ แต่พอเรามาทำเองเป็นของเราก็รู้สึกสบายรีแลกซ์ขึ้นตัดความเครียดตรงนั้นออกไปได้เลย เพราะปัจจุบันคนดูก็เปลี่ยนไป การนำเสนอก็เปลี่ยนตามไปด้วย คนดูไม่ได้ชอบอะไรที่เป็นพิธีการแต่ชอบความเป็นเรียลิตี้ ชอบอะไรที่สุด ผิดได้ยิ่งสนุก เช่น จะเห็นว่าคนดูชอบดูรายการทางทีวี.น้อยลง แต่ชอบดูไวรัล คลิปสั้นๆ โพสต์ ไลฟ์ พวกนี้ไม่มีสคริปต์ เลยทำให้คนชอบดู เพราะรู้สึกว่าเหมือนกับเรา ใกล้ตัว ดีและชัดเจน ทำให้การทำพิธีกรของผมตอนนี้ไม่ต้องต้องเป๊ะตามสคริปต์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผิดก็ผิด ไม่ต้องตัดทิ้ง สามารถตัดออกอากาศได้ เราเป็นเจ้าของรายการก็มองในเชิงที่เป็นคนดูอยากได้อะไรด้วย
ผลงานประทับใจ
ละครเรื่อง “เจ้าบ้าน เจ้าเรือน” ตอนนั้นเล่นเป็น แรม ข้าราชการเก่าแก่ไปมีเมียน้อยกินเหล้าตกอับ คือบทนี้ผมรู้สึกว่าเล่นแล้วอิน (หัวเราะร่วน) อินตรงที่ว่ากินเหล้าแล้วก็ป่วยและตาย คือปกติผมไม่กินเหล้าไง เล่นไปก็รู้สึกสงสารตัวเองเหมือนกันนะ
ครอบครัวในปัจจุบัน
ตอนนี้มีลูกชาย 1 คน อายุ 19 ปี เรียนวิศวะ อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้บังคับหรือกะเกณฑ์อะไรให้เขา ผมเลี้ยงลูกแบบคนหัวสมัยใหม่นะ เลือกเอง เขาอยากจะทำอะไรก็ไม่ห้าม ล่าสุดจะลงชมรมฟอร์มูลาวัน คือเขาเรียนการออกแบบรถยนต์มาไง เขาก็เลยวางแผนว่าจะไปทางนี้ ก็ให้เขาลองดู ซึ่งจริงๆ ตอนแรกผมก็คิดเล่นๆ นะว่า เอ๊ะพาเขาเข้าวงการบันเทิงดีไหม เพราะก็มีคนเห็นเขาจากไอจีผมก็เรียกไปดูตัวบ้าง แต่เขาเรียนหนักมาก วิศวะปีแรก ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรก็บอกว่าลองดูก็ได้นะเป็นประสบการณ์ แรกๆ เหมือนเขาจะไม่สนใจ แต่หลังๆ เหมือนเริ่มสนใจละเพราะว่าเห็นเพื่อนตอนที่เรียนมัธยมอินเตอร์ เพื่อนเขาไปทำกันบ้างอย่าง เจ้านาย เจ้าขุน เป็นรุ่นน้องเขาปีหนึ่ง แต่เราก็ไม่ได้ไปบังคับอะไรเขานะแล้วแต่เขาเลย ส่วนคุณแม่ก็แล้วแต่เขาเลยเหมือนกัน
บทบาทความเป็นพ่อของโจม
ผมเป็นพ่อที่วัยรุ่นมากเลยนะ ผมออกกำลังกายทุกวันกับลูก เพราะเขาจะชอบออกกำลังกายทุกเย็น เวลาเขาไป ผมก็ไปด้วย โปรแกรมเขาสั่งมาผมก็ต้องทำตาม (หัวเราะร่วน) ผมแข็งแรงทุกวันนี้ก็เพราะเขานะ แล้วก็ได้ทำรายการด้วย ก็เลยส่งเสริมกัน เพราะเป็นรายการที่ออกแนวเอ็กสตรีมหน่อยๆ ก่อนจะหน้านี้ชื่อรายการ Sport idol แต่ผมมาเปลี่ยนเป็น Mission Idol (ภารกิจคนดัง) ก็เป็นกิจกรรมที่เราชอบ แขกรับเชิญถนัด สนุกๆ ครับ
วงการบันเทิงให้อะไรบ้าง
ให้ความสุขของชีวิต ผมว่าใครที่มีความสุขกับการทำงานได้นั่นคือสุดยอดของการมีชีวิตแล้วนะเพราะทุกคนอยู่ในสังคมต้องมีรายได้ มีงานคุณไม่สามารถบอกว่า การนั่งสมาธิแล้วมีความสุขไปปฏิบัติธรรมแล้วมีความสุข ทำได้ครับ แต่เป็นแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะชีวิตคนเราต้องดำเนินไปมีรายได้ มีครอบครัว ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ทำงานแล้วมีความสุขนี่คือสุดยอดแล้ว ไม่ต้องการอะไรแล้วถ้าการทำงานแล้วเป็นเหมือนการพักผ่อน แถมยังได้รายได้จากงานที่คุณทำแล้ว มันหาไม่ได้แล้วแบบนี้และสุดท้ายจริงๆ ผมก็อยากจะอยู่ในวงการบันเทิงไปเรื่อยๆ เป็นเหมือน อาหนิง-นิรุตติ์ ได้ทำงานและมีสวนเป็นของตัวเอง แล้วก็ดูแลตัวเองดีน่าจะเป็นแนวทางเดียวกัน ตอนนี้ว่างๆ ก็ดูประติมากรรมงานปั้น แต่ยังไม่ได้ศึกษาละเอียดอะไรมากครับ
ความฝันกับการเป็นผู้จัดละคร
ตอนนี้เป็นผู้ผลิตรายการแล้ว แต่พูดไปก็อาจจะเกินตัวไปหน่อย แต่ก็อยากจะเป็นผู้ผลิตละครบ้าง (ยิ้ม) แต่ผมยังไม่ได้ศึกษาเต็มที่ แค่อยากเพราะเชื่อว่าผู้ผลิตละครน่าจะมีรายได้ดี (หัวเราะร่วน)แต่ดูหลายคนแล้วจากเปลือกนอกก็จะเห็นความเครียดเหมือนกันนะ แต่ก็อยากลองเป็นอีกสเต็ปหนึ่งของชีวิตเราเหมือนกัน ก็จะคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา
แนะนำนักแสดงรุ่นใหม่
ยุคนี้ผมว่าทุกคนก็อยากจะเป็นดารา อยากเป็นนักแสดง บางคนก็อาจจะใช้วิธีการที่ไม่ดีเพื่อให้คนได้จดจำ ก็แล้วแต่ เราก็ไม่สามารถไปห้ามใครได้ บางคนเขาอาจจะมีความสุขแบบนั้น แต่อยากจะฝากถึงนักแสดงหลายคนว่าที่ท้อถอยจากการแสดงคิดว่าทำไมเล่นหนังเล่นละครแล้วยังไม่ดัง ไม่มีคนรู้จักเรา อย่าไปท้อ เราต้องมีความสุขกับมันก่อน ทำให้ความกังวลต่างๆ หายไปให้ได้ก่อนบางคนก็บอกไม่ได้หรอกยาก แต่ผมบอกเลยว่ามันมีเส้นบางๆ อยู่เส้นเดียวแหละ ถ้าคุณข้ามได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างจะคลิกและลงตัวของมันเอง ฉะนั้นต้องยอมลำบากก่อน ผมเองไม่ได้เก่งมาก่อนก็ต้องฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่ ต้องคอยดูความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก วงการที่คุณอยู่ และคอยปรับตัวให้ทัน หลายครั้งที่การแสดงแบบเก่าเอามาใช้กับแบบใหม่ไม่ได้ เทคนิคการงอน สงสัย ทำยังไง ขยี้ตา ขมวดคิ้ว มองซ้าย มองขวา มองบน อันนั้นอาจจะเป็นเทคนิคเก่า คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ใช่แบบนี้แล้ว ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง หรือในฐานะของผู้ผลิตรายการทีวี.ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะคนดูเก่ง เราต้องปรับตัวไปตามยุคสมัยครับ
ขนาดโจมที่ผ่านงานในวงการบันเทิงมาทุกรูปแบบ ยังต้องคิดและปรับตัวเพื่อหาอะไรใหม่ๆ มาตอบโจทย์สังคมยุคดิจิตอล เด็กรุ่นใหม่ที่มีคนคอยหยิบป้อน น่าจะลองนำไปเป็นแบบอย่างนะคะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี