ถ้าพูดถึงบทบาทของ “หมู่น้อย” ในละครเรื่อง “มนต์รักลูกทุ่ง” แน่นอนเวอร์ชั่นที่ ป้อ-ปริญญ์ วิกรานต์ เล่นไว้ ต้องโดดเด้งขึ้นมาเป็นภาพจำของแฟนๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้หลายคนจะอยากรู้จักตัวตนของเขา แต่ด้วยชีวิตที่ราบเรียบแสนธรรมดา ไม่ชอบความหวือหวา จึงทำให้ไม่ค่อยเห็นเรื่องราวของป้อตามสื่อต่างๆ มากนัก วันนี้มีโอกาส “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ไม่พลาดล่อลวง อุ๊ปส์!! ล้วงลึกเส้นทางชีวิตของเขามาฝากกัน
ผลงานอัพเดท
ตอนนี้มีละครเรื่อง “กรงกรรม” ของ บริษัท แอค-อาร์ต เจเนอเรชั่น จำกัด ผมรับบทเป็น หลักเซ้ง มีลูก 4 คน คือ เฮียใช้ (เพ็ชร-ฐกฤต ตวันพงค์) อาซา (เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข) อาตง (แชมป์-ชนาธิป โพธิ์ทองคำ) อาสี่ (ออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์) จะเป็นพ่อใจดี คอยสงบสติอารมณ์ให้แม่ที่จะอารมณ์ร้อนอย่าง นางย้อย (ใหม่ เจริญปุระ) เป็นบทที่สนุกครับ เล่นแล้วได้คิดตามตัวละคร ที่ควรจะเป็น
นักเรียนการแสดงช่อง 3 รุ่น 4
ตอนนั้นเพิ่งจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะพลศึกษา ก็ค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร เริ่มจากตอนที่ไปฝึกงานเป็นคุณครูพละอยู่พักหนึ่ง แต่เหมือนเรารู้สึกว่าไม่ใช่ทางของเรา คือบางทีเขาอาจจะกำหนดมาแล้วน่ะ หรืออย่างบางคนก็คิดว่ามาเรียนด้านนี้ ก็จะเป็นแบบนี้แบบนั้น พอจบก็หางาน หาตัวเอง ว่าชอบอะไร จนกระทั่งไปเจอประกาศรับสมัครนักเรียนการแสดงของช่อง 3 เลยไปสมัคร ส่งประวัติรูปถ่ายไป แล้วเขาก็เรียก แล้วก็ได้เข้ามาเป็นนักเรียนการแสดงช่อง 3 รุ่น 4 โดยมี “อาจารย์สดใส พันธุมโกมล” เป็นอาจารย์ใหญ่คอยสอนคอยอบรม และนอกจากการแสดงก็ยังคอยสอนแนะนำการดำเนินชีวิตในวงการบันเทิง คอยบอกว่าจะต้องวางตัวยังไง ซึ่งพอเข้าเป็นนักเรียนแล้ว ก็เริ่มชอบ เป็นอะไรที่เราไม่เคยสัมผัส เป็นสิ่งที่ดี เราได้รู้จักคนอื่น ที่สำคัญได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเราจะปรับปรุงตัวเอง พัฒนาตัวเองให้มีความเป็นมนุษย์ มีความละเอียดอ่อนมากขึ้น อ่อนโยนมากขึ้น รู้จักการสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มีปฏิกิริยาตอบโต้กันยังไง ทำให้เราละเอียด เพราะเมื่อก่อนผมค่อนข้างแข็งกระด้าง พอได้มาเรียน ก็ได้ตรงนี้มาครับ
โชคชะตาฟ้ากำหนด
พอเรียนจบ อาจารย์สดใส ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ผู้วางหลักสูตร ก็เมตตาให้โอกาสได้ทำงานเป็นพนักงานช่อง 3 อยู่ 4 ปี เริ่มตั้งแต่เป็นทีมงานทำละคร ซึ่งตอนนั้นจะมี 4 ตำแหน่ง สูงสุดคือกำกับรายการ มีหน้าที่ตัดต่อตัดกล้อง เลือกภาพ สร้างภาพ ทำทุกอย่าง ควบคุมหมด รองลงมาก็คือผู้ช่วยผู้กำกับรายการ รองลงมาอีกคือผู้กำกับเวที และอีกคนก็คือผู้กำกับบท ซึ่งตอนนั้นผมก็เป็นตั้งแต่ ผู้กำกับบทผู้กำกับเวที แล้วหลังจากนั้นก็ลาออก เพราะพอเราทำเบื้องหลังตรงนั้นไปนานๆ แล้วกลายเป็นว่าเราเห็นคนอื่นแสดง เรารู้สึกอยากแสดงบ้าง ด้วยความที่เรียนการแสดงมาด้วย เห็นเขาเล่นแล้วก็แบบ เอ้ย..น่าจะทำอย่างนี้ เล่นแบบนั้นนะ เริ่มอยากจะมีความอยากแสดงมาก ก็ตัดสินใจขอลาออก อาจารย์ก็เมตตาให้โอกาส และอีกอย่างตอนนั้นก็อยากจะมีครอบครัวด้วย เพราะผมเกือบอายุ 30 ปี เริ่มคิดวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้สร้างครอบครัวของเรา ก็คิดถึงตรงนี้ด้วย เลยผันตัวเองไปเป็นนักแสดง แต่อันดับแรกจริงๆ คือ ใจ ที่อยากจะแสดงด้วยแหละ ก็เลยตัดสินใจมาอยู่เบื้องหน้าเป็นนักแสดง
เริ่มแสดงอย่างเต็มตัว
ละครเรื่องแรกคือ “คำพิพากษา” เป็นเรื่องแรกในชีวิตการแสดง ซึ่งยากมาก เป็นอะไรที่ยากจริงๆ และหนึ่งปีสำหรับการแสดงแล้วมาเล่นเรื่องแรก ผมคิดว่าน้อยไป แล้วผมเองก็ยังซึมซับไม่มากพอ ก็เลยยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เล่นไปตามที่เขาบอก อาจารย์ก็พยายามช่วย พยายามบอก ตอนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้เรื่องประสบการณ์ก็ไม่มี ถือว่ายากมาก ก็ทำไปตามที่ผู้กำกับเขาบอก ผมถือว่าครั้งนั้นเป็นบทเรียนที่ดีมากๆ สำหรับอาชีพการแสดงเลยนะ และหลังจากนั้นก็รองานสักพัก แล้วก็ไปของานพี่ไก่-วรายุฑ ว่ามีบทอะไรให้เล่นไหม ก็ได้ร่วมงานกับพี่ไก่ แล้วได้ไปเล่นเรื่อง “ลอดลายมังกร” (ช่อง 7) ต่อมาเรื่อง “เคหาสน์ดาว” (ช่อง 5)หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆ ยิ่งเล่นยิ่งแสดงก็ยิ่งชอบมีความสุข สนุกกับการทำงานมากตอนนั้น แล้วก็มีโฆษณาเข้ามาด้วย เป็นโฆษณาเพจเจอร์สมัยก่อน(หัวเราะ) ถ่ายแบบก็เข้ามา ถือว่าเป็นช่วงที่กำลังฮอตเลย บทดีๆ ก็เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเรื่อง “มนต์รักลูกทุ่ง” ของ ช่อง 7 เว่อร์ชั่น “พี่ตั้ว-ศรัณยู” เป็นพระเอก ผมรับผมเป็น “หมู่น้อย” ก็มีคนรู้จักมากขึ้นอีก แล้วช่วงนั้นก็จะรับช่อง 7 เยอะมาก จนหลายคนบอกว่าเราเป็นนักแสดง ช่อง 7 แต่จริงๆ ผมอิสระนะเพียงแต่ว่าเราได้วิชาความรู้เกิดจากช่อง 3 มาใช้ในอาชีพ
เมื่อพบรักกลางกองถ่าย
เราได้พบกันตอนเล่นเรื่อง “คำพิพากษา” เป็นความรักที่คอยดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ครับ ซึ่งภรรยาผมก็คือ “กุณกนิช คุ้มครอง” หรือที่รู้จักกันในบท “สมทรง” จากเรื่อง “คำพิพากษา” ซึ่งจริงๆ ตอนแรกเราก็ทำงานที่ช่อง 3 ด้วยกัน เขาเป็นนักเรียนการแสดงรุ่น 2 ผมเรียนรุ่น 4แล้วเขาก็ยังเคยกำกับละครอยู่ช่วงหนึ่งของช่อง 3นี่แหละ หลายเรื่องเช่น “ซอย 3 สยามสแควร์”ส่วนตอนนี้ก็เป็นโค้ชแอ๊กติ้งอยู่กับทาง “พี่ก้อย-ทาริกา”
โซ่ทองคล้องใจ
ผมมีลูกชายคนเดียวครับ เพิ่งเรียนจบที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ลูกผมไม่คอยชอบวงการบันเทิงเท่าไหร่ ก็มีหลายคนเห็นหน้าเห็นตา ก็บอกว่าน่าจะเข้ามานะ แต่ผมก็ไม่บังคับ แล้วแต่เขา คือเขาอาจจะเห็นพ่อ-แม่มาเยอะ ก็เลยไม่สนใจ ไม่ใช่แนวที่ชอบของเขา เราก็ไม่ได้บังคับ ปล่อยให้เขาทำตามความชอบของเขาดีกว่า
อาชีพเสริมบั้นปลาย
ตอนนี้ผมไม่มีธุรกิจเสริมอะไร เล่นแต่ละครอย่างเดียวครับ บางช่วงที่เว้นไป ก็มีบ้าง แต่เราสองคนกับภรรยาจะช่วยเสริมกัน ซึ่งผมว่าพอเราอายุเยอะขึ้น ก็คิดเยอะนะ แต่ก็ปล่อยวางลงไปเยอะเหมือนกัน ปีนี้ผม 57 ปีแล้ว ก็เริ่มคิดว่า เอ๊ะ...เราก็เริ่มแก่แล้วนะ ก็จะปล่อยวาง เมื่อก่อนจะดิ้นรนกว่านี้เยอะ ยังมีพลัง มีแรง มีเป้าหมายว่าจะต้องมีบ้าน มีรถ มีครอบครัว ตามมาตรฐาน ดิ้นรนเพื่อไม่ให้น้อยหน้าคนอื่นเขา ก็เป็นไปตามวัย ที่ต้องทำ สร้างเนื้อสร้างตัว พอมาถึงตอนนี้รู้สึกว่าแค่มีลูกอยู่กับภรรยามีครอบครัวที่น่ารักใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9สั่งสอนไว้ก็มีความสุขดีแล้ว มีงานเข้ามาให้ได้ทำงานก็ดีใจแล้วครับ
วงการบันเทิงสอนการใช้ชีวิต
ถือว่าวงการบันเทิงทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมาก จะบอกว่าเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเรื่องนิสัยใจคอ มันทำให้ผมมองเห็นคนอื่นมากขึ้น แต่ช่วงที่เป็นวัยรุ่นทำการแสดงใหม่ๆ บางทีความคิดความอ่านก็แบบคือรู้สึกว่า ทำไมเขาไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ ก็จะมีความหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยหลงหรือเหลิงไปกับความโด่งดัง มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงเลยนะ เพราะอาจารย์สอนตอนเรียนเป็นนักเรียนการแสดง อาจารย์บอกว่าเราเป็นนักแสดงไม่ใช่ดารา เพราะคำนี้จะทำให้เหลิงง่าย แต่วงการบันเทิงเป็นงานที่สนุกครับ เราได้รับบทที่หลากหลาย เราได้พัฒนาตัวเราเองไปเรื่อยๆ อาจจะซ้ำๆ ไปบ้างก็มีอะไรให้เล่นที่แตกต่างเสมอครับ เราก็รับเล่นทุกบทบาทที่เขาเสนอมา
ตัวตนจริงๆ ไม่ได้ต่างจากบทบาท
ใช่ครับ คือผู้จัดหรือผู้กำกับเขาก็คงเลือกบทจากตัวเราด้วยแหละผมว่า เพราะตัวตนจริงๆผมก็เป็นตามคาแร็กเตอร์ที่ได้รับเลยคือ เย็นๆ เฉยๆ เรื่อยๆ เรียบง่ายสบายๆ เช่นรับบทเป็นหมอเป็นทนาย เป็นคนตลกบ้าง แต่มีเรื่อง “วัยแสบสาแหรกขาด” ที่มาเล่นเป็นครูใหญ่โหดๆ ยากจนเครียด เพราะไกลตัวเรา แต่ก็ทำได้ เพราะเราเรียนการแสดงมา แล้วอาจารย์สอนว่าให้ดูบทดูตัวละคร เราเป็นตัวละครตัวนั้น ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น นอกจากนั้นเวลาว่างๆ ผมก็ชอบดูพระเครื่อง ศึกษาอยู่พักหนึ่ง อยากรู้องค์ไหนก็ดูประวัติ พอเข้าใจรู้แล้วก็พอ ไม่ได้ลงลึกอะไรมาก เป็นความรู้ให้ตัวเอง แต่ตอนนี้หลักๆ เลยจะทำการแสดงครับ รับเรื่อยๆ ส่วนในอนาคตก็คิดว่าอยากจะมีที่ทางสักแปลงปลูกผักทำสวนอยู่อย่างสงบ
ถึงท้อ แต่ก็กัดฟันสู้
มีนิดหน่อยช่วงที่งานน้อย ไม่มีงานเข้ามาเพราะเราก็มีภาระที่จะต้องรับผิดชอบเยอะ แต่พอกลับมาคิดก็คิดอีกว่า เอ๊ะ…แล้วเราจะไปทำอะไรดีล่ะจะลงทุนทำอะไรก็เห็นบทเรียนจากคนอื่นมาแล้วก็กลัว แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่ง ถ้าเราคิดดีทำดีมีความกตัญญูกับอาชีพและวงการที่เราทำงานอยู่ งานก็จะเข้ามาเอง คือเรามีทุกวันนี้ได้เพราะว่าเราทำอาชีพนักแสดง เวลากรอกประวัติเราก็จะใส่ว่าเรามีอาชีพนักแสดง ถ้ามีบทให้เล่นก็เล่น เหมือนเป็นโชคชะตาฟ้ากำหนดมาแล้วว่าเราต้องมาทางนี้อาชีพนี้เหมือนจะไม่มีงาน งานน้อย แต่จู่ๆ ก็มีคนยื่นบทมาให้ ก็เป็นโชคชะตา ผมเชื่อนะ คนเราเขากำหนดมาแล้ว บางคนดิ้นรนไป ไม่ได้ก็มี ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมากที่ได้มาอยู่ในประเทศไทยและมีความสุขที่ได้อยู่ประเทศไทย ถือว่าเป็นประเทศที่ร่มเย็นเป็นสุขที่สุด
นอกเหนือจากโชคชะตาฟ้าลิขิต และโอกาสที่เข้ามา เชื่อว่าด้วยความสามารถ พรสวรรค์บวกพรแสวง ที่มีอยู่ในตัว ป้อ-ปริญญ์ คือสิ่งที่ส่งเสริมและผลักดันให้ชีวิตเขา มาถึงนี้ได้อย่างแฮปปี้
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี